หลายๆคนอาจเคยเป็น เคยสัมผัส หรืออาจจะไม่รู้ตัวว่ามันคืออะไร หากเพื่อนๆเคยทราบอยู่แล้วข้ามลงไปอ่านเรื่องราวจริงที่เกิดขึ้นกับเราได้เลย
ขอแนะนำตัวก่อนนะคะ เราชื่อว่าลี่ชิง นะ เคยรีวิวกระทู้ไปเที่ยวฮาร์บิ้น ที่
http://ppantip.com/topic/34710934 นั้นหละค่ะ ขอบคุณที่ติดตามกันนะคะ
เรามีเพจด้วยนะคะ หากต้องการพูดคุยกันทักทายกัน ก็ยินดีต้อนรับเพื่อนๆนะ รวมถึงปรึกษาถึงอาการไบโพล่าร์ กันได้จ้า
https://www.facebook.com/liqingdiary
เราคิดนานมากว่าจะเล่าเรื่องนี้ดีไหม เพราะค่อนข้างเป็นเรื่องที่ส่วนตัวและมีเนื้อหาที่น่ากลัว แต่ก็คิดว่าหากเรื่องราวของเราสามารถช่วยเหลือเพื่อนๆที่มีอาการแบบเดียวกับเรา หรือช่วยให้เป็นข้อสังเกตได้ เราก็คิดว่าเราได้ช่วยเหลือเพื่อนๆผ่านเรื่องราว การแบ่งปันประสบการณ์ของเรา
ตอนนี้เรากลับมาอยู่แล้ว กลับมาพักรักษาตัว เพราะเราป่วยเป็นโรคไบโพล่าร์
จริงๆโรคนี้ก็คล้ายๆกับโรคประจำตัว คุ้มดีคุ้มร้าย ตัวเราเองกว่าจะรู้ตัว ก็เกือบตายมาแล้ว โชคดีที่เพื่อนของเรามาช่วยไว้ทัน ตอนนี้เราก็ยังไม่หายดีนะคะ ต้องหาหมอทุกๆสองสัปดาห์
อันดับแรก เราควรมาทำความรู้จักกับโรคนี้ก่อนดีกว่าค่ะว่าเป็นยังไงบ้าง เพราะบางทีคนใกล้ตัวเราเองอาจจะเป็นก็ได้ เราได้ไปหาข้อมูลเบื้องต้นมาให้นะคะ ข้อมูลจาก
http://goo.gl/cP0UXE ได้ระบุเกี่ยวกับโรคนี้ ดังนี้
** หากเพื่อนๆเคยศึกษามาบ้างแล้ว ข้ามไปอ่านเรื่องราวของเราได้เลยคะ
ขอบคุณที่มาจาก : โรงพยาบาลมนารมย์
http://health.mthai.com/knowledge/2987.html
อารมณ์ดีในลักษณะที่ผิดปกติ เรียกว่า mania หมายถึงอารมณ์ดีมากเกินกว่าปกติที่ควรจะ เป็น และมักจะไม่มีเหตุผลหรือไม่สมเหตุสมผล อาจจะมีปัญหากระทบกระเทือนต่อหน้าที่การงาน อารมณ์ดีจนกระทั่งตัดสินใจในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ช่วงที่มีอารมณ์ดีจะช่างพูดช่างคุย คุยได้ไม่หยุด และ ไม่ชอบให้ใครมาขัดจะเกิดอารมณ์หงุดหงิด แล้วถึงขั้นใช้อารมณ์ก้าวร้าวได้
โรคนี้ช่วงซึมเศร้าจะเหมือนกับโรคซึมเศร้า อัตราการฆ่าตัวตายคือ 15-20% เพราะฉะนั้น หนึ่งในห้ามีโอกาสที่จะเกิดปัญหาเบื่อเศร้าและฆ่าตัวตาย ช่วงที่รื่นเริงมากๆ ก็จะมีประเด็นการฆ่าตัว ตายได้ด้วยเช่นกัน ไม่ใช่เฉพาะแค่ตอนซึมเศร้า คนไข้ที่จะป่วยเป็นโรคนี้ จากการวิจัยพบว่า จะเริ่ม เกิดอาการของโรคนี้ในช่วงวัยรุ่น แต่อาการจะไม่ปรากฏชัด ซึ่งบางทีวัยรุ่นเป็นโรคนี้อยู่แต่ไม่ปรากฏ อาการที่รุนแรง คนรอบข้างจะไม่สามารถสังเกตได้ อาจเริ่มมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลง เช่น อาจจะ เที่ยวกลางคืน อยากไปเตร็ดเตร่ ไม่มีสมาธิในการเรียนทำให้ผลการเรียนตกลง
