ก่อนอื่นเลย ทุกคนคิดว่าเมืองนอกนั้นดีอย่างนั้น ดีอย่างงี้ สวยหรู มีหลายคนแชร์ประสบการณ์ด้านบวกมามากแล้ว เราอยากจะแชร์ประสบการณ์ที่เราเจอมาตลอดระยะเวลาที่ใช้ชีวิตอยู่เมืองนอกที่ผ่านมา เพราะอยากให้ใครหลายๆคนตระหนักถึงสิ่งที่มันไม่สวยหรูโรยด้วยกลีบกุหลาบทั้งหมด
เราเคยไปอยู่ประเทศ เยอรมัน ฝรั่งเศส และอังกฤษ ไปทั้งเรียนมัธยม มหาวิทยาลัย (ป.ตรีใบที่สอง ในเยอรมัน ป.โท ในอังกฤษ) และทำงานในยุโรป
ตอนนี้ตัดสินใจกลับมา อาศัยอยู่เมืองไทย
ขอแชร์ประสบการณ์เพื่อเป็นประโยชน์ รู้เขารู้เราเพื่อน้องๆที่กำลังอยากไปเรียนต่อต่างประเทศ หรืออาศัยอยู่เมืองนอกแล้ว เป็นการแชร์ประสบการณ์ครั้งแรก ขออภัยอาจจะเขียนผิดสะกดผิด และทำให้คุณไม่ชอบ >< ขออภัยด้วยนะ เอาจริงๆนะ ก็เป็นสิ่งที่อยากเตือน คนที่กำลังจะไปโดยเฉพาะนักเรียนรุ่นน้อง ตอนนี้พอกลับมาไทย เจอ Reverse culture shock ก็หนักอยู่เหมือนกัน
1. เรื่องมัดจำค่าห้อง หรือหอพัก บ้านพัก
ปกติแล้ว เราต้องวางมัดจำ ประมาณ 2-3เดือน ของค่าเช่า(ต่อเดือน) ให้กับ House master (เจ้าของบ้าน หรือทางหอพัก) ตอนย้ายเข้าพัก จะมีเอกสารมาให้ติ๊กเป็นตารางเลยว่า โต๊ะ เก้าอี้ กำแพง เรารับได้ หรือไม่... อันนี้อยากให้ทุกคนระวัง เพราะบางครั้งแค่รอย ครูด หรือกรีด เล็กบนโต๊ะ หากเจอเจ้าของบ้านแนวโหด ตอนย้ายออกเขาจะยึดมัดจำและขอเงินเพิ่มเพื่อซื้อเฟอร์นิเจอร์นั้นเลยก็ได้ อันไหนที่มีรอย หรือไม่สมบูรณ์ ให้เลือกเขียน Remark หรือ ติ๊กไม่รับไปเลยคะ จะได้ไม่มีปัญหา ไม่ต้องเกรงใจเขา
หลังการย้ายออกจากห้อง อย่าหวังที่จะได้เงินมัดจำทันที! เพราะเขาใช้เวลาอย่างน้อย 4-12อาทิตย์ ในการคืนมัดจำเรา และหอพักเอกชนในประเทศเยอรมัน และฝรั่งเศสบางแห่ง ขอเก็บค่า ทาสีห้อง ซึ่งมันอยู่ในสัญญาเช่าห้อง เป็นปีละประมาณ 120ยูโร จะถูกหักออกจากมัดจำของเรา
**อยากให้อ่านสัญญาเช่าดีๆ มากๆ ละเอียดๆ ก่อนเซ็นต์
2. เรื่องซักรีด
ส่วนมากการซักรีดนั้น จะมีตู้ให้หยอดเหรียญ อยู่ในหอพัก และในบ้าน หรืออาจจะต้องเดินไปในถนน ซอยข้างๆ เพื่อไปร้านหยอดตู้ซักผ้าสาธารณะ ตู้ยอดเหรียญบางตู้ทอนเงินไม่ได้ สมมติยอดไป 5 ยูโร ค่าซักเครื่อง 3.50ยูโร ค่าผงซักฟอกต่างหาก 0.70ยูโร แทนที่จะมีเหรียญออกมาทอน ไม่มีคะ แต่เขาจะแปะป้ายบอกที่ตู้
บางครั้งเราอาจจะไม่คิดว่า คนที่นั่น เขาเอารองเท้า... ยัดเข้าไปตู้ซักผ้า แน่นอนมันไม่มีกฏห้าม บางคนเอาผ้าคลุมรถ แม้กระทั่งผ้าเช็ดเท้าไปซักด้วย อันนี้วันที่เราไปนั่งซักผ้า แล้วรอเครื่องซักนั้น เห็นมากับลูกตา... อึ้งมาก และลองคิดว่า ถ้าเกิดเราซักต่อ มันรู้สึก สกปรก(T_T) เวลาอยู่บ้าน เราซักของเรา รองเท้าซักเองในอ่างแยกออกมา เลยไม่คุ้นจริงๆ
3. เรื่องหมอ และโรงพยาบาล
