กลโกงหลอกขายประกัน และ ธรรมาภิบาลของบริษัทประกัน
นางสมหญิง ตัวแทนบริษัทประกันชีวิตสีฟ้าจำกัด ใบอนุญาตเลขที่ 560XXXX653 สังกัดหน่วยทางภาคตะวันตก
เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า เราเป็นเจ้าของบริษัทขายอุปกรณ์สำหรับใช้ในโรงงาน ตอนสิ้นปีภาษี เราได้รวบรวม รายรับ รายจ่าย เพื่อส่งสำนักงานบัญชีสำหรับคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคล บังเอิญปีนั้นบริษัทมีกำไร สำนักงานบัญชีจึงคำนวณและแจ้งยอดที่ต้องจ่ายเพิ่มให้เราทราบ เราก็เตรียมเงินเพื่อชำระภาษีให้รัฐ แต่ก่อนวันที่จะเสียภาษี หุ้นส่วนท่านหนึ่งติดต่อเข้ามาบอกว่า อยากให้เราพบที่ปรึกษาด้านภาษีก่อน ท่านจะมาให้คำปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องการประหยัดภาษีนิติบุคคลแบบถูกกฎหมาย
พอถึงวันนัดพบ ผู้ที่มาคือนางสมหญิง เราคิดว่านางคงเป็นเจ้าหน้าที่สรรพากรหรือเป็นเจ้าของสำนักงานบัญชีที่จะมาให้ความรู้ พอนั่งฟังนางคุยไปสักครู่ จึงทราบว่านางเป็นตัวแทนประกันชีวิต นางเล่าว่า มีประกันแบบหนึ่งที่สามารถนำมาเป็นค่าใช้จ่ายให้กับบริษัทเพื่อช่วยประหยัดภาษีได้ นางเรียกประกันตัวนี้ว่า Keyman insurance นางถามเราว่า ปีนี้ต้องเสียภาษีประมาณเท่าไร หลังจากเราแจ้งให้นางทราบ นางก็คำนวณเบี้ยประกันที่ต้องชำระ ตัวเลขที่นางคำนวณได้อยู่ที่ประมาณ 1 ล้านบาท
หลังจากคุยกันวันแรกจบ นางได้ขอนัดเราอีกครั้ง ที่ร้านกาแฟ โดยคราวนี้นางมากันสามคน สองในสามนั้นเป็นเพื่อนและเป็นหุ้นส่วนเรา คนที่ติดต่อให้เราพบที่ปรึกษาทางภาษี พวกนางเป็นคนดี คอยช่วยเหลืองานเรามาตลอด แต่เราตั้งใจว่าจะแจ้งนางสมหญิงว่า เราจะไม่ทำประกัน เพราะเบี้ยประกันเป็นเงินจำนวนค่อนข้างมาก เราคงไม่สามารถจ่ายได้ครบอายุประกัน แต่เมื่อนางทราบ นางสมหญิง และ เพื่อนๆ ช่วยกันโน้มน้าวให้เราซื้อประกัน พวกนางบอกว่าประกันนี้สามารถส่ง 6-8 ปีก็ได้ แล้วตัวแทนจะช่วยแปลงกรมธรรม์ให้เป็นชนิดที่ไม่ต้องจ่ายเบี้ยในปีที่เหลือ พวกนางเน้นย้ำว่า นี่เป็นประกันที่ดีที่สุดสำหรับนักธุรกิจ ประกันนี้มีแต่ได้ ไม่มีเสีย ตลอดการนำเสนอ นางได้อธิบายข้อดีของประกัน และนางขอให้เรารีบทำจ่าย ไม่เช่นงั้นจะไม่ทันใช้ในปีภาษี เพราะกรมธรรม์อาจจะออกไม่ทันสิ้นปี
พอโดนชักจูงมากๆเข้า เราก็เริ่มคิดว่าประกันนี้มันดีจริง แต่อาจเพราะความเลินเล่อของเรา ที่ไม่ปรึกษาสำนักงานบัญชี และ ทนายประจำบริษัท เพื่อขอความเห็นก่อนทำธุรกรรมใหญ่ขนาดนี้ เราได้ทำการชำระเงินให้กับนางสมหญิง เพราะความไว้ใจคิดว่า เพื่อนคงไม่ขายเพื่อนกิน และคงไม่แนะนำอะไรที่มีปัญหาให้กับเราแน่นอน