==== ต่อจากนี้ เราจะเล่าเรื่องที่เกิดจากโรคนี้นะคะ =====
เรานอนเปิดตาขึ้นมา ภาพค่อยๆปรากฏว่าตัวเองนอนเอาหน้าแนบพื้นห้องน้ำ แขนขาไม่มีแรง รู้สึกเหมือนเรากำลังจะตาย
เราจำได้ปวดท้องมาก แต่เหงื่อท่วมตัว ท่ามกลางอากาศ -20 ของฮาร์บิน เมืองทางตอนเหนือของจีน เข้าใจว่าคงจะท้องเสียเลยไปเข้าห้องน้ำ แต่สิ่งที่ได้กลับมาไม่ใช่การที่อาการปวดท้องดีขึ้น แต่เป็น มือ เท้า หัว เย็นวาบไปหมด
กำลังจะไปเรียกเพื่อนให้ช่วย แล้วภาพก็ตัดไป
ใช่แล้วเรานอนสลบอยู่ในห้องน้ำโดยไม่รู้ตัวเลย นานเท่าไรก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าเป็นเวลาตอนเช้ามืด
พอรู้สึกตัวก็รวบรวมเรี่ยวแรงที่เหลือยู่ ไปเรียกเพื่อน ในสภาพที่การเดินออกไปแต่ละก้าวนั้นทรมานมาก พอถึงห้องของเพื่อนก็ล้มตัวลงนอนกับเตียงแล้วบอกเพื่อให้ช่วยด้วย
“ขิง ช่วยเราด้วย เราไม่ไหวแล้ว หายใจไม่ออก”
ขิงเพื่อนรูมเมท ตกใจตื่นมาด้วยความมึนงง ว่าเราเล่นอำอะไร (ปกติชอบแกล้งเพื่อนมาก) เพราะเมื่อตอนกลางวันยังเห็นไม่มีอาการป่วยหนักขนาดนี้
“พาเราไปโรงพยาบาลด้วยเราไม่ไหวแล้ว” เรายังคงเรียกขิงให้ช่วย นี้คงเป็นเสียงสุดท้ายแล้ว เราก็สลบไปเลย
ขิงและเพื่อนๆรีบติดต่อให้เจ้าหน้าที่มาช่วยเหลือ เราต้องเสียบสายออกซิเจนทางจมูก และต้องเอาผ้านวมห่อตัวไว้ อากาศ -20 นั้นทำให้นอกจากต้องต่อสู้กับความทรมาณของการที่เกิด ต้องสู้กับความหนาวที่ทะลุเข้ามาในร่ายกายจนทำให้เราหน้าซีด ขาว ราวกับระบบเลือดมันหยุดทำงานไปอย่างนั้น
เมื่อถึงโรงพยาบาล
“พวกเธอต้องจ่ายเงินก่อน เราจึงจะเริ่มทำการรักษา” นี้คือสิ่งที่หมอและพยาบาลพูดกับพวกเราเมื่อถึงห้องฉุกเฉิน เราคิดในใจว่าทำไมถึงใจร้ายกับพวกเรามากเลย เขาต้องให้ไปจ่ายเงินและรอจนกว่าการจ่ายเงินจะเสร็จ หมอ ถึงจะเริ่มลงมือช่วยเหลือฉุกเฉินได้ เราเจ็บที่หน้าอก และเริ่มปวดตามตัวมาก แต่กว่าจะจ่ายเงินเสร็จ ก็ใช้เวลาไปไม่น้อยเลย หมอก็เพียงแต่ให้น้ำเกลือเรา 2 ถุง แล้วก็ไม่ได้ทำอะไรต่อเลย ถามอะไรก็ตอบไม่ได้ ไม่ได้ตรวจอะไรเลย จะเอาชีวิตมาฝากไว้ที่จีนนี้หรือ ?
