สวัสดีค่ะ วันนี้เจ้าของกระทู้มาลงภาคต่อเรื่องเล่าแอร์โฮสเตสตะวันออกกลาง ตอนที่ 9 แล้วนะคะ เขียนมาจากประสบการณ์ชีวิตส่วนตัวหลายๆเหตุการณ์ตลอด 7 ปีที่เป็นแอร์ของเราเอง ต้องขอขอบคุณมากๆที่ติดตามอ่านกันจนถึงตอนนี้ค่ะ ^ ^ เล่าเลยละกันนะคะกับ
" เรื่องเล่าแอร์โฮสเตสตะวันออกกลาง ตอนที่ 9 : ผีในมโนจากมิลาน ✈️✨ "
" หลังจากย้ายสำมะโนครัวมาปักรกรากบินที่กรุงอาบูดาบีก็ครบขวบปีแล้ว พอมารู้ตัวอีกที ความเปลี่ยนแปลงในด้านบุคลิก และมุมมองความคิดมากมาย ตามประสาคนห่างบ้านมานานมันก็ยิ่งชัดขึ้น.. ชัดขึ้นทุกที
จากเด็กไทยขี้อาย เรียนอักษรศาตร์ แต่ทุกครั้งที่เจอฝรั่งก็ยังสั่นกลัวตลอดเวลา ตอนนี้นี่เดินทั่วเครื่องบิน โบกมือเซย์ไฮทักเค้าทั่วไปหมดแบบไม่เหลือเค้าความอาย ยิ่งปกติสายการบินเราก็ไม่ค่อยจะมีคุณลูกค้าคนไทยสักเท่าไหร่อยู่แล้ว ยิ่งเจอแต่ชาวต่างชาติมันทุกไฟลท์ นอกจากจะไม่สั่นกลัวแล้ว เรายังเริ่มจะรู้วิธีรับมือกับผู้โดยสารแต่ละชาติเลยด้วยซ้ำไป
..แต่มีสิ่งหนึ่งที่เราไม่เคยเปลี่ยนเลยต่อให้เซลฟ์ขึ้นสักเพียงใดก็ตาม นั่นก็คือ " ความกลัวผี "
กลัวมันชนิดที่ว่า ไปนอนโรงแรมไหนก็ตาม ต้องพกพระ 2 องค์เล็กๆไปวางไว้ตรงหัวนอน และเปิดไฟทุกดวงที่มีในห้องยันไปถึงห้องน้ำเลยทีเดียว
มิลานสินะ.. คืนนี้ หึหึ
ตื่นมาแต่งตัวตอน 4 ทุ่ม ทาปากสีแดงแปร๊ดคู่ใจ หยิบหมวกมาใส่กับผ้าปิดหน้าพันคอ ลากกระเป๋าเดินออกจากห้องและลงไปรอรถตู้มารับไปสนามบิน เคยเคย.. เฉยๆ ไม่เห่อยืนยิ้มคนเดียวแบบแต่ก่อน
ไฟลท์มิลานกลางวันว่าง่ายแล้ว กลางคืนนี่เหมือนมาเป็นยามเฝ้าเครื่องบิน คือเงียบมากก ผู้โดยสารหลับจริงจัง หลับลึกสุด และถึงเมื่อตื่นกันมาก็พบว่าชีวิตดี๊ดี ท่านผู้โดยสารไม่ขออะไรเลย ที่เสิร์ฟอยู่มีอะไร ท่านก็เอาอย่างนั้น ไอ้นู่นหมด ท่านก็เอานี่แทน ไม่ก็ขอแค่กาแฟกับขนมปังเท่านั้น ไม่มีดรามาอยากกินไก่ให้ได้ตอนตี 5 ไม่มีดรามาวิ่งไปมาผลุบโผล่เป็นบ้านผีปอป
และที่สำคัญ ไฟลท์ไม่เต็ม ห้องน้ำก็สะอาด เราจึงได้สวยแบบแอร์กับเขาตลอดรอดฝั่งจนล้อเครื่องบินแตะกรุงมิลานในยามอรุณเบิกฟ้ากับเขาสักครั้ง
Milan Here I come. โอ้วว..
8.00 น.สินะ รถติดรับอรุณ ถนนก็เล็กและโรงแรมก็ไกล อยากนะ อยากนอน แต่แดดก็แยงตาจังเลยนิ โต้รุ่งมาแบบนี้ควรต้องนอนในห้องที่โรงแรมปิดม่านมืดๆ และนอนยาวจนถึงบ่ายแก่ๆ เลยเพื่อสังขารยืนยง แล้วจึงค่อยออกไปนั่งรถไฟชิลล์ไป Duomo ดูแสงสีมากมายยามเย็น
แค่คิดก็สนุกละ!