อันนี้ พีคมาก... ในเมืองไทย ถ้าคุณต้องนั่งรอหาหมอ เกิน 30นาที คุณคงเดินไปต่อว่า พยาบาล หรือเจ้าหน้าที่ แต่ว่า ในประเทศเยอรมัน ฝรั่งเศส และอังกฤษนั้น... บางทีนั่งรอ 3-5ชั่วโมง เวลาเราไปหาหมอในเมืองไทย ถ้าเข้าโรงพยาบาล ไม่ว่าคุณจะปวดท้อง ปวดหัว หากคุณต้องไปหาแผนกอื่นต่อ หมอจะส่งคุณไปตรวจทันที แต่ว่า ที่นั้น.... คุณต้องรอทำนัดกับหมอเฉพาะทาง ซึ่งอาจจะกินเวลาเกิน 2เดือน ที่นั้นคุณจะไปหาหมอในโรงพยาบาลไม่ได้นะ คุณต้องไปคลีนิคหมอบ้าน ภาษาเยอรมันเรียกไปหา Hausartz = อังกฤษ General Practitioner (GP) = ฝรั่งเศส Medical practitioner (médecin traitant). และก่อนไป ไม่ใช่ว่า ป่วยวันนี้ตอนนี้ อยากไป ไปได้เลย คุณต้องโทรไปทำนัดคะ เพราะเขามีตารางตรวจคนไข้ ถ้าวันนี้ไม่ว่างคุณอยากมา คุณต้องมานั่งรอ และนั่น ไม่ใช่แค่รอ 30นาที จขกท เคยรอมา 3ชั่วโมง...
ถ้าคุณต้องตรวจเลือด หรือน้ำมูก เสมหะ น้ำลาย ผลตรวจไม่ได้ใน 1ชั่วโมงนะ ตรวจในคลีนิคหมอบ้าน เขาจะส่งผลตรวจไปที่ Lab ซึ่งรอข้ามวันคะ หมอก็จะให้ยาคุณไปทาน แล้วจะมีพยาบาลโทรแจ้ง หรือคุณต้องมาฟังผลเอง
หากคุณต้องนอนโรงพยาลเพราะป่วย... ถ้าตรวจจากคลีนิคหมอบ้าน วินิจฉัยว่าคุณเป็นไข้หวัดใหญ่จำเป็นต้องนอนโรงพยาบาล เขาจะให้ใบมาให้คุณไปโรงพยาบาลเอง (ไม่มีรถรพ.มารับ หรือใครพาไปนะ)
แผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาล ในเยอรมัน และอังกฤษ (ไม่เคยใช้บริการของฝรั่งเศส) หลังคุณไปถึง ถ้าไม่ถึงแก่ชีวิต หรืออันตรายเท่าชีวิต นั่งรอค่ะ รอยาวด้วย คิวจะรันตามความจำเป็น ไม่ได้รันตามมาก่อนมาทีหลัง และไม่มีพยาบาลมาคอยเอาใจใส่คุณนะ
อาหารในรพ. ขนมปังแข็งๆ อาหารฝรั่งหรูนะ ซุป สเต๊ก แต่ขอบอกว่า ยังไงก็ไม่เหมือนอาหารไทยของเราหรอก ห้องน้ำ ห้องอาบน้ำ ก็ใช้รวมกัน ห้องคนไข้ ห้องหนึ่งอยู่ 3คน บางห้อง 6คน ห้องเดี่ยว สำหรับคนที่เป็นหนักมากๆ หรือจ่ายราคาพิเศษ (นักเรียน และคนที่อาศัยอยู่ที่นั้นต้องซื้อประกันสุขภาพ เขาจะจ่ายค่ารักษาให้ ส่วนที่เราจ่ายเพิ่มคือ ค่านอนโรงพยาบาลในเยอรมัน/ฝรั่งเศส คืนละ 10-20ยูโร ส่วนค่ารักษา ค่ายาประกันก็จ่ายให้ค่ะ ยกเว้นยากลับบ้านนะ หมอจะให้ใบมาไปซื้อเอง ที่อังกฤษ NHS ออกให้ ถ้ามีประกันเพิ่ม ก็จะได้ห้องดีหน่อย บางทีค่ายาเราต้องจ่ายเอง ตามกรณี)
เราเคยนอนรพ. เพราะไข้หวัดใหญ่ และคออักเสบ ขนมปังแข็งๆมันกินไม่ได้ นอนรพ. ห้องรวมนะ ไม่มีห้องเดี่ยว ห้องเดี่ยวคือ ต้องจ่ายตังค์ราคาพิเศษ แม้จะห้องพิเศษแต่ก็ห้ามมีคนนอนเฝ้าไข้ ยกเว้นเด็กเล็ก
4. บางทีก็มีพวก 18มงกุฎก็มีนะ
Phone scams เจอในอังกฤษ จะมีคนโทรมาเบอร์เรา แล้วถามว่า "คุณเกิดอุบัติเหตุรถยนต์ในหนึ่งปีที่ผ่านมาใช่ไหม ?" แม้เราจะตอบว่า "ไม่มี" เขาจะถามต่อว่า "คนในครอบครัวคุณละ" เคยลองคุยเล่นๆ (โทรมาเดือนละครั้ง 555+) เขาจะอ้างโอนเงินให้เรา แต่ของเบอร์บัญชีเรา หรือยืนยันตาม sms ทางโทรศัพท์ด้วย อย่าไปยุ่งเลย อย่าไปลองกด วางสาย ไม่ก็ พูดภาษาไทยใส่เลยคะ