ตอนให้น้ำเกลือ หน้าตายังดูสดใส แต่ว่าเพลียมาก
ส่วนเพื่อนขิงมานั้งเฝ้าอาการก็หลับไปเลย
ระหว่ารอให้น้ำเกลือ เราย้อนคิดถึงตัวเองในวัยเด็ก สมัยมัธยม ทุกๆเดือนที่มีการปิดเทอม เราก็ต้องอยู่บ้าน เราจะบอกกับป้า(ที่เลี้ยงเรามา) อยู่เสมอ ว่าเราชอบเบื่อ ไม่อยากทำอะไรเลย ไม่กิน ไม่นอน แต่ไม่รู้ว่านี่ คือ สัญญาณบ่งบอกถึงโรคไบโพล่าร์
จนเราน้อยใจอะไรสักอย่างเราจำไม่ได้ แต่คนที่บ้านบอกว่า
เราฆ่าตัวตาย
ตอนนั้นเราจำได้ว่า มีเสียงคนมาเรียก ได้ยินเสียงคนที่เราไม่รู้จัก ผู้ใหญ่ที่บ้านเห็นอาการไม่ดีเลยเรียกให้รถโรงพบาบาลมารับถึงบ้าน เราอยู่ที่โรงพยาบาลหลายวันมาก เราดิ้นและสบัดทุกอย่างออกจากตัว จนหมอต้องให้ยานอนหลับอย่างแรง เป็นขนาดที่ผู้ใหญ่ตัวโตๆ กินไปยังล้มได้เลย แต่เราลุก และ จะวิ่งหนีออกไปจากโรงพยาบาล จนหมอต้องมาช่วยกันจับไว้
อาการเรากลับมาดีขึ้นเพราะทางบ้านมีความเชื่อเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พาไปนั้งสมาธิและสวดมนต์เลยอาการดีขึ้น และคิดว่า “ผีเข้า”
ชีวิตก็เป็นแบบนี้ จนมาถึงประมาณ ป.ตรี พอเรียนจบ เราก็ขอทุนไปเรียนโทต่อที่ประเทศจีน(ฮาร์บิ้น) ตอนแรกเราเครียดมากๆ เพราะที่บ้านไม่ยอมให้ไปเรียนเมืองนอก แต่เรากลับคิดว่า อยากได้ลูกเสือก็ต้องเข้าถ้ำเสือเลยกัดฟันอดทนต่อความกดดันต่างๆนานา
ก็อาศัยเรียนพิเศษหอการค้าไทย จีน หน้าปากซอยบ้าน สุดท้ายเราได้ทุนที่ harbin institute of technology ที่จีนเรียกว่าฮาร์กงต้า
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ช่วงที่มาเริ่มเรียนจีน เรา ขอแยกไปเขียนไว้อีกตอนแล้วนะคะ มีมากมายอยากจะเล่า
เราตื่น 6 โมงเช้า นอนเที่ยงคืนเกือบตีหนึ่ง บางที ก็ตื่นตี3 หรือตี4 ตื่นมานั่งอ่านหนังสือ คัดคำศัพท์ เพราะแค่คำง่ายๆ เรายังฟังไม่ออกเลย เวลาเรียนก็ฟังไม่รู้เรื่องวันนึงได้นอนก็ 3-4 ชั่วโมง ไม่ใช่ไม่อยากนอนนะ แต่นอนไม่หลับ เลยตื่นมาทำนั่นทำนี้
ยิ่งทำก็ยิ่งนอนไม่หลับ พอพักผ่อนน้อย ความเครียดเริ่มสะสม และร่างกายเริ่มรับไม่ไหว
เริ่มแรกไม่รู้ตัวเลยว่าเป็นอะไร รู้สึกจิตตกและเหงา ประกอบกับเริ่มมีคนเข้ามาคุยกับเราผ่านทาง wechat เราแค่อยากหาเพื่อนคุยด้วย แต่คนที่เข้ามาคุยกับเราส่วนใหญ่แล้วชอบมาแนวชู้สาว
