สวัสดีเพื่อนๆชาวพันทิปทุกคนครับ นี่ก็เป็นกระทู้แรกที่ผมเขียนนะครับ หากมีข้อผิดพลาดตรงไหน หรือการใช้ภาษาไม่ถูกต้องก็อย่าว่ากันเลยเนอะ
เข้าเรื่องกันเลยดีกว่า ที่จริงผมไม่ได้จะมาถามหรอกครับ แต่ผมจะมาแชร์(หรือบ่นให้ฟัง)มากกว่า (เข้าข่ายหลอกลวงมั้ยนี่ อิอิ) พอดีผมมีโอกาสได้คุยกับเพื่อนหญิงสมัย ม.ปลาย(ที่เราเคยมีใจให้) ก็ถามข่าวคราวตามประสาคนพึ่งได้เจอกันแหละ แต่ว่าๆ พอคุยกันไปคุยกันมาก็เจอประโยคนี้เข้า
อ่ะๆ!! ไม่ใช่ว่าผมไม่คิดถึงเธอหรือไม่อยากตอบนะครับ แต่คำตอบมันพิมพ์เป็นคำพูดไม่ได้ แล้วทำไมคำตอบของผมมันพิมพ์เป็นคำพูดไม่ได้หน่ะหรือ ทั้งๆที่ตอบใช่ หรือไม่ก็จบแล้ว… ก็เพราะว่าผมมีเหตุผลอยู่ครับ
แต่ก่อนที่จะไปตอบคำถามของเธอ ผมขอย้อนไปตอนม.ปลายกันดีกว่าครับ ว่าเรื่องความสัมพันธ์ของผมกับเธอมันเป็นมาอย่างไร // ผมเรียนอยู่ในโรงเรียนประจำอำเภอครับ คือเราเริ่มรู้จักกันตอน ม.5 ตอน ม.4 เธออยู่ห้อง 2 ตอนนั้นระบบการศึกษาของโรงเรียนผมมีหลักอยู่ว่าห้องเรียนสายวิทย์-คณิตฯ จะถูกแบ่งห้องตามการเรียงตามลำดับเกรดเฉลี่ยของแต่ล่ะคนครับ(สมัยผมนั้นมี 2 ห้อง) โดยที่เธอนั้น ได้ย้ายขึ้นมาจากห้อง 2 (ผมอยู่ห้อง 1 อยู่แล้วนะ อิอิ) เธอเรียนเก่งในระดับหนึ่ง(เอาเป็นว่ามากกว่าผมแล้วกัน) สกิลของเธอคืองานฝีมือ(ทำพานบายศรี วาดรูป บลาๆ) และการเขียนหนังสือแบบไฮท์สปีดครับ
แล้วผมไปชอบเธอได้ยังไงหน่ะเหรอ??
เหตุเกิดที่วิชาเคมีครับ โดยผู้สอนคือครูประจำชั้นของพวกเราเองครับ โดยจะนั่งกันเป็นกลุ่ม แน่นอนเธออยู่กลุ่มเดียวกับผมครับ วิธีการเรียนการสอนของวิชานี้หน่ะหรือ จดลงสมุดอย่างเดียวครับจดชนิดที่นิ้วล็อคกันไปข้าง อาจมีคำนวณบ้าง นั่นแหละครับที่ผมได้รู้จักเธอครั้งแรกเลย เธอเป็น ผญ อัธยาศัยดีม๊ากกก(ถึงมากที่สุด) ออกแนวกวนทีนนิดๆด้วย เธอเริ่มถามชื่อเพื่อนทั้งกลุ่มก่อนเลย ถามแบบชิวๆเป็นกันเอง พูดคุยสบายๆ(หยั่งกับรู้จักกันมาก่อนแหนะ) วันแรกเธอก็โชว์สกิลเทพแล้วครับ เพราะเมื่อเข้าสู้ช่วงดราม่าของวิชาเคมีจดสิครับจะรออะไร อาจารย์แกก็อ่านมาแบบรัวๆครับ ชนิดที่ว่าใครหันไปถามกัน”เฮ้ย ตรงนี้มันเขียนงัยวะ?” จดต่อไม่ได้แน่นอนครับ ขนาดตั้งท่ารอจดยังแทบไม่ทันครับ พวกจดผิดแล้วคิดจะลบนี่บอกเลยครับ ลบคำผิดเสร็จ ต้องเว้นไป 2 บรรทัด เพื่อไปจดให้ทันเพื่อน(คือไปไวมากเว้ย) แต่เธอคนนี้โชว์เหนือตั้งแต่วันแรกเลยครับ นางจดแทบจะทันคำพูดอาจารย์เว้ย เท่านั่นยังไม่พอ เขียนผิดลบเขียนต่อไปได้อย่างสบายๆเลย อู้วววว เมพขิงๆ ส่วน ของผมนี่ไม่ต้องพูดถึงเลยครับ ผมเป็นคนเขียนช้าถึงช้ามาก สะดุดทีนี่บอกเลย เว้นไว้ 1 ส่วน 3 ของหน้ากระดาษเลยทีเดียว แล้วจะทำไงหล่ะ? ก็ต้องหายืมสมุดเพื่อนมาลอกสิครับ โดยที่ความเร็วการจดระดับนี้บอกเลยว่ายากต่อการที่จะเจอสมุดของเพื่อนแต่ละคนที่มันพอจะเป็นตัวหนังสือให้เราอ่าน แต่พอผมไปขอดูสมุดของเธอ เฮ้ยอ่านออกด้วยแฮะ โอ้วว!! นางฟ้ามาโปรดชัดๆเลย (ยอนางแปป อิอิ) ผมเลยถือโอกาสไปขอยืมสมุดของเธอกลับไปลอกที่บ้านซะเลย(รอดแล้วเรา - -“) แรกๆก็แค่ยืมสมุดไปลอกครับ แต่พอหลังๆ มาแอบหันไปมองนาง เวลานางจดงานก็น่ารักเหมือนกันแฮะ(เอาแล้วงัย ฮึบๆ ห้ามใจไว้ก่อนเฮ้ย) เพราะสิ่งที่ผมเห็นคือดูเหมือนว่าเวลาเธอตั้งใจทำอะไร เธอมีความสุขกับสิ่งที่เธอกำลังทำครับ โลกนี้มันช่างสดใสเหลือเกิน(ไปแล้วครับจิตใจ) หาช่องทางติดเลยครับทีนี้ มีการทำเนียนไปขอเบอร์ ผมเดินเข้าไปบอกเธอเลยว่า “เธอๆ เราอ่านตัวหนังสือเธอไม่ค่อยออกหน่ะ เธอช่วยอ่านให้เราฟังได้มั้ยเด๋วจะโทรหา”(วิชาเคมีงัย จะใครหล่ะ) เธอก็ตอบเรามาว่า “อ๋อ ได้สิ ว่าแต่มีเบอร์เค้าแล้วหรอ แหน่ๆๆ จะขอเบอร์เค้าล่ะสิ อิอิ” (ยังจะรู้ทันอีก - -) ผมก็ต้องพูดตัดบทไปว่า “ป่าวๆ คือต้องโทรหางัย งานหน่ะงาน”(งานผมนี่แหละครับ แต่ไปเดือนร้อนคนอื่น 5555) หลังจากได้เบอร์เสร็จสรรพ ก็เริ่มโทรไปตามนัดครับ แรกๆก็แค่จดงานเท่านั้นครับ แต่หลังๆนี่ เริ่มไม่ใช่เรื่องงานแล้ว( ใจล้วนๆ 5555)ถามตั้งแต่เรื่องส่วนตัวยันครอบครัวเค้าเลย จากนั้นผมก็เริ่มรู้สึกสนิทสนมกับเธอขึ้นเรื่อยๆ จนเพื่อนเธอเริ่มแซวแล้ว ผมก็ได้แค่ยิ้มให้ ไม่เถียงใดๆทั้งนั้น(ก็จริงอ่ะ >< ) ทำเป็นเล่นตามน้ำเรียกกัน “เค้า” “เตง” มุ้งมิ้งตามประสาวัยใสกันไป(คือไอ้เราจนคิดจริงจังไปละเหอะ) จากนั้นเราก็ใช้สรรพนามนั้นเรียกกันมาตลอดเลย อ่ะๆๆ!! วันเกิดผมเธอโทรมาร้องเพลง HappyBirthDay ให้ผมด้วยแหละครับ(ร้องจนจบด้วยน่ะ นับถือในความพยายาม) คือแบบน่าร๊ากกอ่ะ>< ความสัมพันธ์ก็มุ้งมิ้งแบบนี้มาได้สักพักครับ