ว่าแต่.. อย่าได้ปริปากบอกแผนการณ์เที่ยวนี้กับใครเป็นเด็ดขาด! เพราะไม่อยากให้ลูกเรือต่างชาติมาด้วย เข็ดจากรอบที่แล้วที่เดินครึ่งกรุงปารีสหลังโต้รุ่งจากไฟลท์จนลิ้นห้อย แต่ลูกเรือนายหนึ่งยืนยันว่าจะไม่กินอะไรเป็นเด็ดขาดถ้าไม่ใช่ Subway
"งั้นเชิญตายคนเดียวครับ ดิชั้นจะกิน.. " คำตอบที่เราฝากให้เพื่อนร่วมทีมครานั้นเมื่อน้ำตาลในเลือดเหือดจนบันดาลโทสะ และนั่นก็คือการปฏิญาณเล็กๆในใจว่า จะไม่ให้ใครตามมาอีกแล้ว ออกมาคนเดียวอิสระกว่าเป็นไหนๆ หิวเมื่อไหร่ อยากกินอะไรก็ได้กิน
ว่าแต่บัดนี้ จัดมาม่าสิคะ! จะรออะไร
พกมาทีไร ต้องได้กินทุกที เจนีวาก็มาม่า ปารีสก็มาม่า มามิลานก็มาม่า เดี๋ยวนี้เริ่มจะรู้ทาง จึงพกขนมกรุบกริบมาด้วยเป็นแพคเกจ พร้อมโค้ก 1 ขวด
หลังจากจัดมาม่าไป 2 กล่อง จุกจนอืด ท้องบวม เราจึงค่อยนอนหลับสบาย ตั้งปลุกไว้ยาวๆถึงบ่ายสามนู่นเลย เพื่อ..
Destination : Duomo แห่งมิลาน!!
ตื่นมาปุ๊ป แอคทีฟปั๊ป วิ่งไปสถานีรถไฟใต้ดินในทันที
ทริปนี้คือเดินจริงๆ หนาวก็หนาว แต่ก็เดินมันส์มากเพราะร้านรวงแกน่าซื้อไปซะหม๊ดด จัดรถบังคับ Ferrari กับน้ำหอมมาฝากพ่อสักนิด และก็เริ่มเสียสติซื้อเกิน budget ต่อไปเรื่อยๆตามทาง
ตกเย็น
..ฟ้ามืดเร็วจริงๆ หน้าหนาวยุโรปนี่นะ
แต่ข้อดีของหน้าหนาวก็คือ เราจะไม่ค่อยเสียตังค์ไปกับเสื้อผ้า เนื่องจากเกราะเพชรเจ็ดชั้นเสื้อกันหนาวที่ใส่มาพะรุงพะรังขนาดนี้ ทำให้เราขี้เกียจลองเสื้อผ้าไปโดยปริยาย
ฟ้ามืดดด..
บรรยากาศเริ่มคลาสสิค ภายใต้วิหารอายุเก่าแก่นับร้อยปีสูงสง่า ฟ้ามืดดำสนิท มีเพียงแสงไฟจากตึกรามอาคารบริเวณ Shopping Center และจากไฟ spotlight ฝนตกพรำๆ โอ้วว..
เราจึงไปซื้อไอติม Homemade รสช็อกโกแลต 1 โคนมาถืออยู่ในมือ และยืนกินข้างๆ Duomoแห่งมิลาน เป็นพักๆก็จะแหงนมองดูสถาปัตยกรรมบริเวณหน้าวิหารที่สูงสง่า รูปปั้นสวยงามขนาดมหึมาด้านหน้า
อืมม.. ฟินนน ใช้ชีวิตคุ้มจังเลย
จนมารู้ตัวอีกทีก็ 2 ทุ่ม เราควรจะกลับโรงแรมเพื่อความปลอดภัยด่วนๆ
รถไฟฟ้าเค้าค่อนข้างเก่า อุโมงค์ใต้ดินก็เก่า มีรอยฉีดพ่นสเปรย์เต็มไปหมด พอโผล่พ้นอุโมงค์ออกมา ก็มืดและเงียบจัง คนไม่ค่อยพลุกพล่านเลย
เราเดินกลับโรงแรมแบบวิเวกในใจเล็กๆ พื้นก็เปียกแฉะจากฝนพรำๆ รถผ่านไปมาก็น้อย และสังเกตได้ว่า คนยุโรปฤดูหนาวมักจะใส่แต่ชุดสีดำ ดูทมึนๆไปทั่วทุกมุม
เมื่อเหยียบเข้าโรงแรมจึงเหมือนอยู่อีกมิติหนึ่ง แสงไฟสีทองสว่างไปหมด เมื่อเข้าห้องนอนเราจึงเปิดไฟให้หมดทุกดวงเพื่อดับความกลัวบรรยากาศที่เพิ่งจะผ่านมา
เอาล่ะ.. เพลียมามาก เราจึงรีบอาบน้ำและใส่ชุดนอนเป็นเสื้อกล้ามกับกางเกงขาสามส่วน ก่อนจะผลอยหลับสนิทด้วยความเหนื่อยล้า พร้อมกับไฟสว่างจ้าทั่วทั้งห้องนอน
..........................................................