บางคนนี้ขอให้เราเลิกกับแฟนไปคบกับเขา หรือ ยอมเป็นมือที่สามเลยก็มี (เอาจริงๆนะไม่ใช่เราสวยเด่นอะไรหรอก พวกนั้นมันเลว ฮ่าๆ ) เราก็เริ่มมีปัญหากับแฟนบ้างหละ แต่แฟนเราพยายามเข้าใจว่าอยู่ไกลบ้าน เหงา แค่อยากหาเพื่อนคุย ก็ด้วยความไว้ใจกันตลอดมา เพราะทุกครั้งที่มีคนมาคุยกับเรา จะบอกเสมอว่าเรามีแฟนแล้ว และไม่ได้ต้องการคบใครนอกจากแฟนที่ไทย
เราไม่รู้จริงๆว่านี้คือ 1 ในอาการของไบโพล่าร์ ที่ชอบทำอะไรเสี่ยงๆ เสี่ยงต่อความสัมพันธ์ อยากรู้สึกว่าได้รับการชดเชยจากอาการหดหู่
ช่วงนั้นเรามีปัญหากับแฟนบ่อยมาก เหมือนจะเลิกกับแฟนเลย ไม่รู้ว่าเราเป็นอะไร กลับต่อว่าแฟนกลับว่าไม่เข้าใจเรา เราแค่พยายามควบคุมตัวเองไม่ให้เกิดเรื่องไม่ดี โชคดีที่ยังประคับประคองได้ดี แฟนเราบินกลับมาหาอีกครั้ง เคลียร์เรื่องทุกอย่าง สัญญาว่าว่าจะดูแลกัน ความสัมพันธ์เรากลับมาดีอีกครั้ง
แต่แล้วเราก็ยังผิดคำสัญญา เพราะอยู่ที่นั้น ก็มีคนเข้ามาคุยกับเรานะ ถ้าคนที่เรียนนอกจะรู้ว่าสังคมเด็กต่างชาติ เขาจะค่อนข้างมีการไปมาพบหากันเยอะ หลายๆคู่ที่มีปัญหากันก็จากตรงนี้ด้วยส่วนนึง แต่ก็ยอมรับนะว่าบางครั้งเราเองอาจจะไม่สนใจแฟนเรามากเกินไป เพราะจริงๆแล้ว เราแค่ไม่อยากอยู่คนเดียว อยากให้มีใครเข้าใจเราบ้าง
ทำไมต้องทำถึงขนาดนี้ จนแฟน เรามาเห็นข้อความระหว่างที่นั้งทานข้าวกับเพื่อนซึ่งจริงๆแล้วก็เป็นการพูดคุยกันธรรมดา เขาไม่พอใจมาก เดินออกจากร้านกลับโรงแรมไปเลยเราพยายามไปง้อแฟน และเพื่อนพยายามบอกให้แฟนสงบ ใจเย็นลง แต่เราโดนแฟนสบัดล้มลงไป ทุกอย่างเริ่มสับสนว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างที่แฟนเราเดินหนีเราไป เราสิ้นหวังมาก ความคิดในในจิตใจตอนนั้น คือ
อยากตาย อยากตาย อยากตาย เราต้องตาย ไม่อยากจะรับรู้อะไรอีกแล้ว !!!!!!
เราเดินขึ้นไปชั้น 6 ของโรงแรม เปิดประตูที่เป็นทางออกฉุกเฉิน ยืนอยู่ริมขอบระเบียงโรงแรม ทางข้างหน้านั้นว่างเปล่า ในใจเราคิดว่า ไม่อยากจะอยู่บนโลกใบนี้ ขอโทษกับทุกสิ่งทุกอย่าง เราโทษตัวเองและคิดว่าชีวิตมันไร้ค่า อยากอยากจะกระโดดออกไป ไม่สนใจว่า พื้นที่มีหิมะที่ดูเบานุ่มอยู่ข้างล่างนั้นหากตกตัวลงไป ก็คงกระแทกกับพื้นกลายเป็นร่างไร้วิญญาณได้ทันที
เราได้ยินเสียงคนบอกให้เรา กระโดดลงไป! บอกให้เราบิน เราต้องบินได้ แล้วเราจะรอดพ้นจากสิ่งต่างๆ ที่ต้องอดทน ไม่ต้องทนแล้ว เราแค่หายไป ทุกอย่างจะจบลง เราก้าวข้าวขาออกไป ....
