กระแสชาวสองล้อ ที่โดนห้ามขึ้นสะพานและลงอุโมงทำให้เดือนร้อนกันมาก
บ้างก็อ้างว่าเสียภาษีทำไม่วิ่งไม่ได้ แต่ส่วนใหญ่ลืมคิดไปว่าการเสียภาษีไม่ได้หมายความว่า
สามารถกระทำผิดกฎจาราจรได้ ในเมื่อกฎหมาย ยังคงห้ามไว้
ที่ผ่านมาเรามักพบเห็นมอไซค์วิ่งขึ้นสะพาน ลงอุโมง กลับรถในที่ห้ามกลับ วิ่งย้อนศร
วิ่งบนทางเท้า วิ่งขวา ออกจากซอยไม่หยุดรถ จอดขวางในที่ห้ามจอด โดยพฤติกรรมการขับขี่ดังกล่าว
เสี่ยงให้เกิดอุบัติเหตุอย่างมาก
ยกตัวอย่างกรณีขึ้นสะพาน หากเป็นช่วงเร่งด่วนรถยนต์ติดเป็นแถว มอเตอร์ไซค์วิ่งแทรกเลนเรื่อยๆ ก้ไม่เท่าไหร่
แต่ถ้าหากเป็นช่วงระหว่างวันถนนโล่ง บนสะพานก็จะยิ่งมีลมแรง บวกกับแรงลมของรถยนต์ที่ทำความเร็ว
รถมอเตอร์ไซต์ที่ความเร็วต่ำ จะได้รับผลกระทบโดยตรงอาจทำให้เสียการควบคุมจนเกิดอุบัติเหตุได้
มอเตอร์ไซต์ขึ้นสะพานมีทั้งแบบสปอตที่บิดเกิน 100 สบายๆ กรณีนี้ไม่ค่อยมีปัญหา เพราะความเร็วเท่ากันกับรถยนต์
ส่วนรถแบบบออโต้ทั่วไปที่ความเร็วกลาง-ปลายมาช้า (คิดเป็นสัดส่วนที่มากบนท้องถนน)
ทำให้รถยนต์ต้องชะลอความเร็วเท่ามอไซต์ อันนี้ที่ตำรวจมักใช้กล่าวอ้างว่าทำให้เกิดปัญหาจารจร
รวมถึงเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุมากกว่าปกติจึงเกิดเป็นประกาศข้อบังคับชั่วคราวดังกล่าวออกมา
ในเมื่อเป็นคำสังตามปกครองจึงต้องแก้ด้วยวิธีการทางปกครอง เช่น ร้องศาลปกครอง หรือทบทวนให้มีการแก้ไข พรบ.จราจร
ให้สอดคล้องกับภาวะปัจจุบัน
ดังนั้นอย่าลืมในเมื่อกฎหมายระบุห้ามไว้ ก็จงอย่าผ่าฝืน การฝ่าฝืนของสองล้อมอเตอร์ไซต์ทุกวันนี้
ทำให้เกิดผู้หาผลประโยชน์โดยมิชอบจากคนทำผิดกฎหมาย ถ้าไม่ฝ่าฝืนต้นตอปัญหาก็คงไม่เกิด
กลับกันชาวมอเตอร์ไซต์แทนที่จะสู้ด้วยกระบวนการที่ถูกต้องตามกฎหมายกลับเลือกใช้ วิธีการทำผิดกฎ จ้องจะล้มกฎ
เพื่อให้สิ่งที่ตัวเองทำมันกลายเป็นถูก พรบ .จราจร มีวัตถุประสงค์หลักในการเป็นกฎเพื่อความปลอดภัยในการสัญจร
มิใช่เพื่อความสะดวกสบายของคนโดยละเลยความปลอดภัย
ท้ายนี้หวังว่าถ้าท่านได้สิทธิการวิ่งบนสะพานลอย ลงอุโมงค์ หรือวิ่งขวาแล้ว โปรดเห็นใจ เหลือทางให้คนเดินดิน มีฟุตบาตเดินบ้าง
อย่าบีบแตรไล่คนบนฟุตบาททางเท้า ถ้าเห็นคนข้ามถนนชะลอดูบ้าง ไม่ใช่เห็นรถยนต์หยุด พี่ก็มุดไปชนคนข้ามถนน ขอแค่นี้แหละครับ