รู้สึกอึดอัด อึดอัด
มืดมิดไปหมด หลอน กลัว วังเวง!
ทำไงดีวะ! ผีหรือเปล่านะ!
.......................
ลุกพรึ่บขึ้นมาจากเตียง มืดดดไปหมด..
เฮ้ย! เราเปิดไฟไว้นี่ ทุกดวงเลย แล้วทำไมมันมืดอย่างนี้!
ห้องในโรงแรมที่หรูหรา วอลเปเปอร์ดอกไม้เล็กๆ รูปภาพวาดแขวนผนัง และโคมไฟสีทอง บัดนี้มันดูหลอนมากกว่าสวย
ไม่ได้การณ์! เราต้องหนี!
หยิบเสื้อโค้ตขนเป็ดด้วยความรวดเร็วพร้อมใส่รองเท้าอีแตะสีขาวของโรงแรม วิ่งพุ่งออกไปที่ประตู ..
มืดสนิททั้งทางเดิน
หัวใจเราเต้นแรง ตึ่กตึ่ก ตึ่กตึ่ก.. ทำไงดีวะ?! พ่อแก้วแม่แก้วช่วยด้วย
เรายืนจังก้าเตรียมวิ่งอยู่หน้าห้อง มีเพียงเท้าข้างนึงของเราที่ยังขัดประตูเอาไว้ไม่ให้ปิดสนิท
เสียงประตู! ห้องที่เฉียงออกไปด้านข้างพบร่างชายคนหนึ่งเปิดประตูออกมา เป็นชายฝรั่งรูปร่างสูงใหญ่.. ด้วยความหลอนเราจึงเผลอชักขาออกจากที่ยันประตูเอาไว้เพื่อจะวิ่งไปหาแสงสว่างเดียวที่มี นั่นคือที่ปลายทางเดินของโรงแรม
" ปลายทางมีแสงสว่างสีทองจากด้านนอกสะท้อนเข้ามาได้ เราต้องการแสง! "
"ปัง!!" ประตูห้องนอนเราปิดลงทันทีที่เราชักขาออกมา
ชายคนนั้นหันมามองเราด้วยท่าทีง่วงสุดขีด
"อ้าว! คนนี่หว่า.. ใส่ชุดนอน"
แปลว่า นี่แค่ไฟดับหนิ... ดับทุกห้องด้วย
เดินกลับเข้าไปนอนต่อก็ได้ฟะ โล่งใจจัง..
" ดีนะเนี่ยที่แค่ไฟดับ ไม่ได้เจอผี.. โถ่เอ๊ยย! 555 " เราตลกตัวเองในใจพร้อมจับด้ามประตูเพื่อเปิดกลับเข้าไปในห้องนอนตามเดิม
"แก่ก แก่ก" อืมมม.. เข้าห้องไม่ได้ มันเป็นออโตล็อค คีย์การ์ดก็ไม่ได้หยิบออกมา
เวรล่ะสิ แล้วตอนนี้จะทำยังไง ลิฟต์ก็ดับ!
ก้มลงมองตัวเอง ยังดีว่ามีชุดโอเวอร์โค้ตคลุมเข่ากับอีแตะ ไม่งั้นเสื้อกล้ามกับกางเกงสามส่วนที่ใส่ข้างในอาจดูน่าสังเวชใจกว่านี้
" ตอนนี้จะต้องลงไปเอาการ์ดสำรองจากโรงแรมให้ได้ ไปยังไงดี!? "
เหลือบไปเห็นฝรั่งใส่สูทถือกระเป๋าแนวขายประกันจากอีกมุมหนึ่งของทางเดินกำลังกึ่งเดินกึ่งวิ่งและเปิดประตูฉุกเฉินของโรงแรมออกไปทางบันไดหนีไฟที่อยู่ด้านนอกอาคาร ..ด้วยความดีใจ เราจึงวิ่งตามไปในทันที
"พลัวะ!" เปิดประตู !
อ่าาา..
หนาววัวตายควายล้ม หนาวมากๆ หนาวยะเยือก ยามเช้ามืดนี้อุณหภูมิกี่องศานิ แต่ไม่ทันละ ต้องค่อยๆทุลักทุเลเกาะบันไดหนีไฟลงไปข้างล่างจากชั้น 4 นี้ แม้ราวบันไดเหล็กจะหนาวเพียงใดก็ตาม
เมื่อถึงชั้นล่าง เราจึงวิ่งหนีตายเข้าโรงแรมอย่างรวดเร็วทางด้านหน้าประตู
และก็ถึง..
ผ่าง!! Reception ก็ไฟดับ
"ขอการ์ดเข้าห้องให้หนูเถอะ.. อายสภาพมาก" เรานั่งก้มหน้าภาวนาในใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะ Reception ก็ยังใช้ไฟฉุกเฉินจากเครื่องปั่นไฟอยู่เลย
พนักงานโรงแรมเดินเข้ามาอธิบาย บอกเราว่ายังไงก็ขึ้นห้องไม่ได้เพราะไฟดับ เราจึงต้องนั่งรอไฟมาเป็นเวลาเกือบครึ่งชั่วโมง
ระหว่างรอ.. ซีนคล้ายๆกันกับที่เคยเห็นบนเครื่องก็ผ่านมาให้ได้ดู นั่นคือมีแขกผู้มาพักลงมาคอมเพลนท์พนักงานเป็นภาษาอังกฤษ ตะโกนโวยวายบอกว่าบริการแย่มาก ทำไมถึงไฟดับได้?! จะไม่มาพักอีกละ เช็คต์เอาต์เดี๋ยวนี้เลย ว่ากันไป..
ส่วนพนักงานก็ได้เพียงแต่ขอโทษขอโพยแต่โดยดี
"ถ้าผมปั่นไฟให้พี่ใช้ได้นี่ผมทำละนะ" เรานี่คิดแทนพนักงานรัวๆ หัวอกเดียวกัน
ผ่านไปเพียงอีกไม่นาน ไฟก็มา เราจึงได้ฤกษ์ขึ้นไปนอนต่อซะที.. ฉะนั้นแพลนเดินเล่นทั่วกรุงมิลานในวันนี้จึงเป็นอันต้องพับเก็บไปเนื่องจากเหนื่อยจากการวิ่งหนีผีในมโน
ขออย่างเดียว ตอนเช็คเอาต์บินกลับอาบูดาบีช่วงเย็นวันนี้ในยูนิฟอร์มสง่างามของสายการบิน ขออย่าให้เจอพนักงานเซ็ตเดียวกันกับรอบเช้านี้เลย.. ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
สำหรับวันนี้ Have A Good Rest, Everyone! "
ขอบคุณที่อ่านกันจนจบนะคะ ส่วนใครที่อยากอ่านย้อนหลังตอนเก่าๆ เราลงลิงค์เรื่องเล่าและงานเขียนเราทั้งหมดไว้ให้ลองอ่านกันดูนะคะ มีฟีดแบคคอมเมนต์อะไร เจ้าของกระทู้น้อมรับด้วยความยินดีค่ะ ^ ^
" แกคือคนสุดท้ายในรุ่นที่ชั้นจะคิดว่าได้เป็นแอร์ " ..จากคำสบประมาท สู่ฝันแอร์โฮสเตสสายการบินตะวันออกกลาง
http://www.ppantip.com/topic/34273378
" เรื่องเล่าแอร์โฮสเตสตะวันออกกลาง ตอนที่ 1 : ฝันที่เป็นจริงหรือภาพลวงตา ✈️✨ "
http://www.ppantip.com/topic/34504171?
" เรื่องเล่าแอร์โฮสเตสตะวันออกกลาง ตอนที่ 2 : หรือฉันจะไม่ใช่นางฟ้า ?.. ✈️✨ "
http://www.ppantip.com/topic/34536596?
" เรื่องเล่าแอร์โฮสเตสตะวันออกกลาง ตอนที่ 3 : นี่หรือ.. ที่เขาเรียกกันว่า ชีวิตนางฟ้า ✈️✨ "
http://www.ppantip.com/topic/34568986
" เรื่องเล่าแอร์โฮสเตสตะวันออกกลาง ตอนที่ 4 : ใครๆก็บอกว่า.. เราบินได้ ✈️✨ "
http://www.ppantip.com/topic/34635697
" เรื่องเล่าแอร์โฮสเตสตะวันออกกลาง ตอนที่ 5 : สวิสในฝัน ฉันมาถึงแล้ว✈️✨ "
http://www.ppantip.com/topic/34675852
" เรื่องเล่าแอร์โฮสเตสตะวันออกกลาง ตอนที่ 6 : ความทรงจำสีจางใจกลางกรุงเจนีวา ✈✨ "
http://www.ppantip.com/topic/34728863
" เรื่องเล่าแอร์โฮสเตสตะวันออกกลาง ตอนที่ 7 : จุดเปลี่ยนแรกชีวิตแอร์ ✈️✨ "
http://www.ppantip.com/topic/34785569