จากนั้นก็มาถึงจุดพลิกผันของความรู้สึกที่ผมมีต่อเธอครับ เมื่อผมนั้น ได้รู้ว่าเธอมีแฟนอยู่แล้ว สาบานเลยน่ะ ไม่รู้มาก่อนเลยจริง(เค้าไม่รุ เค้าไม่ผิด -w- ) ซึ่งแฟนเธอเป็นรุ่นพี่ผมหนึ่งปี เป็นนักฟุตบอลโรงเรียน (ตู้วหูวว) แถมเค้าคบกันมานานแล้วด้วย (ช็อตนี้เซอร์ไพรส์ตูฝุดๆ) คือวันนั้นติดสตั้นไป 1 วันเต็มๆครับ แต่เธอก็เฮฮาปกติแหละ แต่คนที่ออกอาการ(ติดสตั้น)คือผมเองแหละ ผมเลยเริ่มออกห่างเธอไประยะหนึ่งและไม่ได้โทรหาเธออีกเลย(ทำงัยได้หล่ะ ) จากนั้นก็คิดแค่ว่าอย่างน้อยก็เป็นเพื่อนกันแหละคับ แบบนี้ก็ดีแล้ว อาจจะมีหยอกล้อกันมุ้งมิ้งเหมือนคู่รัก หรืออาจจะเผลอใจไปบ้าง(นิดนึง)แหละแต่ก็ไม่ได้เลยเถิดอะไรมากมาย
วันเวลาก็ได้ดำเนินไปเรื่อยๆ จนเราเรียนจบ ม.ปลายกันแล้วครับ ต่างคนต่างก็แยกย้ายไปเรียนตามหมาวิทยาลัยที่ตัวเองสอบติดไว้ ผมก็แอบส่องดูเฟสของเธอบ้าง ติดตามข่าวคราวในเฟสของเธออยู่เรื่อยๆ โดยที่แทบไม่ค่อยได้คุยกันทางแชท แต่หลังๆมานี่ เจอสังคมใหม่ๆแทบไม่ได้เข้าไปดูความเคลื่อนไหวของเธอเลย จนได้มาถึงวันเกิดผม ซึ่งผมอยู่ในช่วงการใช้ชีวิตของนักศึกษาปี 1 ในรั้วมหาวิทยาลัย ได้มีโทรศัพท์เบอร์แปลกที่ไม่คุ้นโทรเข้ามา พอผมกดรับเท่านั้นแหละ เสียงร้องเพลง HappyBirthDay ที่คุ้นเคยผมได้ยินมันอีกครั้ง ผมก็ได้แต่ยืนฟังด้วยความประหลาดใจ ไม่รู้แม้กระทั่งว่าน้ำตามันไหลออกมาตอนไหน คือผมรู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูกเลย เหมือนวันเวลาสมัย ม.ปลายมันหวนคืนมาอีกครั้ง จากนั้นผมก็ได้มารู้ทีหลังว่าเธอได้เลิกกับแฟนไปแล้ว และผมก็ได้คุยกันแชทกับเธอบ้าง แต่มาหลังๆผมก็เริ่มมีเพื่อนใหม่ๆ ประกอบกับผมยุ่งกับกิจกรรมของทางมหาลัยและห่างๆไป จนไม่ได้ติดต่อกันอีก จนได้มารู้อีกทีได้มารู้ข่าวของเธออีกทีก็ในตอนที่เธอมีแฟนใหม่แล้ว โดยเราจะได้แชทกันแต่ล่ะครั้งก็ต่อเมื่อ ไม่วันเกิดผม ก็วันเกิดเธอ คุยกันแค่ 4-5 ประโยคเท่านั้น แหละครับ และปีนี้ก็พึ่งมีโอกาสได้คุยกัน ดังที่กล่าวไปในตอนต้นนั่นแหละครับ ก็ยังคุยกันมุ้งมิ้งเหมือนเดิม แต่ก็มีความเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมีเหตุมีผล มีสาระบ้าง (แต่ก่อนไร้สาระสิน่ะ -*-) ก็ดีใจทุกครั้งแหละครับที่ได้คุยกัน(ช่วยเข้าใจหน่อยน่ะ โมเม้นแชทกันชาติละ 4-5 ประโยคเองนิ 555555) ได้ข่าวว่าพึ่งเลิกกับแฟนคนล่าสุดอยู่ด้วย แต่ก็ทำได้แค่พูดปลอบใจแหละครับ เพราะเราก็โตๆกันแล้ว จะไปโอ๋เอ๋กันเหมือนเดิมก็ไม่ควรแล้วใช่มั้ยล่ะ ส่วนเรื่องราวความสัมพันธ์ของผมกับเทอจะเป็นอย่างไรต่อไป ปล่อยให้มันเป็นเรื่องของอนาคตแล้วกันเนอะ
โอ๊ะโอ!! พล่ามซะยาวเลย ผมว่าผมควรที่จะมาตอบคำถามเค้าแล้วแหละมั้ง
กับประโยคที่เธอถามผมว่า “คิดถึงเค้ามั้ย”
ตอบครับ : เอาจริงเลยนะ วินาทีแรกที่ผมได้ยินคำถามนี้ มันทำให้ผมไม่ได้รู้สึกอยากจะพิมพ์ตอบเธอเลยสักนิด
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้“แต่มันทำให้ผมอยากจะโผเข้าไปกอดเธอมากกว่า”(ยิ่งได้ยินว่าเธอเจอเรื่องร้ายๆมาแบบนี้แล้ว)
//สู้ๆนะครับ คนเก่งของผม
#ขอบคุณที่ทนอ่านกันน่ะครับ 5555
คุณจะตอบอย่างไรครับ เมื่อเพื่อนหญิงสมัยมัธยมปลาย(ที่เราเคยมีใจให้) ถามมาแบบนี้??
เข้าเรื่องกันเลยดีกว่า ที่จริงผมไม่ได้จะมาถามหรอกครับ แต่ผมจะมาแชร์(หรือบ่นให้ฟัง)มากกว่า (เข้าข่ายหลอกลวงมั้ยนี่ อิอิ) พอดีผมมีโอกาสได้คุยกับเพื่อนหญิงสมัย ม.ปลาย(ที่เราเคยมีใจให้) ก็ถามข่าวคราวตามประสาคนพึ่งได้เจอกันแหละ แต่ว่าๆ พอคุยกันไปคุยกันมาก็เจอประโยคนี้เข้า
อ่ะๆ!! ไม่ใช่ว่าผมไม่คิดถึงเธอหรือไม่อยากตอบนะครับ แต่คำตอบมันพิมพ์เป็นคำพูดไม่ได้ แล้วทำไมคำตอบของผมมันพิมพ์เป็นคำพูดไม่ได้หน่ะหรือ ทั้งๆที่ตอบใช่ หรือไม่ก็จบแล้ว… ก็เพราะว่าผมมีเหตุผลอยู่ครับ
แต่ก่อนที่จะไปตอบคำถามของเธอ ผมขอย้อนไปตอนม.ปลายกันดีกว่าครับ ว่าเรื่องความสัมพันธ์ของผมกับเธอมันเป็นมาอย่างไร // ผมเรียนอยู่ในโรงเรียนประจำอำเภอครับ คือเราเริ่มรู้จักกันตอน ม.5 ตอน ม.4 เธออยู่ห้อง 2 ตอนนั้นระบบการศึกษาของโรงเรียนผมมีหลักอยู่ว่าห้องเรียนสายวิทย์-คณิตฯ จะถูกแบ่งห้องตามการเรียงตามลำดับเกรดเฉลี่ยของแต่ล่ะคนครับ(สมัยผมนั้นมี 2 ห้อง) โดยที่เธอนั้น ได้ย้ายขึ้นมาจากห้อง 2 (ผมอยู่ห้อง 1 อยู่แล้วนะ อิอิ) เธอเรียนเก่งในระดับหนึ่ง(เอาเป็นว่ามากกว่าผมแล้วกัน) สกิลของเธอคืองานฝีมือ(ทำพานบายศรี วาดรูป บลาๆ) และการเขียนหนังสือแบบไฮท์สปีดครับ
แล้วผมไปชอบเธอได้ยังไงหน่ะเหรอ??