พวกหลอกเช่าบ้าน อันนี้นักเรียนที่อยู่เยอรมัน จะเจอบ่อย เวลาเราหาห้องพักในเว็บ WG พวกนี้จะเอาภาพห้องดูดี ราคาถูก กลางเมือง ใกล้มหาลัย มาโพส ส่งเมลล์มาคุยหลังเราติดต่อไป แล้วเขาจะอ้างว่า "ผมอยู่ต่างประเทศ ผมไม่สะดวกจะพาคุณไปดูห้อง ผมจะส่งกุญแจไปตามที่อยู่ของคุณผ่านทาง DHL แต่ขอให้คุณโอนเงินมามัดจำไว้ก่อน " ซึ่งตอนนั้นเราเพิ่งไปอยู่มาปีหนึ่งและคิดจะย้ายออกจากหอพักมหาลัย เพราะมีแต่เด็กเรียนสาขาแพทย์ ซึ่งเราเรียนสาขาธุรกิจ เลยอยากจะหาบ้านเช่าเอง เพราะน้องสาวญาติๆกันจะมาเรียนด้วย แต่ด้วยมันเกี่ยวกับเงินทอง เลยปรึกษาเพื่อนคุณพ่อที่เป็นคนเยอรมัน เขาบอกมันหลอก ทางนั้นก็อีเมลล์มาบอกว่า ส่งมาแล้ว ให้เราโอนเงินไปด้วย
แล้วก็พวกขอเงินตามถนน พวกนี้นะ จริงๆมันยุโรป คนเอเชีย คือคนต่างชาติอยู่แล้ว แต่ก็ดันเดินมาขอเงินเรา เพราะอะไร!? เราไม่เข้าใจ พวกนี้จะถามหาเศษตังค์ 1ยูโร 1ปอนด์ อ้างว่าค่ารถ ค่าอาหาร กลับบ้านไม่ได้ แต่คือเราทำเป็นอาชีพ อยู่ที่เดิมประจำ แต่ที่น่ากลัวหน่อย คือเดินเข้ามาพร้อม สติ๊กเกอร์ หรือใบอะไรก็ตาม พอเรารับมา เขาจะขอเก็บเงินทันที
อันนี้เราเคยรับใบคูปอง นึกว่าแจกฟรี แต่กลายเป็นผู้ชายคนแจกขอให้เราจ่ายเงินเพราะเรารับมาแล้ว ค่าโง่ 1ปอนด์ ซึ่งเราไม่ยอมจ่าย ดีว่าเพื่อนฝรั่งอยู่ด้วย พี่แกหยิบใบจากมือแล้วโยนคืนใส่ และเดินออกกันไปทันที ผู้ชายคนนั้นก็ตะโกนด่า....
5. โดนแซว ดูถูก กลั่นแกล้ง
ปีที่เราไปช่วงแรก แน่นอนว่า อินเตอร์เน็ตมันไม่เหมือนสมัยนี้ สมัยนั้นคุยสไกย์ต้องรอแล้วรออีก ไม่มีหรอก video call ผ่านมือถือ Youtube ยังไม่เกิดเลยมั่ง เฟชบุคเพิ่งเริ่ม สมัยBlackberry คือมือถือที่ดีที่สุด ไอโฟนไม่มีปัญญาซื้อ เอาง่ายๆ ยุคก่อนหน้านี้
เจอเพื่อนต่างชาติ มักจะเข้าใจว่า Thailand คือ Taiwan คนไทยพูดภาษาจีน มีช้าง ม้าเต็มเมือง เป็นเมืองกันดาร เคยเจอเพื่อนไม่ดี แบบโยนเศษเงินใส่เราเวลานั่งเรียน (แกล้ง) มันเป็นการกลั่นแกล้งที่เรารู้สึกเหมือนโดนดูถูกมาก
ตอนนั้นเข้าเรียนมหาลัยในเยอรมัน และเป็นนักเรียนไทยคนเดียวในชั้นของปีนั้นเลย เหมือนเป็ดดำ ที่ใครๆไม่อยากเข้าใกล้ เวลาจับกลุ่มช่วงแรกๆ เหมือนโดนทิ้ง จนครูต้องยัดเราไปเข้ากลุ่มเพื่อน ไอ้เราอยากบอกที่บ้านในเมืองไทย ก็กลัวจะเป็นห่วง ก็นั่งเรียนคนเดียวเงียบๆไป โชคดีอยู่อย่างคือคนที่นั่น เวลาเรียนไม่คุยเล่นเท่าไร พอเรียนเสร็จต่างคนก็ต่างเดินออก ไปเรียนต่อ ไม่ได้ติดเป็นกลุ่มก้อนสักเท่าไร นร.ในแผนกที่เป็นต่างชาติก็มีจีน สเปน(2คน) และก็เรา
จนทนไม่ไหว ผ่านไป 3อาทิตย์หาเพื่อนไม่ในแผนกเดียวกันไม่ได้ คือมีทักทายกันบ้าง กับคนจีน( 5ชีวิต ซึ่งคนจีนก็พูดอังกฤษไม่เก่ง) เลยไปนั่งร้องไห้กับครูที่ปรึกษา 555+ (อาจารย์มหาลัยที่นู่นมีห้องส่วนตัว คนละห้องเลย) จนอาทิตย์ถัดมา ในคาบ Intercultural Management ครูอีกคน(คาดว่าวางแผนมา) ให้ทำกิจกรรม ให้นักเรียนต่างชาติออกมาพูดเรื่องราวของตัวเองประเทศของตัวเอง แบบไม่มีการเตรียมตัวมาก่อน (เป็นคาบภาษาอังกฤษ) ไอ้คนจีนห้าคน ช่วยกันพูด สเปน ดูเหมือนไม่ต้องแนะนำอะไรมาก เพราะยุโรปด้วยกัน พอตาเรา ขาอ่อนเลยจริงๆ ตอนแรกยืนหน้าห้อง แนะนำตัว ทุกคนหัวเราะชื่อเราเพราะชื่อคนไทย นามสกุลก็ยาว แต่ก็เริ่มแนะนำจากกรุงเทพ ชื่อเมืองหลวง คือมันไม่รู้จะพูดอะไร แค่ชื่อเต็มกรุงเทพฯจบ คนทั้งห้องนั่งเว่อ แล้วหัวเราะ ครูก็ถามจริงหรือเล่นเนี่ย ต่อมาก็พูดบอกไปว่า คนไทยพูดภาษาไทย กินอาหารไทย อาหารประจำชาติไม่มี เพราะเรามีอาหารอร่อยเยอะมาก ไปๆมาๆพูดจนร้องไห้หน้าห้องเพราะคิดถึงบ้าน ครูเดินมากอดให้กำลังใจ (ครูผู้หญิง) เลยบอกว่า เป็นครั้งแรกที่มาเรียนในประเทศเยอรมัน มันลำบากมีอะไรต้องปรับตัว ภาษาเยอรมันก็ไม่แข็ง คิดถึงบ้าน แต่กลับไม่ได้ เพราะต้องเรียน อยากมีเพื่อน เชื่อไหมว่า คนเยอรมันที่ดูแข็งๆ ไร้อารมณ์ ที่คนต่างชาติมักคิดว่าพวกเขาไร้อารมณ์ หัวหน้าห้องของเดินมาขอโทษ ที่ทำให้เรารู้สึกเหมือนถูกกลั่นแกล้ง (มารู้ทีหลังว่า การกลั่นแกล้ง ของนร.ด้วยกัน ในเยอรมัน ถือเป็นโทษอย่างหนึ่ง) หลังจากจบคลาส เพื่อนตรึม เดินมาแนะนำตัวกันไปไหม ชวนไปเที่ยว ชวนทำอาหารด้วยกัน ปีต่อมา จขกทนี่ละ หัวโจ๊กนำเที่ยวเอง 555+
ที่หนักสุด คือเจอคนชนชาติรองในเยอรมัน ซึ่งมาเป็นแลกเปลี่ยนในเยอรมัน มาดูถูกว่า ผู้หญิงไทยขายตัวทั้งประเทศ ขณะกำลังนั่งกินข้าวกลางวันกับเพื่อนๆ เราเลยตอบกลับไปว่า ประเทศไทย ผู้หญิงไม่ถึง 1%ด้วยซ้ำที่เป็นโสเภณี ถ้าเทียบอัตราส่วนกับบางประเทศในยุโรปยังน้อยกว่า และ ผู้หญิงทุกคนบนโลก ไม่มีใครอยากเป็นโสเภณี แต่ก็เขาก็เถี่ยงต่อ ว่า คนไทยซื้อง่ายด้วยเงินเวลาเขามาเมืองไทย แค่เศษตังค์ก็ซื้ออาหารได้ เรารู้สึกเหมือนโดนดูถูกมากจริงๆ
6. เรื่องค่าโทรศัพท์
ถ้าไปอยู่เกิน 1ปี หลายๆคน หาผู้ให้บริการโทรศัพท์ เพื่อจ่ายเป็น package รายเดือน อยากให้ระวังไว้ว่า ตอนจะปิดเบอร์ ต้องแจ้งล่วงหน้า เกือบ 3เดือนในเยอรมัน 1เดือนในอังกฤษ และต้องตามบิลสุดท้ายให้เรียบร้อยด้วยนะ ไม่ได้ยกเลิกได้ทันที ระหว่างแจ้งไปที่รอเบอร์ปิด ก็มีค่าใช้จ่ายตามปกติ ถ้าปิดก่อนสัญญาครบกำหนด ต้องจ่ายค่ายกเลิกสัญญาด้วย
(อักษรเกิน ขอต่อด้านล่างนะคะ)
ขอแชร์ประสบการณ์อยู่เมืองนอก 9ปี กับสิ่งที่ไม่สวยหรู
เราเคยไปอยู่ประเทศ เยอรมัน ฝรั่งเศส และอังกฤษ ไปทั้งเรียนมัธยม มหาวิทยาลัย (ป.ตรีใบที่สอง ในเยอรมัน ป.โท ในอังกฤษ) และทำงานในยุโรป
ตอนนี้ตัดสินใจกลับมา อาศัยอยู่เมืองไทย
ขอแชร์ประสบการณ์เพื่อเป็นประโยชน์ รู้เขารู้เราเพื่อน้องๆที่กำลังอยากไปเรียนต่อต่างประเทศ หรืออาศัยอยู่เมืองนอกแล้ว เป็นการแชร์ประสบการณ์ครั้งแรก ขออภัยอาจจะเขียนผิดสะกดผิด และทำให้คุณไม่ชอบ >< ขออภัยด้วยนะ เอาจริงๆนะ ก็เป็นสิ่งที่อยากเตือน คนที่กำลังจะไปโดยเฉพาะนักเรียนรุ่นน้อง ตอนนี้พอกลับมาไทย เจอ Reverse culture shock ก็หนักอยู่เหมือนกัน