" เสียงลือเสียงเล่าอ้าง : ว่าด้วยเรื่องผีในเครื่องบิน "
http://www.ppantip.com/topic/34814284
" อยากเป็นแอร์ตอนนี้ยังทันไหม! : 10 ข้อเท็จจริงที่คุณควรรู้ก่อนเปลี่ยนเส้นทางเดินชีวิต "
http://www.ppantip.com/topic/34853513
" เรื่องเล่าแอร์โฮสเตสตะวันออกกลาง ตอนที่ 8 : ยุทธการหักปีกครั้งที่ 1 ✈️✨
http://www.ppantip.com/topic/34910615
" เรื่องเล่าแอร์โฮสเตสตะวันออกกลาง ตอนที่ 9 : ผีในมโนจากมิลาน ✈️✨ "
" เรื่องเล่าแอร์โฮสเตสตะวันออกกลาง ตอนที่ 9 : ผีในมโนจากมิลาน ✈️✨ "
" หลังจากย้ายสำมะโนครัวมาปักรกรากบินที่กรุงอาบูดาบีก็ครบขวบปีแล้ว พอมารู้ตัวอีกที ความเปลี่ยนแปลงในด้านบุคลิก และมุมมองความคิดมากมาย ตามประสาคนห่างบ้านมานานมันก็ยิ่งชัดขึ้น.. ชัดขึ้นทุกที
จากเด็กไทยขี้อาย เรียนอักษรศาตร์ แต่ทุกครั้งที่เจอฝรั่งก็ยังสั่นกลัวตลอดเวลา ตอนนี้นี่เดินทั่วเครื่องบิน โบกมือเซย์ไฮทักเค้าทั่วไปหมดแบบไม่เหลือเค้าความอาย ยิ่งปกติสายการบินเราก็ไม่ค่อยจะมีคุณลูกค้าคนไทยสักเท่าไหร่อยู่แล้ว ยิ่งเจอแต่ชาวต่างชาติมันทุกไฟลท์ นอกจากจะไม่สั่นกลัวแล้ว เรายังเริ่มจะรู้วิธีรับมือกับผู้โดยสารแต่ละชาติเลยด้วยซ้ำไป
..แต่มีสิ่งหนึ่งที่เราไม่เคยเปลี่ยนเลยต่อให้เซลฟ์ขึ้นสักเพียงใดก็ตาม นั่นก็คือ " ความกลัวผี "
กลัวมันชนิดที่ว่า ไปนอนโรงแรมไหนก็ตาม ต้องพกพระ 2 องค์เล็กๆไปวางไว้ตรงหัวนอน และเปิดไฟทุกดวงที่มีในห้องยันไปถึงห้องน้ำเลยทีเดียว
มิลานสินะ.. คืนนี้ หึหึ
ตื่นมาแต่งตัวตอน 4 ทุ่ม ทาปากสีแดงแปร๊ดคู่ใจ หยิบหมวกมาใส่กับผ้าปิดหน้าพันคอ ลากกระเป๋าเดินออกจากห้องและลงไปรอรถตู้มารับไปสนามบิน เคยเคย.. เฉยๆ ไม่เห่อยืนยิ้มคนเดียวแบบแต่ก่อน
ไฟลท์มิลานกลางวันว่าง่ายแล้ว กลางคืนนี่เหมือนมาเป็นยามเฝ้าเครื่องบิน คือเงียบมากก ผู้โดยสารหลับจริงจัง หลับลึกสุด และถึงเมื่อตื่นกันมาก็พบว่าชีวิตดี๊ดี ท่านผู้โดยสารไม่ขออะไรเลย ที่เสิร์ฟอยู่มีอะไร ท่านก็เอาอย่างนั้น ไอ้นู่นหมด ท่านก็เอานี่แทน ไม่ก็ขอแค่กาแฟกับขนมปังเท่านั้น ไม่มีดรามาอยากกินไก่ให้ได้ตอนตี 5 ไม่มีดรามาวิ่งไปมาผลุบโผล่เป็นบ้านผีปอป
และที่สำคัญ ไฟลท์ไม่เต็ม ห้องน้ำก็สะอาด เราจึงได้สวยแบบแอร์กับเขาตลอดรอดฝั่งจนล้อเครื่องบินแตะกรุงมิลานในยามอรุณเบิกฟ้ากับเขาสักครั้ง
Milan Here I come. โอ้วว..
8.00 น.สินะ รถติดรับอรุณ ถนนก็เล็กและโรงแรมก็ไกล อยากนะ อยากนอน แต่แดดก็แยงตาจังเลยนิ โต้รุ่งมาแบบนี้ควรต้องนอนในห้องที่โรงแรมปิดม่านมืดๆ และนอนยาวจนถึงบ่ายแก่ๆ เลยเพื่อสังขารยืนยง แล้วจึงค่อยออกไปนั่งรถไฟชิลล์ไป Duomo ดูแสงสีมากมายยามเย็น
แค่คิดก็สนุกละ!