ถ้าพี่มีสะพาน และอุโมงใช้แล้ว อย่ามาวิ่งบนทางเท้าเลยครับขอร้อง
บ้างก็อ้างว่าเสียภาษีทำไม่วิ่งไม่ได้ แต่ส่วนใหญ่ลืมคิดไปว่าการเสียภาษีไม่ได้หมายความว่า
สามารถกระทำผิดกฎจาราจรได้ ในเมื่อกฎหมาย ยังคงห้ามไว้
ที่ผ่านมาเรามักพบเห็นมอไซค์วิ่งขึ้นสะพาน ลงอุโมง กลับรถในที่ห้ามกลับ วิ่งย้อนศร
วิ่งบนทางเท้า วิ่งขวา ออกจากซอยไม่หยุดรถ จอดขวางในที่ห้ามจอด โดยพฤติกรรมการขับขี่ดังกล่าว
เสี่ยงให้เกิดอุบัติเหตุอย่างมาก
ยกตัวอย่างกรณีขึ้นสะพาน หากเป็นช่วงเร่งด่วนรถยนต์ติดเป็นแถว มอเตอร์ไซค์วิ่งแทรกเลนเรื่อยๆ ก้ไม่เท่าไหร่
แต่ถ้าหากเป็นช่วงระหว่างวันถนนโล่ง บนสะพานก็จะยิ่งมีลมแรง บวกกับแรงลมของรถยนต์ที่ทำความเร็ว
รถมอเตอร์ไซต์ที่ความเร็วต่ำ จะได้รับผลกระทบโดยตรงอาจทำให้เสียการควบคุมจนเกิดอุบัติเหตุได้
มอเตอร์ไซต์ขึ้นสะพานมีทั้งแบบสปอตที่บิดเกิน 100 สบายๆ กรณีนี้ไม่ค่อยมีปัญหา เพราะความเร็วเท่ากันกับรถยนต์
ส่วนรถแบบบออโต้ทั่วไปที่ความเร็วกลาง-ปลายมาช้า (คิดเป็นสัดส่วนที่มากบนท้องถนน)
ทำให้รถยนต์ต้องชะลอความเร็วเท่ามอไซต์ อันนี้ที่ตำรวจมักใช้กล่าวอ้างว่าทำให้เกิดปัญหาจารจร
รวมถึงเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุมากกว่าปกติจึงเกิดเป็นประกาศข้อบังคับชั่วคราวดังกล่าวออกมา
ในเมื่อเป็นคำสังตามปกครองจึงต้องแก้ด้วยวิธีการทางปกครอง เช่น ร้องศาลปกครอง หรือทบทวนให้มีการแก้ไข พรบ.จราจร
ให้สอดคล้องกับภาวะปัจจุบัน
ดังนั้นอย่าลืมในเมื่อกฎหมายระบุห้ามไว้ ก็จงอย่าผ่าฝืน การฝ่าฝืนของสองล้อมอเตอร์ไซต์ทุกวันนี้
ทำให้เกิดผู้หาผลประโยชน์โดยมิชอบจากคนทำผิดกฎหมาย ถ้าไม่ฝ่าฝืนต้นตอปัญหาก็คงไม่เกิด
กลับกันชาวมอเตอร์ไซต์แทนที่จะสู้ด้วยกระบวนการที่ถูกต้องตามกฎหมายกลับเลือกใช้ วิธีการทำผิดกฎ จ้องจะล้มกฎ
เพื่อให้สิ่งที่ตัวเองทำมันกลายเป็นถูก พรบ .จราจร มีวัตถุประสงค์หลักในการเป็นกฎเพื่อความปลอดภัยในการสัญจร
มิใช่เพื่อความสะดวกสบายของคนโดยละเลยความปลอดภัย
ท้ายนี้หวังว่าถ้าท่านได้สิทธิการวิ่งบนสะพานลอย ลงอุโมงค์ หรือวิ่งขวาแล้ว โปรดเห็นใจ เหลือทางให้คนเดินดิน มีฟุตบาตเดินบ้าง
อย่าบีบแตรไล่คนบนฟุตบาททางเท้า ถ้าเห็นคนข้ามถนนชะลอดูบ้าง ไม่ใช่เห็นรถยนต์หยุด พี่ก็มุดไปชนคนข้ามถนน ขอแค่นี้แหละครับ