1. เรื่องมัดจำค่าห้อง หรือหอพัก บ้านพัก
ปกติแล้ว เราต้องวางมัดจำ ประมาณ 2-3เดือน ของค่าเช่า(ต่อเดือน) ให้กับ House master (เจ้าของบ้าน หรือทางหอพัก) ตอนย้ายเข้าพัก จะมีเอกสารมาให้ติ๊กเป็นตารางเลยว่า โต๊ะ เก้าอี้ กำแพง เรารับได้ หรือไม่... อันนี้อยากให้ทุกคนระวัง เพราะบางครั้งแค่รอย ครูด หรือกรีด เล็กบนโต๊ะ หากเจอเจ้าของบ้านแนวโหด ตอนย้ายออกเขาจะยึดมัดจำและขอเงินเพิ่มเพื่อซื้อเฟอร์นิเจอร์นั้นเลยก็ได้ อันไหนที่มีรอย หรือไม่สมบูรณ์ ให้เลือกเขียน Remark หรือ ติ๊กไม่รับไปเลยคะ จะได้ไม่มีปัญหา ไม่ต้องเกรงใจเขา
หลังการย้ายออกจากห้อง อย่าหวังที่จะได้เงินมัดจำทันที! เพราะเขาใช้เวลาอย่างน้อย 4-12อาทิตย์ ในการคืนมัดจำเรา และหอพักเอกชนในประเทศเยอรมัน และฝรั่งเศสบางแห่ง ขอเก็บค่า ทาสีห้อง ซึ่งมันอยู่ในสัญญาเช่าห้อง เป็นปีละประมาณ 120ยูโร จะถูกหักออกจากมัดจำของเรา
**อยากให้อ่านสัญญาเช่าดีๆ มากๆ ละเอียดๆ ก่อนเซ็นต์
2. เรื่องซักรีด
ส่วนมากการซักรีดนั้น จะมีตู้ให้หยอดเหรียญ อยู่ในหอพัก และในบ้าน หรืออาจจะต้องเดินไปในถนน ซอยข้างๆ เพื่อไปร้านหยอดตู้ซักผ้าสาธารณะ ตู้ยอดเหรียญบางตู้ทอนเงินไม่ได้ สมมติยอดไป 5 ยูโร ค่าซักเครื่อง 3.50ยูโร ค่าผงซักฟอกต่างหาก 0.70ยูโร แทนที่จะมีเหรียญออกมาทอน ไม่มีคะ แต่เขาจะแปะป้ายบอกที่ตู้
บางครั้งเราอาจจะไม่คิดว่า คนที่นั่น เขาเอารองเท้า... ยัดเข้าไปตู้ซักผ้า แน่นอนมันไม่มีกฏห้าม บางคนเอาผ้าคลุมรถ แม้กระทั่งผ้าเช็ดเท้าไปซักด้วย อันนี้วันที่เราไปนั่งซักผ้า แล้วรอเครื่องซักนั้น เห็นมากับลูกตา... อึ้งมาก และลองคิดว่า ถ้าเกิดเราซักต่อ มันรู้สึก สกปรก(T_T) เวลาอยู่บ้าน เราซักของเรา รองเท้าซักเองในอ่างแยกออกมา เลยไม่คุ้นจริงๆ
3. เรื่องหมอ และโรงพยาบาล
อันนี้ พีคมาก... ในเมืองไทย ถ้าคุณต้องนั่งรอหาหมอ เกิน 30นาที คุณคงเดินไปต่อว่า พยาบาล หรือเจ้าหน้าที่ แต่ว่า ในประเทศเยอรมัน ฝรั่งเศส และอังกฤษนั้น... บางทีนั่งรอ 3-5ชั่วโมง เวลาเราไปหาหมอในเมืองไทย ถ้าเข้าโรงพยาบาล ไม่ว่าคุณจะปวดท้อง ปวดหัว หากคุณต้องไปหาแผนกอื่นต่อ หมอจะส่งคุณไปตรวจทันที แต่ว่า ที่นั้น.... คุณต้องรอทำนัดกับหมอเฉพาะทาง ซึ่งอาจจะกินเวลาเกิน 2เดือน ที่นั้นคุณจะไปหาหมอในโรงพยาบาลไม่ได้นะ คุณต้องไปคลีนิคหมอบ้าน ภาษาเยอรมันเรียกไปหา Hausartz = อังกฤษ General Practitioner (GP) = ฝรั่งเศส Medical practitioner (médecin traitant). และก่อนไป ไม่ใช่ว่า ป่วยวันนี้ตอนนี้ อยากไป ไปได้เลย คุณต้องโทรไปทำนัดคะ เพราะเขามีตารางตรวจคนไข้ ถ้าวันนี้ไม่ว่างคุณอยากมา คุณต้องมานั่งรอ และนั่น ไม่ใช่แค่รอ 30นาที จขกท เคยรอมา 3ชั่วโมง...