ว่าแต่.. อย่าได้ปริปากบอกแผนการณ์เที่ยวนี้กับใครเป็นเด็ดขาด! เพราะไม่อยากให้ลูกเรือต่างชาติมาด้วย เข็ดจากรอบที่แล้วที่เดินครึ่งกรุงปารีสหลังโต้รุ่งจากไฟลท์จนลิ้นห้อย แต่ลูกเรือนายหนึ่งยืนยันว่าจะไม่กินอะไรเป็นเด็ดขาดถ้าไม่ใช่ Subway
"งั้นเชิญตายคนเดียวครับ ดิชั้นจะกิน.. " คำตอบที่เราฝากให้เพื่อนร่วมทีมครานั้นเมื่อน้ำตาลในเลือดเหือดจนบันดาลโทสะ และนั่นก็คือการปฏิญาณเล็กๆในใจว่า จะไม่ให้ใครตามมาอีกแล้ว ออกมาคนเดียวอิสระกว่าเป็นไหนๆ หิวเมื่อไหร่ อยากกินอะไรก็ได้กิน
ว่าแต่บัดนี้ จัดมาม่าสิคะ! จะรออะไร
พกมาทีไร ต้องได้กินทุกที เจนีวาก็มาม่า ปารีสก็มาม่า มามิลานก็มาม่า เดี๋ยวนี้เริ่มจะรู้ทาง จึงพกขนมกรุบกริบมาด้วยเป็นแพคเกจ พร้อมโค้ก 1 ขวด
หลังจากจัดมาม่าไป 2 กล่อง จุกจนอืด ท้องบวม เราจึงค่อยนอนหลับสบาย ตั้งปลุกไว้ยาวๆถึงบ่ายสามนู่นเลย เพื่อ..
Destination : Duomo แห่งมิลาน!!
ตื่นมาปุ๊ป แอคทีฟปั๊ป วิ่งไปสถานีรถไฟใต้ดินในทันที
ทริปนี้คือเดินจริงๆ หนาวก็หนาว แต่ก็เดินมันส์มากเพราะร้านรวงแกน่าซื้อไปซะหม๊ดด จัดรถบังคับ Ferrari กับน้ำหอมมาฝากพ่อสักนิด และก็เริ่มเสียสติซื้อเกิน budget ต่อไปเรื่อยๆตามทาง
ตกเย็น
..ฟ้ามืดเร็วจริงๆ หน้าหนาวยุโรปนี่นะ
แต่ข้อดีของหน้าหนาวก็คือ เราจะไม่ค่อยเสียตังค์ไปกับเสื้อผ้า เนื่องจากเกราะเพชรเจ็ดชั้นเสื้อกันหนาวที่ใส่มาพะรุงพะรังขนาดนี้ ทำให้เราขี้เกียจลองเสื้อผ้าไปโดยปริยาย
ฟ้ามืดดด..
บรรยากาศเริ่มคลาสสิค ภายใต้วิหารอายุเก่าแก่นับร้อยปีสูงสง่า ฟ้ามืดดำสนิท มีเพียงแสงไฟจากตึกรามอาคารบริเวณ Shopping Center และจากไฟ spotlight ฝนตกพรำๆ โอ้วว..
เราจึงไปซื้อไอติม Homemade รสช็อกโกแลต 1 โคนมาถืออยู่ในมือ และยืนกินข้างๆ Duomoแห่งมิลาน เป็นพักๆก็จะแหงนมองดูสถาปัตยกรรมบริเวณหน้าวิหารที่สูงสง่า รูปปั้นสวยงามขนาดมหึมาด้านหน้า
อืมม.. ฟินนน ใช้ชีวิตคุ้มจังเลย
จนมารู้ตัวอีกทีก็ 2 ทุ่ม เราควรจะกลับโรงแรมเพื่อความปลอดภัยด่วนๆ
รถไฟฟ้าเค้าค่อนข้างเก่า อุโมงค์ใต้ดินก็เก่า มีรอยฉีดพ่นสเปรย์เต็มไปหมด พอโผล่พ้นอุโมงค์ออกมา ก็มืดและเงียบจัง คนไม่ค่อยพลุกพล่านเลย
เราเดินกลับโรงแรมแบบวิเวกในใจเล็กๆ พื้นก็เปียกแฉะจากฝนพรำๆ รถผ่านไปมาก็น้อย และสังเกตได้ว่า คนยุโรปฤดูหนาวมักจะใส่แต่ชุดสีดำ ดูทมึนๆไปทั่วทุกมุม
เมื่อเหยียบเข้าโรงแรมจึงเหมือนอยู่อีกมิติหนึ่ง แสงไฟสีทองสว่างไปหมด เมื่อเข้าห้องนอนเราจึงเปิดไฟให้หมดทุกดวงเพื่อดับความกลัวบรรยากาศที่เพิ่งจะผ่านมา
เอาล่ะ.. เพลียมามาก เราจึงรีบอาบน้ำและใส่ชุดนอนเป็นเสื้อกล้ามกับกางเกงขาสามส่วน ก่อนจะผลอยหลับสนิทด้วยความเหนื่อยล้า พร้อมกับไฟสว่างจ้าทั่วทั้งห้องนอน
..........................................................