ต่อตอนที่สองนะคะ
[CR] [ประสบการณ์จริง] เรื่องเล่าจากไบโพล่าร์ หรือ โรคอารมณ์สองขั้ว
หลายๆคนอาจเคยเป็น เคยสัมผัส หรืออาจจะไม่รู้ตัวว่ามันคืออะไร หากเพื่อนๆเคยทราบอยู่แล้วข้ามลงไปอ่านเรื่องราวจริงที่เกิดขึ้นกับเราได้เลย
ขอแนะนำตัวก่อนนะคะ เราชื่อว่าลี่ชิง นะ เคยรีวิวกระทู้ไปเที่ยวฮาร์บิ้น ที่ http://ppantip.com/topic/34710934 นั้นหละค่ะ ขอบคุณที่ติดตามกันนะคะ
เรามีเพจด้วยนะคะ หากต้องการพูดคุยกันทักทายกัน ก็ยินดีต้อนรับเพื่อนๆนะ รวมถึงปรึกษาถึงอาการไบโพล่าร์ กันได้จ้า
https://www.facebook.com/liqingdiary
เราคิดนานมากว่าจะเล่าเรื่องนี้ดีไหม เพราะค่อนข้างเป็นเรื่องที่ส่วนตัวและมีเนื้อหาที่น่ากลัว แต่ก็คิดว่าหากเรื่องราวของเราสามารถช่วยเหลือเพื่อนๆที่มีอาการแบบเดียวกับเรา หรือช่วยให้เป็นข้อสังเกตได้ เราก็คิดว่าเราได้ช่วยเหลือเพื่อนๆผ่านเรื่องราว การแบ่งปันประสบการณ์ของเรา
ตอนนี้เรากลับมาอยู่แล้ว กลับมาพักรักษาตัว เพราะเราป่วยเป็นโรคไบโพล่าร์
จริงๆโรคนี้ก็คล้ายๆกับโรคประจำตัว คุ้มดีคุ้มร้าย ตัวเราเองกว่าจะรู้ตัว ก็เกือบตายมาแล้ว โชคดีที่เพื่อนของเรามาช่วยไว้ทัน ตอนนี้เราก็ยังไม่หายดีนะคะ ต้องหาหมอทุกๆสองสัปดาห์
อันดับแรก เราควรมาทำความรู้จักกับโรคนี้ก่อนดีกว่าค่ะว่าเป็นยังไงบ้าง เพราะบางทีคนใกล้ตัวเราเองอาจจะเป็นก็ได้ เราได้ไปหาข้อมูลเบื้องต้นมาให้นะคะ ข้อมูลจาก http://goo.gl/cP0UXE ได้ระบุเกี่ยวกับโรคนี้ ดังนี้
** หากเพื่อนๆเคยศึกษามาบ้างแล้ว ข้ามไปอ่านเรื่องราวของเราได้เลยคะ
ขอบคุณที่มาจาก : โรงพยาบาลมนารมย์
http://health.mthai.com/knowledge/2987.html
อารมณ์ดีในลักษณะที่ผิดปกติ เรียกว่า mania หมายถึงอารมณ์ดีมากเกินกว่าปกติที่ควรจะ เป็น และมักจะไม่มีเหตุผลหรือไม่สมเหตุสมผล อาจจะมีปัญหากระทบกระเทือนต่อหน้าที่การงาน อารมณ์ดีจนกระทั่งตัดสินใจในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ช่วงที่มีอารมณ์ดีจะช่างพูดช่างคุย คุยได้ไม่หยุด และ ไม่ชอบให้ใครมาขัดจะเกิดอารมณ์หงุดหงิด แล้วถึงขั้นใช้อารมณ์ก้าวร้าวได้