เหตุเกิดที่วิชาเคมีครับ โดยผู้สอนคือครูประจำชั้นของพวกเราเองครับ โดยจะนั่งกันเป็นกลุ่ม แน่นอนเธออยู่กลุ่มเดียวกับผมครับ วิธีการเรียนการสอนของวิชานี้หน่ะหรือ จดลงสมุดอย่างเดียวครับจดชนิดที่นิ้วล็อคกันไปข้าง อาจมีคำนวณบ้าง นั่นแหละครับที่ผมได้รู้จักเธอครั้งแรกเลย เธอเป็น ผญ อัธยาศัยดีม๊ากกก(ถึงมากที่สุด) ออกแนวกวนทีนนิดๆด้วย เธอเริ่มถามชื่อเพื่อนทั้งกลุ่มก่อนเลย ถามแบบชิวๆเป็นกันเอง พูดคุยสบายๆ(หยั่งกับรู้จักกันมาก่อนแหนะ) วันแรกเธอก็โชว์สกิลเทพแล้วครับ เพราะเมื่อเข้าสู้ช่วงดราม่าของวิชาเคมีจดสิครับจะรออะไร อาจารย์แกก็อ่านมาแบบรัวๆครับ ชนิดที่ว่าใครหันไปถามกัน”เฮ้ย ตรงนี้มันเขียนงัยวะ?” จดต่อไม่ได้แน่นอนครับ ขนาดตั้งท่ารอจดยังแทบไม่ทันครับ พวกจดผิดแล้วคิดจะลบนี่บอกเลยครับ ลบคำผิดเสร็จ ต้องเว้นไป 2 บรรทัด เพื่อไปจดให้ทันเพื่อน(คือไปไวมากเว้ย) แต่เธอคนนี้โชว์เหนือตั้งแต่วันแรกเลยครับ นางจดแทบจะทันคำพูดอาจารย์เว้ย เท่านั่นยังไม่พอ เขียนผิดลบเขียนต่อไปได้อย่างสบายๆเลย อู้วววว เมพขิงๆ ส่วน ของผมนี่ไม่ต้องพูดถึงเลยครับ ผมเป็นคนเขียนช้าถึงช้ามาก สะดุดทีนี่บอกเลย เว้นไว้ 1 ส่วน 3 ของหน้ากระดาษเลยทีเดียว แล้วจะทำไงหล่ะ? ก็ต้องหายืมสมุดเพื่อนมาลอกสิครับ โดยที่ความเร็วการจดระดับนี้บอกเลยว่ายากต่อการที่จะเจอสมุดของเพื่อนแต่ละคนที่มันพอจะเป็นตัวหนังสือให้เราอ่าน แต่พอผมไปขอดูสมุดของเธอ เฮ้ยอ่านออกด้วยแฮะ โอ้วว!! นางฟ้ามาโปรดชัดๆเลย (ยอนางแปป อิอิ) ผมเลยถือโอกาสไปขอยืมสมุดของเธอกลับไปลอกที่บ้านซะเลย(รอดแล้วเรา - -“) แรกๆก็แค่ยืมสมุดไปลอกครับ แต่พอหลังๆ มาแอบหันไปมองนาง เวลานางจดงานก็น่ารักเหมือนกันแฮะ(เอาแล้วงัย ฮึบๆ ห้ามใจไว้ก่อนเฮ้ย) เพราะสิ่งที่ผมเห็นคือดูเหมือนว่าเวลาเธอตั้งใจทำอะไร เธอมีความสุขกับสิ่งที่เธอกำลังทำครับ โลกนี้มันช่างสดใสเหลือเกิน(ไปแล้วครับจิตใจ) หาช่องทางติดเลยครับทีนี้ มีการทำเนียนไปขอเบอร์ ผมเดินเข้าไปบอกเธอเลยว่า “เธอๆ เราอ่านตัวหนังสือเธอไม่ค่อยออกหน่ะ เธอช่วยอ่านให้เราฟังได้มั้ยเด๋วจะโทรหา”(วิชาเคมีงัย จะใครหล่ะ) เธอก็ตอบเรามาว่า “อ๋อ ได้สิ ว่าแต่มีเบอร์เค้าแล้วหรอ แหน่ๆๆ จะขอเบอร์เค้าล่ะสิ อิอิ” (ยังจะรู้ทันอีก - -) ผมก็ต้องพูดตัดบทไปว่า “ป่าวๆ คือต้องโทรหางัย งานหน่ะงาน”(งานผมนี่แหละครับ แต่ไปเดือนร้อนคนอื่น 5555) หลังจากได้เบอร์เสร็จสรรพ ก็เริ่มโทรไปตามนัดครับ แรกๆก็แค่จดงานเท่านั้นครับ แต่หลังๆนี่ เริ่มไม่ใช่เรื่องงานแล้ว( ใจล้วนๆ 5555)ถามตั้งแต่เรื่องส่วนตัวยันครอบครัวเค้าเลย จากนั้นผมก็เริ่มรู้สึกสนิทสนมกับเธอขึ้นเรื่อยๆ จนเพื่อนเธอเริ่มแซวแล้ว ผมก็ได้แค่ยิ้มให้ ไม่เถียงใดๆทั้งนั้น(ก็จริงอ่ะ >< ) ทำเป็นเล่นตามน้ำเรียกกัน “เค้า” “เตง” มุ้งมิ้งตามประสาวัยใสกันไป(คือไอ้เราจนคิดจริงจังไปละเหอะ) จากนั้นเราก็ใช้สรรพนามนั้นเรียกกันมาตลอดเลย อ่ะๆๆ!! วันเกิดผมเธอโทรมาร้องเพลง HappyBirthDay ให้ผมด้วยแหละครับ(ร้องจนจบด้วยน่ะ นับถือในความพยายาม) คือแบบน่าร๊ากกอ่ะ>< ความสัมพันธ์ก็มุ้งมิ้งแบบนี้มาได้สักพักครับ
จากนั้นก็มาถึงจุดพลิกผันของความรู้สึกที่ผมมีต่อเธอครับ เมื่อผมนั้น ได้รู้ว่าเธอมีแฟนอยู่แล้ว สาบานเลยน่ะ ไม่รู้มาก่อนเลยจริง(เค้าไม่รุ เค้าไม่ผิด -w- ) ซึ่งแฟนเธอเป็นรุ่นพี่ผมหนึ่งปี เป็นนักฟุตบอลโรงเรียน (ตู้วหูวว) แถมเค้าคบกันมานานแล้วด้วย (ช็อตนี้เซอร์ไพรส์ตูฝุดๆ) คือวันนั้นติดสตั้นไป 1 วันเต็มๆครับ แต่เธอก็เฮฮาปกติแหละ แต่คนที่ออกอาการ(ติดสตั้น)คือผมเองแหละ ผมเลยเริ่มออกห่างเธอไประยะหนึ่งและไม่ได้โทรหาเธออีกเลย(ทำงัยได้หล่ะ ) จากนั้นก็คิดแค่ว่าอย่างน้อยก็เป็นเพื่อนกันแหละคับ แบบนี้ก็ดีแล้ว อาจจะมีหยอกล้อกันมุ้งมิ้งเหมือนคู่รัก หรืออาจจะเผลอใจไปบ้าง(นิดนึง)แหละแต่ก็ไม่ได้เลยเถิดอะไรมากมาย