หลังจากเราชำระค่าเบี้ยไปแล้ว เราก็ลองไปค้นในเน็ตว่ามีคนทำประกันแบบเดียวกันนี้ แล้วสามารถประหยัดภาษีได้จริงไหม เราก็พบว่า เป็นจริงตามที่สมหญิงอธิบาย แต่มีบางส่วนที่นางไม่ได้อธิบาย คือ เงินซื้อประกันนั้น ถือเป็นรายได้ของกรรมการบริษัทซึ่งเป็นบุคคลธรรมดา ดังนั้นจึงต้องมารวมคิดเป็นภาษีบุคคลธรรมดาด้วย ( ปกติเราเสียภาษีบุคคลธรรมดาอยู่ที่อัตรา 30% แต่ในปีนั้นรัฐมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ จึงประกาศให้นิติบุคคลเสียภาษีเพียง 23% เท่านั้น ) พอเราได้อ่านข้อเสียของประกันเสร็จแล้ว ก็ตกใจมาก เรารีบโทรติดต่อไปหา นางสมหญิง ว่าเราเจอเรื่องอย่างนี้ในเน็ต ขอให้นางอธิบายว่าเป็นจริงตามในเน็ตไหม สมหญิงยังคงยืนยันว่า มีบริษัททำตั้งมากมายแล้ว ไม่เห็นมีใครมีปัญหาเลย เราเดาว่าคงมีหลายบริษัทที่โดนตัวแทนนางนี้หลอกลวงแต่ไม่มีใครออกมาร้องเรียน
ถึงกระนั้น เรายังคงไม่เชื่อตัวแทน เราขอยกเลิกกรมธรรม์ผ่านตัวแทน แต่นางยืนยันว่าบุคคลธรรมดาไม่ต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในส่วนนี้และนางยังโทรศัพท์ให้เราคุยกับผู้เชี่ยวชาญในหน่วยงานของนางที่มีความเชี่ยวชาญในประเด็นดังกล่าว นางให้คำมั่นว่า ประกันนี้ไม่มีปัญหาแน่นอน นางเสนอที่จะคืนเงินคอมมิสชั่นให้ พร้อมกับหาใบบริจาคต่างๆให้ หากว่ามีปัญหาเกิดขึ้นในอนาคต
แม้เรายืนยันตลอดว่าจะขอยกเลิกกรมธรรม์ และ ขอให้นางจะส่งใบแจ้งยกเลิกไปยังสำนักงานใหญ่ของบริษัทประกันสีฟ้า หรือถ้านางไม่สะดวก จะเอาเอกสารมาให้เราเขียนเหตุผลของการเลิกกรมธรรม์ก็ได้ แต่นางกลับบ่ายเบี่ยงและขอความเห็นใจ นางสตอว่า นางอาจจะถูกไล่ออกถ้าเรายกเลิกกรมธรรม์ ขอให้เราอย่าติดต่อบริษัทเลย นางมีลูกเล็กๆ 2-3 คน ที่ต้องดูแล เราเองก็ไม่เคยคิดอยากทำร้ายอนาคตของเด็กที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับความผิดพลาดของผู้ใหญ่ในเรื่องนี้ เราเลยลองปรึกษานางว่า พอจะมีวิธีเอาเงินคืนได้ไหม นางยืนยันว่าไม่สามารถคืนเบี้ยประกันได้ เพราะเงินนั้นได้แปลงสภาพเป็นรางวัลที่นางทำยอดถึงเป้าของนางแล้ว นางยืนยันหนักแน่นไม่ยอมให้เรายกเลิกประกัน นางบ่ายเบี่ยงตลอดทุกครั้งที่เราทวงถาม พอเราติดตามมากๆเข้า เราก็ไม่สามารถติดต่อนางได้ จนสุดท้ายเลยกำหนดเวลาที่จะเรียกเงินประกันคืนได้