รู้สึกอึดอัด อึดอัด
มืดมิดไปหมด หลอน กลัว วังเวง!
ทำไงดีวะ! ผีหรือเปล่านะ!
.......................
ลุกพรึ่บขึ้นมาจากเตียง มืดดดไปหมด..
เฮ้ย! เราเปิดไฟไว้นี่ ทุกดวงเลย แล้วทำไมมันมืดอย่างนี้!
ห้องในโรงแรมที่หรูหรา วอลเปเปอร์ดอกไม้เล็กๆ รูปภาพวาดแขวนผนัง และโคมไฟสีทอง บัดนี้มันดูหลอนมากกว่าสวย
ไม่ได้การณ์! เราต้องหนี!
หยิบเสื้อโค้ตขนเป็ดด้วยความรวดเร็วพร้อมใส่รองเท้าอีแตะสีขาวของโรงแรม วิ่งพุ่งออกไปที่ประตู ..
มืดสนิททั้งทางเดิน
หัวใจเราเต้นแรง ตึ่กตึ่ก ตึ่กตึ่ก.. ทำไงดีวะ?! พ่อแก้วแม่แก้วช่วยด้วย
เรายืนจังก้าเตรียมวิ่งอยู่หน้าห้อง มีเพียงเท้าข้างนึงของเราที่ยังขัดประตูเอาไว้ไม่ให้ปิดสนิท
เสียงประตู! ห้องที่เฉียงออกไปด้านข้างพบร่างชายคนหนึ่งเปิดประตูออกมา เป็นชายฝรั่งรูปร่างสูงใหญ่.. ด้วยความหลอนเราจึงเผลอชักขาออกจากที่ยันประตูเอาไว้เพื่อจะวิ่งไปหาแสงสว่างเดียวที่มี นั่นคือที่ปลายทางเดินของโรงแรม
" ปลายทางมีแสงสว่างสีทองจากด้านนอกสะท้อนเข้ามาได้ เราต้องการแสง! "
"ปัง!!" ประตูห้องนอนเราปิดลงทันทีที่เราชักขาออกมา
ชายคนนั้นหันมามองเราด้วยท่าทีง่วงสุดขีด
"อ้าว! คนนี่หว่า.. ใส่ชุดนอน"
แปลว่า นี่แค่ไฟดับหนิ... ดับทุกห้องด้วย
เดินกลับเข้าไปนอนต่อก็ได้ฟะ โล่งใจจัง..
" ดีนะเนี่ยที่แค่ไฟดับ ไม่ได้เจอผี.. โถ่เอ๊ยย! 555 " เราตลกตัวเองในใจพร้อมจับด้ามประตูเพื่อเปิดกลับเข้าไปในห้องนอนตามเดิม
"แก่ก แก่ก" อืมมม.. เข้าห้องไม่ได้ มันเป็นออโตล็อค คีย์การ์ดก็ไม่ได้หยิบออกมา
เวรล่ะสิ แล้วตอนนี้จะทำยังไง ลิฟต์ก็ดับ!
ก้มลงมองตัวเอง ยังดีว่ามีชุดโอเวอร์โค้ตคลุมเข่ากับอีแตะ ไม่งั้นเสื้อกล้ามกับกางเกงสามส่วนที่ใส่ข้างในอาจดูน่าสังเวชใจกว่านี้
" ตอนนี้จะต้องลงไปเอาการ์ดสำรองจากโรงแรมให้ได้ ไปยังไงดี!? "
เหลือบไปเห็นฝรั่งใส่สูทถือกระเป๋าแนวขายประกันจากอีกมุมหนึ่งของทางเดินกำลังกึ่งเดินกึ่งวิ่งและเปิดประตูฉุกเฉินของโรงแรมออกไปทางบันไดหนีไฟที่อยู่ด้านนอกอาคาร ..ด้วยความดีใจ เราจึงวิ่งตามไปในทันที
"พลัวะ!" เปิดประตู !
อ่าาา..
หนาววัวตายควายล้ม หนาวมากๆ หนาวยะเยือก ยามเช้ามืดนี้อุณหภูมิกี่องศานิ แต่ไม่ทันละ ต้องค่อยๆทุลักทุเลเกาะบันไดหนีไฟลงไปข้างล่างจากชั้น 4 นี้ แม้ราวบันไดเหล็กจะหนาวเพียงใดก็ตาม
เมื่อถึงชั้นล่าง เราจึงวิ่งหนีตายเข้าโรงแรมอย่างรวดเร็วทางด้านหน้าประตู
และก็ถึง..