วันเวลาก็ได้ดำเนินไปเรื่อยๆ จนเราเรียนจบ ม.ปลายกันแล้วครับ ต่างคนต่างก็แยกย้ายไปเรียนตามหมาวิทยาลัยที่ตัวเองสอบติดไว้ ผมก็แอบส่องดูเฟสของเธอบ้าง ติดตามข่าวคราวในเฟสของเธออยู่เรื่อยๆ โดยที่แทบไม่ค่อยได้คุยกันทางแชท แต่หลังๆมานี่ เจอสังคมใหม่ๆแทบไม่ได้เข้าไปดูความเคลื่อนไหวของเธอเลย จนได้มาถึงวันเกิดผม ซึ่งผมอยู่ในช่วงการใช้ชีวิตของนักศึกษาปี 1 ในรั้วมหาวิทยาลัย ได้มีโทรศัพท์เบอร์แปลกที่ไม่คุ้นโทรเข้ามา พอผมกดรับเท่านั้นแหละ เสียงร้องเพลง HappyBirthDay ที่คุ้นเคยผมได้ยินมันอีกครั้ง ผมก็ได้แต่ยืนฟังด้วยความประหลาดใจ ไม่รู้แม้กระทั่งว่าน้ำตามันไหลออกมาตอนไหน คือผมรู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูกเลย เหมือนวันเวลาสมัย ม.ปลายมันหวนคืนมาอีกครั้ง จากนั้นผมก็ได้มารู้ทีหลังว่าเธอได้เลิกกับแฟนไปแล้ว และผมก็ได้คุยกันแชทกับเธอบ้าง แต่มาหลังๆผมก็เริ่มมีเพื่อนใหม่ๆ ประกอบกับผมยุ่งกับกิจกรรมของทางมหาลัยและห่างๆไป จนไม่ได้ติดต่อกันอีก จนได้มารู้อีกทีได้มารู้ข่าวของเธออีกทีก็ในตอนที่เธอมีแฟนใหม่แล้ว โดยเราจะได้แชทกันแต่ล่ะครั้งก็ต่อเมื่อ ไม่วันเกิดผม ก็วันเกิดเธอ คุยกันแค่ 4-5 ประโยคเท่านั้น แหละครับ และปีนี้ก็พึ่งมีโอกาสได้คุยกัน ดังที่กล่าวไปในตอนต้นนั่นแหละครับ ก็ยังคุยกันมุ้งมิ้งเหมือนเดิม แต่ก็มีความเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมีเหตุมีผล มีสาระบ้าง (แต่ก่อนไร้สาระสิน่ะ -*-) ก็ดีใจทุกครั้งแหละครับที่ได้คุยกัน(ช่วยเข้าใจหน่อยน่ะ โมเม้นแชทกันชาติละ 4-5 ประโยคเองนิ 555555) ได้ข่าวว่าพึ่งเลิกกับแฟนคนล่าสุดอยู่ด้วย แต่ก็ทำได้แค่พูดปลอบใจแหละครับ เพราะเราก็โตๆกันแล้ว จะไปโอ๋เอ๋กันเหมือนเดิมก็ไม่ควรแล้วใช่มั้ยล่ะ ส่วนเรื่องราวความสัมพันธ์ของผมกับเทอจะเป็นอย่างไรต่อไป ปล่อยให้มันเป็นเรื่องของอนาคตแล้วกันเนอะ
โอ๊ะโอ!! พล่ามซะยาวเลย ผมว่าผมควรที่จะมาตอบคำถามเค้าแล้วแหละมั้ง
กับประโยคที่เธอถามผมว่า “คิดถึงเค้ามั้ย”
ตอบครับ : เอาจริงเลยนะ วินาทีแรกที่ผมได้ยินคำถามนี้ มันทำให้ผมไม่ได้รู้สึกอยากจะพิมพ์ตอบเธอเลยสักนิด
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
#ขอบคุณที่ทนอ่านกันน่ะครับ 5555