ถ้าคุณต้องตรวจเลือด หรือน้ำมูก เสมหะ น้ำลาย ผลตรวจไม่ได้ใน 1ชั่วโมงนะ ตรวจในคลีนิคหมอบ้าน เขาจะส่งผลตรวจไปที่ Lab ซึ่งรอข้ามวันคะ หมอก็จะให้ยาคุณไปทาน แล้วจะมีพยาบาลโทรแจ้ง หรือคุณต้องมาฟังผลเอง
หากคุณต้องนอนโรงพยาลเพราะป่วย... ถ้าตรวจจากคลีนิคหมอบ้าน วินิจฉัยว่าคุณเป็นไข้หวัดใหญ่จำเป็นต้องนอนโรงพยาบาล เขาจะให้ใบมาให้คุณไปโรงพยาบาลเอง (ไม่มีรถรพ.มารับ หรือใครพาไปนะ)
แผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาล ในเยอรมัน และอังกฤษ (ไม่เคยใช้บริการของฝรั่งเศส) หลังคุณไปถึง ถ้าไม่ถึงแก่ชีวิต หรืออันตรายเท่าชีวิต นั่งรอค่ะ รอยาวด้วย คิวจะรันตามความจำเป็น ไม่ได้รันตามมาก่อนมาทีหลัง และไม่มีพยาบาลมาคอยเอาใจใส่คุณนะ
อาหารในรพ. ขนมปังแข็งๆ อาหารฝรั่งหรูนะ ซุป สเต๊ก แต่ขอบอกว่า ยังไงก็ไม่เหมือนอาหารไทยของเราหรอก ห้องน้ำ ห้องอาบน้ำ ก็ใช้รวมกัน ห้องคนไข้ ห้องหนึ่งอยู่ 3คน บางห้อง 6คน ห้องเดี่ยว สำหรับคนที่เป็นหนักมากๆ หรือจ่ายราคาพิเศษ (นักเรียน และคนที่อาศัยอยู่ที่นั้นต้องซื้อประกันสุขภาพ เขาจะจ่ายค่ารักษาให้ ส่วนที่เราจ่ายเพิ่มคือ ค่านอนโรงพยาบาลในเยอรมัน/ฝรั่งเศส คืนละ 10-20ยูโร ส่วนค่ารักษา ค่ายาประกันก็จ่ายให้ค่ะ ยกเว้นยากลับบ้านนะ หมอจะให้ใบมาไปซื้อเอง ที่อังกฤษ NHS ออกให้ ถ้ามีประกันเพิ่ม ก็จะได้ห้องดีหน่อย บางทีค่ายาเราต้องจ่ายเอง ตามกรณี)
เราเคยนอนรพ. เพราะไข้หวัดใหญ่ และคออักเสบ ขนมปังแข็งๆมันกินไม่ได้ นอนรพ. ห้องรวมนะ ไม่มีห้องเดี่ยว ห้องเดี่ยวคือ ต้องจ่ายตังค์ราคาพิเศษ แม้จะห้องพิเศษแต่ก็ห้ามมีคนนอนเฝ้าไข้ ยกเว้นเด็กเล็ก
4. บางทีก็มีพวก 18มงกุฎก็มีนะ
Phone scams เจอในอังกฤษ จะมีคนโทรมาเบอร์เรา แล้วถามว่า "คุณเกิดอุบัติเหตุรถยนต์ในหนึ่งปีที่ผ่านมาใช่ไหม ?" แม้เราจะตอบว่า "ไม่มี" เขาจะถามต่อว่า "คนในครอบครัวคุณละ" เคยลองคุยเล่นๆ (โทรมาเดือนละครั้ง 555+) เขาจะอ้างโอนเงินให้เรา แต่ของเบอร์บัญชีเรา หรือยืนยันตาม sms ทางโทรศัพท์ด้วย อย่าไปยุ่งเลย อย่าไปลองกด วางสาย ไม่ก็ พูดภาษาไทยใส่เลยคะ