ผ่าง!! Reception ก็ไฟดับ
"ขอการ์ดเข้าห้องให้หนูเถอะ.. อายสภาพมาก" เรานั่งก้มหน้าภาวนาในใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะ Reception ก็ยังใช้ไฟฉุกเฉินจากเครื่องปั่นไฟอยู่เลย
พนักงานโรงแรมเดินเข้ามาอธิบาย บอกเราว่ายังไงก็ขึ้นห้องไม่ได้เพราะไฟดับ เราจึงต้องนั่งรอไฟมาเป็นเวลาเกือบครึ่งชั่วโมง
ระหว่างรอ.. ซีนคล้ายๆกันกับที่เคยเห็นบนเครื่องก็ผ่านมาให้ได้ดู นั่นคือมีแขกผู้มาพักลงมาคอมเพลนท์พนักงานเป็นภาษาอังกฤษ ตะโกนโวยวายบอกว่าบริการแย่มาก ทำไมถึงไฟดับได้?! จะไม่มาพักอีกละ เช็คต์เอาต์เดี๋ยวนี้เลย ว่ากันไป..
ส่วนพนักงานก็ได้เพียงแต่ขอโทษขอโพยแต่โดยดี
"ถ้าผมปั่นไฟให้พี่ใช้ได้นี่ผมทำละนะ" เรานี่คิดแทนพนักงานรัวๆ หัวอกเดียวกัน
ผ่านไปเพียงอีกไม่นาน ไฟก็มา เราจึงได้ฤกษ์ขึ้นไปนอนต่อซะที.. ฉะนั้นแพลนเดินเล่นทั่วกรุงมิลานในวันนี้จึงเป็นอันต้องพับเก็บไปเนื่องจากเหนื่อยจากการวิ่งหนีผีในมโน
ขออย่างเดียว ตอนเช็คเอาต์บินกลับอาบูดาบีช่วงเย็นวันนี้ในยูนิฟอร์มสง่างามของสายการบิน ขออย่าให้เจอพนักงานเซ็ตเดียวกันกับรอบเช้านี้เลย.. ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
สำหรับวันนี้ Have A Good Rest, Everyone! "
ขอบคุณที่อ่านกันจนจบนะคะ ส่วนใครที่อยากอ่านย้อนหลังตอนเก่าๆ เราลงลิงค์เรื่องเล่าและงานเขียนเราทั้งหมดไว้ให้ลองอ่านกันดูนะคะ มีฟีดแบคคอมเมนต์อะไร เจ้าของกระทู้น้อมรับด้วยความยินดีค่ะ ^ ^
" แกคือคนสุดท้ายในรุ่นที่ชั้นจะคิดว่าได้เป็นแอร์ " ..จากคำสบประมาท สู่ฝันแอร์โฮสเตสสายการบินตะวันออกกลาง
http://www.ppantip.com/topic/34273378
" เรื่องเล่าแอร์โฮสเตสตะวันออกกลาง ตอนที่ 1 : ฝันที่เป็นจริงหรือภาพลวงตา ✈️✨ "
http://www.ppantip.com/topic/34504171?
" เรื่องเล่าแอร์โฮสเตสตะวันออกกลาง ตอนที่ 2 : หรือฉันจะไม่ใช่นางฟ้า ?.. ✈️✨ "
http://www.ppantip.com/topic/34536596?
" เรื่องเล่าแอร์โฮสเตสตะวันออกกลาง ตอนที่ 3 : นี่หรือ.. ที่เขาเรียกกันว่า ชีวิตนางฟ้า ✈️✨ "
http://www.ppantip.com/topic/34568986
" เรื่องเล่าแอร์โฮสเตสตะวันออกกลาง ตอนที่ 4 : ใครๆก็บอกว่า.. เราบินได้ ✈️✨ "
http://www.ppantip.com/topic/34635697
" เรื่องเล่าแอร์โฮสเตสตะวันออกกลาง ตอนที่ 5 : สวิสในฝัน ฉันมาถึงแล้ว✈️✨ "
http://www.ppantip.com/topic/34675852
" เรื่องเล่าแอร์โฮสเตสตะวันออกกลาง ตอนที่ 6 : ความทรงจำสีจางใจกลางกรุงเจนีวา ✈✨ "
http://www.ppantip.com/topic/34728863
" เรื่องเล่าแอร์โฮสเตสตะวันออกกลาง ตอนที่ 7 : จุดเปลี่ยนแรกชีวิตแอร์ ✈️✨ "
http://www.ppantip.com/topic/34785569
" เสียงลือเสียงเล่าอ้าง : ว่าด้วยเรื่องผีในเครื่องบิน "
http://www.ppantip.com/topic/34814284
" อยากเป็นแอร์ตอนนี้ยังทันไหม! : 10 ข้อเท็จจริงที่คุณควรรู้ก่อนเปลี่ยนเส้นทางเดินชีวิต "
http://www.ppantip.com/topic/34853513
" เรื่องเล่าแอร์โฮสเตสตะวันออกกลาง ตอนที่ 8 : ยุทธการหักปีกครั้งที่ 1 ✈️✨
http://www.ppantip.com/topic/34910615