โรคนี้ช่วงซึมเศร้าจะเหมือนกับโรคซึมเศร้า อัตราการฆ่าตัวตายคือ 15-20% เพราะฉะนั้น หนึ่งในห้ามีโอกาสที่จะเกิดปัญหาเบื่อเศร้าและฆ่าตัวตาย ช่วงที่รื่นเริงมากๆ ก็จะมีประเด็นการฆ่าตัว ตายได้ด้วยเช่นกัน ไม่ใช่เฉพาะแค่ตอนซึมเศร้า คนไข้ที่จะป่วยเป็นโรคนี้ จากการวิจัยพบว่า จะเริ่ม เกิดอาการของโรคนี้ในช่วงวัยรุ่น แต่อาการจะไม่ปรากฏชัด ซึ่งบางทีวัยรุ่นเป็นโรคนี้อยู่แต่ไม่ปรากฏ อาการที่รุนแรง คนรอบข้างจะไม่สามารถสังเกตได้ อาจเริ่มมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลง เช่น อาจจะ เที่ยวกลางคืน อยากไปเตร็ดเตร่ ไม่มีสมาธิในการเรียนทำให้ผลการเรียนตกลง
==== ต่อจากนี้ เราจะเล่าเรื่องที่เกิดจากโรคนี้นะคะ =====
เรานอนเปิดตาขึ้นมา ภาพค่อยๆปรากฏว่าตัวเองนอนเอาหน้าแนบพื้นห้องน้ำ แขนขาไม่มีแรง รู้สึกเหมือนเรากำลังจะตาย
เราจำได้ปวดท้องมาก แต่เหงื่อท่วมตัว ท่ามกลางอากาศ -20 ของฮาร์บิน เมืองทางตอนเหนือของจีน เข้าใจว่าคงจะท้องเสียเลยไปเข้าห้องน้ำ แต่สิ่งที่ได้กลับมาไม่ใช่การที่อาการปวดท้องดีขึ้น แต่เป็น มือ เท้า หัว เย็นวาบไปหมด
กำลังจะไปเรียกเพื่อนให้ช่วย แล้วภาพก็ตัดไป
ใช่แล้วเรานอนสลบอยู่ในห้องน้ำโดยไม่รู้ตัวเลย นานเท่าไรก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าเป็นเวลาตอนเช้ามืด
พอรู้สึกตัวก็รวบรวมเรี่ยวแรงที่เหลือยู่ ไปเรียกเพื่อน ในสภาพที่การเดินออกไปแต่ละก้าวนั้นทรมานมาก พอถึงห้องของเพื่อนก็ล้มตัวลงนอนกับเตียงแล้วบอกเพื่อให้ช่วยด้วย
“ขิง ช่วยเราด้วย เราไม่ไหวแล้ว หายใจไม่ออก”
ขิงเพื่อนรูมเมท ตกใจตื่นมาด้วยความมึนงง ว่าเราเล่นอำอะไร (ปกติชอบแกล้งเพื่อนมาก) เพราะเมื่อตอนกลางวันยังเห็นไม่มีอาการป่วยหนักขนาดนี้
“พาเราไปโรงพยาบาลด้วยเราไม่ไหวแล้ว” เรายังคงเรียกขิงให้ช่วย นี้คงเป็นเสียงสุดท้ายแล้ว เราก็สลบไปเลย
ขิงและเพื่อนๆรีบติดต่อให้เจ้าหน้าที่มาช่วยเหลือ เราต้องเสียบสายออกซิเจนทางจมูก และต้องเอาผ้านวมห่อตัวไว้ อากาศ -20 นั้นทำให้นอกจากต้องต่อสู้กับความทรมาณของการที่เกิด ต้องสู้กับความหนาวที่ทะลุเข้ามาในร่ายกายจนทำให้เราหน้าซีด ขาว ราวกับระบบเลือดมันหยุดทำงานไปอย่างนั้น
เมื่อถึงโรงพยาบาล
“พวกเธอต้องจ่ายเงินก่อน เราจึงจะเริ่มทำการรักษา” นี้คือสิ่งที่หมอและพยาบาลพูดกับพวกเราเมื่อถึงห้องฉุกเฉิน เราคิดในใจว่าทำไมถึงใจร้ายกับพวกเรามากเลย เขาต้องให้ไปจ่ายเงินและรอจนกว่าการจ่ายเงินจะเสร็จ หมอ ถึงจะเริ่มลงมือช่วยเหลือฉุกเฉินได้ เราเจ็บที่หน้าอก และเริ่มปวดตามตัวมาก แต่กว่าจะจ่ายเงินเสร็จ ก็ใช้เวลาไปไม่น้อยเลย หมอก็เพียงแต่ให้น้ำเกลือเรา 2 ถุง แล้วก็ไม่ได้ทำอะไรต่อเลย ถามอะไรก็ตอบไม่ได้ ไม่ได้ตรวจอะไรเลย จะเอาชีวิตมาฝากไว้ที่จีนนี้หรือ ?
ตอนให้น้ำเกลือ หน้าตายังดูสดใส แต่ว่าเพลียมาก
ส่วนเพื่อนขิงมานั้งเฝ้าอาการก็หลับไปเลย
ระหว่ารอให้น้ำเกลือ เราย้อนคิดถึงตัวเองในวัยเด็ก สมัยมัธยม ทุกๆเดือนที่มีการปิดเทอม เราก็ต้องอยู่บ้าน เราจะบอกกับป้า(ที่เลี้ยงเรามา) อยู่เสมอ ว่าเราชอบเบื่อ ไม่อยากทำอะไรเลย ไม่กิน ไม่นอน แต่ไม่รู้ว่านี่ คือ สัญญาณบ่งบอกถึงโรคไบโพล่าร์
จนเราน้อยใจอะไรสักอย่างเราจำไม่ได้ แต่คนที่บ้านบอกว่า
เราฆ่าตัวตาย
ตอนนั้นเราจำได้ว่า มีเสียงคนมาเรียก ได้ยินเสียงคนที่เราไม่รู้จัก ผู้ใหญ่ที่บ้านเห็นอาการไม่ดีเลยเรียกให้รถโรงพบาบาลมารับถึงบ้าน เราอยู่ที่โรงพยาบาลหลายวันมาก เราดิ้นและสบัดทุกอย่างออกจากตัว จนหมอต้องให้ยานอนหลับอย่างแรง เป็นขนาดที่ผู้ใหญ่ตัวโตๆ กินไปยังล้มได้เลย แต่เราลุก และ จะวิ่งหนีออกไปจากโรงพยาบาล จนหมอต้องมาช่วยกันจับไว้
อาการเรากลับมาดีขึ้นเพราะทางบ้านมีความเชื่อเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พาไปนั้งสมาธิและสวดมนต์เลยอาการดีขึ้น และคิดว่า “ผีเข้า”
ชีวิตก็เป็นแบบนี้ จนมาถึงประมาณ ป.ตรี พอเรียนจบ เราก็ขอทุนไปเรียนโทต่อที่ประเทศจีน(ฮาร์บิ้น) ตอนแรกเราเครียดมากๆ เพราะที่บ้านไม่ยอมให้ไปเรียนเมืองนอก แต่เรากลับคิดว่า อยากได้ลูกเสือก็ต้องเข้าถ้ำเสือเลยกัดฟันอดทนต่อความกดดันต่างๆนานา
ก็อาศัยเรียนพิเศษหอการค้าไทย จีน หน้าปากซอยบ้าน สุดท้ายเราได้ทุนที่ harbin institute of technology ที่จีนเรียกว่าฮาร์กงต้า
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เราตื่น 6 โมงเช้า นอนเที่ยงคืนเกือบตีหนึ่ง บางที ก็ตื่นตี3 หรือตี4 ตื่นมานั่งอ่านหนังสือ คัดคำศัพท์ เพราะแค่คำง่ายๆ เรายังฟังไม่ออกเลย เวลาเรียนก็ฟังไม่รู้เรื่องวันนึงได้นอนก็ 3-4 ชั่วโมง ไม่ใช่ไม่อยากนอนนะ แต่นอนไม่หลับ เลยตื่นมาทำนั่นทำนี้
ยิ่งทำก็ยิ่งนอนไม่หลับ พอพักผ่อนน้อย ความเครียดเริ่มสะสม และร่างกายเริ่มรับไม่ไหว
เริ่มแรกไม่รู้ตัวเลยว่าเป็นอะไร รู้สึกจิตตกและเหงา ประกอบกับเริ่มมีคนเข้ามาคุยกับเราผ่านทาง wechat เราแค่อยากหาเพื่อนคุยด้วย แต่คนที่เข้ามาคุยกับเราส่วนใหญ่แล้วชอบมาแนวชู้สาว