พวกหลอกเช่าบ้าน อันนี้นักเรียนที่อยู่เยอรมัน จะเจอบ่อย เวลาเราหาห้องพักในเว็บ WG พวกนี้จะเอาภาพห้องดูดี ราคาถูก กลางเมือง ใกล้มหาลัย มาโพส ส่งเมลล์มาคุยหลังเราติดต่อไป แล้วเขาจะอ้างว่า "ผมอยู่ต่างประเทศ ผมไม่สะดวกจะพาคุณไปดูห้อง ผมจะส่งกุญแจไปตามที่อยู่ของคุณผ่านทาง DHL แต่ขอให้คุณโอนเงินมามัดจำไว้ก่อน " ซึ่งตอนนั้นเราเพิ่งไปอยู่มาปีหนึ่งและคิดจะย้ายออกจากหอพักมหาลัย เพราะมีแต่เด็กเรียนสาขาแพทย์ ซึ่งเราเรียนสาขาธุรกิจ เลยอยากจะหาบ้านเช่าเอง เพราะน้องสาวญาติๆกันจะมาเรียนด้วย แต่ด้วยมันเกี่ยวกับเงินทอง เลยปรึกษาเพื่อนคุณพ่อที่เป็นคนเยอรมัน เขาบอกมันหลอก ทางนั้นก็อีเมลล์มาบอกว่า ส่งมาแล้ว ให้เราโอนเงินไปด้วย
แล้วก็พวกขอเงินตามถนน พวกนี้นะ จริงๆมันยุโรป คนเอเชีย คือคนต่างชาติอยู่แล้ว แต่ก็ดันเดินมาขอเงินเรา เพราะอะไร!? เราไม่เข้าใจ พวกนี้จะถามหาเศษตังค์ 1ยูโร 1ปอนด์ อ้างว่าค่ารถ ค่าอาหาร กลับบ้านไม่ได้ แต่คือเราทำเป็นอาชีพ อยู่ที่เดิมประจำ แต่ที่น่ากลัวหน่อย คือเดินเข้ามาพร้อม สติ๊กเกอร์ หรือใบอะไรก็ตาม พอเรารับมา เขาจะขอเก็บเงินทันที
อันนี้เราเคยรับใบคูปอง นึกว่าแจกฟรี แต่กลายเป็นผู้ชายคนแจกขอให้เราจ่ายเงินเพราะเรารับมาแล้ว ค่าโง่ 1ปอนด์ ซึ่งเราไม่ยอมจ่าย ดีว่าเพื่อนฝรั่งอยู่ด้วย พี่แกหยิบใบจากมือแล้วโยนคืนใส่ และเดินออกกันไปทันที ผู้ชายคนนั้นก็ตะโกนด่า....
5. โดนแซว ดูถูก กลั่นแกล้ง
ปีที่เราไปช่วงแรก แน่นอนว่า อินเตอร์เน็ตมันไม่เหมือนสมัยนี้ สมัยนั้นคุยสไกย์ต้องรอแล้วรออีก ไม่มีหรอก video call ผ่านมือถือ Youtube ยังไม่เกิดเลยมั่ง เฟชบุคเพิ่งเริ่ม สมัยBlackberry คือมือถือที่ดีที่สุด ไอโฟนไม่มีปัญญาซื้อ เอาง่ายๆ ยุคก่อนหน้านี้
เจอเพื่อนต่างชาติ มักจะเข้าใจว่า Thailand คือ Taiwan คนไทยพูดภาษาจีน มีช้าง ม้าเต็มเมือง เป็นเมืองกันดาร เคยเจอเพื่อนไม่ดี แบบโยนเศษเงินใส่เราเวลานั่งเรียน (แกล้ง) มันเป็นการกลั่นแกล้งที่เรารู้สึกเหมือนโดนดูถูกมาก
ตอนนั้นเข้าเรียนมหาลัยในเยอรมัน และเป็นนักเรียนไทยคนเดียวในชั้นของปีนั้นเลย เหมือนเป็ดดำ ที่ใครๆไม่อยากเข้าใกล้ เวลาจับกลุ่มช่วงแรกๆ เหมือนโดนทิ้ง จนครูต้องยัดเราไปเข้ากลุ่มเพื่อน ไอ้เราอยากบอกที่บ้านในเมืองไทย ก็กลัวจะเป็นห่วง ก็นั่งเรียนคนเดียวเงียบๆไป โชคดีอยู่อย่างคือคนที่นั่น เวลาเรียนไม่คุยเล่นเท่าไร พอเรียนเสร็จต่างคนก็ต่างเดินออก ไปเรียนต่อ ไม่ได้ติดเป็นกลุ่มก้อนสักเท่าไร นร.ในแผนกที่เป็นต่างชาติก็มีจีน สเปน(2คน) และก็เรา