บางคนนี้ขอให้เราเลิกกับแฟนไปคบกับเขา หรือ ยอมเป็นมือที่สามเลยก็มี (เอาจริงๆนะไม่ใช่เราสวยเด่นอะไรหรอก พวกนั้นมันเลว ฮ่าๆ ) เราก็เริ่มมีปัญหากับแฟนบ้างหละ แต่แฟนเราพยายามเข้าใจว่าอยู่ไกลบ้าน เหงา แค่อยากหาเพื่อนคุย ก็ด้วยความไว้ใจกันตลอดมา เพราะทุกครั้งที่มีคนมาคุยกับเรา จะบอกเสมอว่าเรามีแฟนแล้ว และไม่ได้ต้องการคบใครนอกจากแฟนที่ไทย
เราไม่รู้จริงๆว่านี้คือ 1 ในอาการของไบโพล่าร์ ที่ชอบทำอะไรเสี่ยงๆ เสี่ยงต่อความสัมพันธ์ อยากรู้สึกว่าได้รับการชดเชยจากอาการหดหู่
ช่วงนั้นเรามีปัญหากับแฟนบ่อยมาก เหมือนจะเลิกกับแฟนเลย ไม่รู้ว่าเราเป็นอะไร กลับต่อว่าแฟนกลับว่าไม่เข้าใจเรา เราแค่พยายามควบคุมตัวเองไม่ให้เกิดเรื่องไม่ดี โชคดีที่ยังประคับประคองได้ดี แฟนเราบินกลับมาหาอีกครั้ง เคลียร์เรื่องทุกอย่าง สัญญาว่าว่าจะดูแลกัน ความสัมพันธ์เรากลับมาดีอีกครั้ง
แต่แล้วเราก็ยังผิดคำสัญญา เพราะอยู่ที่นั้น ก็มีคนเข้ามาคุยกับเรานะ ถ้าคนที่เรียนนอกจะรู้ว่าสังคมเด็กต่างชาติ เขาจะค่อนข้างมีการไปมาพบหากันเยอะ หลายๆคู่ที่มีปัญหากันก็จากตรงนี้ด้วยส่วนนึง แต่ก็ยอมรับนะว่าบางครั้งเราเองอาจจะไม่สนใจแฟนเรามากเกินไป เพราะจริงๆแล้ว เราแค่ไม่อยากอยู่คนเดียว อยากให้มีใครเข้าใจเราบ้าง
ทำไมต้องทำถึงขนาดนี้ จนแฟน เรามาเห็นข้อความระหว่างที่นั้งทานข้าวกับเพื่อนซึ่งจริงๆแล้วก็เป็นการพูดคุยกันธรรมดา เขาไม่พอใจมาก เดินออกจากร้านกลับโรงแรมไปเลยเราพยายามไปง้อแฟน และเพื่อนพยายามบอกให้แฟนสงบ ใจเย็นลง แต่เราโดนแฟนสบัดล้มลงไป ทุกอย่างเริ่มสับสนว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างที่แฟนเราเดินหนีเราไป เราสิ้นหวังมาก ความคิดในในจิตใจตอนนั้น คือ
อยากตาย อยากตาย อยากตาย เราต้องตาย ไม่อยากจะรับรู้อะไรอีกแล้ว !!!!!!
เราเดินขึ้นไปชั้น 6 ของโรงแรม เปิดประตูที่เป็นทางออกฉุกเฉิน ยืนอยู่ริมขอบระเบียงโรงแรม ทางข้างหน้านั้นว่างเปล่า ในใจเราคิดว่า ไม่อยากจะอยู่บนโลกใบนี้ ขอโทษกับทุกสิ่งทุกอย่าง เราโทษตัวเองและคิดว่าชีวิตมันไร้ค่า อยากอยากจะกระโดดออกไป ไม่สนใจว่า พื้นที่มีหิมะที่ดูเบานุ่มอยู่ข้างล่างนั้นหากตกตัวลงไป ก็คงกระแทกกับพื้นกลายเป็นร่างไร้วิญญาณได้ทันที
เราได้ยินเสียงคนบอกให้เรา กระโดดลงไป! บอกให้เราบิน เราต้องบินได้ แล้วเราจะรอดพ้นจากสิ่งต่างๆ ที่ต้องอดทน ไม่ต้องทนแล้ว เราแค่หายไป ทุกอย่างจะจบลง เราก้าวข้าวขาออกไป ....
ต่อตอนที่สองนะคะ