จนทนไม่ไหว ผ่านไป 3อาทิตย์หาเพื่อนไม่ในแผนกเดียวกันไม่ได้ คือมีทักทายกันบ้าง กับคนจีน( 5ชีวิต ซึ่งคนจีนก็พูดอังกฤษไม่เก่ง) เลยไปนั่งร้องไห้กับครูที่ปรึกษา 555+ (อาจารย์มหาลัยที่นู่นมีห้องส่วนตัว คนละห้องเลย) จนอาทิตย์ถัดมา ในคาบ Intercultural Management ครูอีกคน(คาดว่าวางแผนมา) ให้ทำกิจกรรม ให้นักเรียนต่างชาติออกมาพูดเรื่องราวของตัวเองประเทศของตัวเอง แบบไม่มีการเตรียมตัวมาก่อน (เป็นคาบภาษาอังกฤษ) ไอ้คนจีนห้าคน ช่วยกันพูด สเปน ดูเหมือนไม่ต้องแนะนำอะไรมาก เพราะยุโรปด้วยกัน พอตาเรา ขาอ่อนเลยจริงๆ ตอนแรกยืนหน้าห้อง แนะนำตัว ทุกคนหัวเราะชื่อเราเพราะชื่อคนไทย นามสกุลก็ยาว แต่ก็เริ่มแนะนำจากกรุงเทพ ชื่อเมืองหลวง คือมันไม่รู้จะพูดอะไร แค่ชื่อเต็มกรุงเทพฯจบ คนทั้งห้องนั่งเว่อ แล้วหัวเราะ ครูก็ถามจริงหรือเล่นเนี่ย ต่อมาก็พูดบอกไปว่า คนไทยพูดภาษาไทย กินอาหารไทย อาหารประจำชาติไม่มี เพราะเรามีอาหารอร่อยเยอะมาก ไปๆมาๆพูดจนร้องไห้หน้าห้องเพราะคิดถึงบ้าน ครูเดินมากอดให้กำลังใจ (ครูผู้หญิง) เลยบอกว่า เป็นครั้งแรกที่มาเรียนในประเทศเยอรมัน มันลำบากมีอะไรต้องปรับตัว ภาษาเยอรมันก็ไม่แข็ง คิดถึงบ้าน แต่กลับไม่ได้ เพราะต้องเรียน อยากมีเพื่อน เชื่อไหมว่า คนเยอรมันที่ดูแข็งๆ ไร้อารมณ์ ที่คนต่างชาติมักคิดว่าพวกเขาไร้อารมณ์ หัวหน้าห้องของเดินมาขอโทษ ที่ทำให้เรารู้สึกเหมือนถูกกลั่นแกล้ง (มารู้ทีหลังว่า การกลั่นแกล้ง ของนร.ด้วยกัน ในเยอรมัน ถือเป็นโทษอย่างหนึ่ง) หลังจากจบคลาส เพื่อนตรึม เดินมาแนะนำตัวกันไปไหม ชวนไปเที่ยว ชวนทำอาหารด้วยกัน ปีต่อมา จขกทนี่ละ หัวโจ๊กนำเที่ยวเอง 555+
ที่หนักสุด คือเจอคนชนชาติรองในเยอรมัน ซึ่งมาเป็นแลกเปลี่ยนในเยอรมัน มาดูถูกว่า ผู้หญิงไทยขายตัวทั้งประเทศ ขณะกำลังนั่งกินข้าวกลางวันกับเพื่อนๆ เราเลยตอบกลับไปว่า ประเทศไทย ผู้หญิงไม่ถึง 1%ด้วยซ้ำที่เป็นโสเภณี ถ้าเทียบอัตราส่วนกับบางประเทศในยุโรปยังน้อยกว่า และ ผู้หญิงทุกคนบนโลก ไม่มีใครอยากเป็นโสเภณี แต่ก็เขาก็เถี่ยงต่อ ว่า คนไทยซื้อง่ายด้วยเงินเวลาเขามาเมืองไทย แค่เศษตังค์ก็ซื้ออาหารได้ เรารู้สึกเหมือนโดนดูถูกมากจริงๆ
6. เรื่องค่าโทรศัพท์
ถ้าไปอยู่เกิน 1ปี หลายๆคน หาผู้ให้บริการโทรศัพท์ เพื่อจ่ายเป็น package รายเดือน อยากให้ระวังไว้ว่า ตอนจะปิดเบอร์ ต้องแจ้งล่วงหน้า เกือบ 3เดือนในเยอรมัน 1เดือนในอังกฤษ และต้องตามบิลสุดท้ายให้เรียบร้อยด้วยนะ ไม่ได้ยกเลิกได้ทันที ระหว่างแจ้งไปที่รอเบอร์ปิด ก็มีค่าใช้จ่ายตามปกติ ถ้าปิดก่อนสัญญาครบกำหนด ต้องจ่ายค่ายกเลิกสัญญาด้วย
(อักษรเกิน ขอต่อด้านล่างนะคะ)