อย่างไรก็ตาม เราก็ยังมีความรู้สึกที่ดีๆกับสมหญิง เพราะคิดว่านางสมหญิงคงเป็นเหยื่อบริษัทเหมือนกับเรา จนกระทั่งวันหนึ่งเราเจอรายงานการประชุมที่นางสมหญิงเป็นผู้จัดทำขึ้นมาตอนขอร้องให้เราทำประกัน หัวข้อรายงานการประชุม เรื่องการชำระภาษีให้กรรมการ ได้ระบุว่า จากการที่บริษัทเป็นผู้ชำระเบี้ยประกันให้กับบุคคลสำคัญนั้น ทำให้บุคคลสำคัญแต่ละท่านมีรายได้รวมเพิ่มขึ้น ก่อให้เกิดภาระการจ่ายเงินได้บุคคลธรรมดาเพิ่มมากขึ้น ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบให้บริษัท เป็นผู้รับผิดชอบในการจ่ายเงินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาโดยให้รวมถึงเบี้ยประกันชีวิตที่ถือเป็นเงินได้พึงประเมินในบุคคลสำคัญด้วย
พออ่านข้อความนั้นจบ สรุปได้ชัดเจนว่า นางสมหญิง และ ผองเพื่อนในทีมขาย ทราบประเด็นนี้มาแต่ต้นแล้ว แต่เจตนาหลอกลวงเอาเงินจากลูกค้า เราจึงโทรเข้า Call Center ของบริษัทประกันชีวิตสีฟ้า เล่าเหตุการณ์ต่างๆให้ Call Center ฟัง ทางเจ้าหน้าที่จึงส่งตัวแทนขาย หัวหน้าหน่วย และเจ้าหน้าที่อีกคนที่หน่วย ซึ่งเป็นคู่กรณี มารับฟังข้อร้องเรียนของเราที่ออฟฟิต เราเห็นพวกนางจดคำให้การ คำซักถามต่างๆจนพอใจ และพวกนางบอกเราว่าจะเขียนใบร้องให้และส่งให้เราตรวจสอบ ว่าตรงตามที่ได้คุยกันไว้ไหม ถ้าเห็นตรงก้นก็ค่อยส่งสำนักงานใหญ่ของบริษัทประกันสีฟ้า
เวลาผ่านไปหลายอาทิตย์ เรายังคงไม่ได้รับความคืบหน้าจากหัวหน้าตัวแทน เราจึงโทรเข้าสำนักงานใหญ่เพื่อสอบถามความคืบหน้า แต่ สำนักงานใหญ่แจ้งกลับว่า ยังไม่เคยได้รับเรื่องคำร้องจากที่กาญจนบุรีเลย เจ้าหน้าที่สำนักงานใหญ่ส่งฟอร์มคำร้องให้เราทางแฟกซ์ และให้เราเขียนคำร้องด้วยตัวเอง โดยนางแนะนำให้เขียนสั้นๆ ได้ใจความ แล้ว ช่วยส่งหนังสือมาที่นาง จากนั้นนางจะตามเรื่องต่อให้ หลังจากเราเขียนเสร็จ เราขอคำแนะนำจากเพื่อนๆในพันธ์ทิพย์ มีหลายท่านแนะนำให้เราติดต่อ คปภ เพื่อเรียกร้องความยุติธรรมจะดีกว่า เพราะ คปภ เป็นองค์กรกลาง เป็นหน่วยงานไกล่เกลี่ยขั้นต้น หากตกลงกันได้ ก็ไม่จำเป็นที่จะนำส่งเรื่องไปยังอนุญาโตตุลาการหรือศาล
เราจึงไปทำเรื่องที่ คปภ เจ้าหน้าที่ช่วยเหลือดีมาก จัดห้องประชุมให้ทั้งสองฝ่ายให้ปากคำเป็นลายลักษณ์อักษร ทำการจดบันทึก และ ขอให้ทั้งสองฝ่ายลองหาทางประนีประนอมกัน แต่ทางบริษัทประกันสีฟ้า กลับไม่ได้ส่งคนที่มีอำนาจมาคุย ทั้งที่ทาง คปภ ส่งหนังสือถึงประกันชีวิตสีฟ้าให้ส่งคนที่มีอำนาจตัดสินใจมาประชุมด้วย ประกันชีวิตสีฟ้ากลับส่งตัวแทนประกันธรรมดา และ เจ้าหน้าที่อีกสองคนมารับเรื่องแทน เจ้าหน้าที่ทั้งสองแจ้งว่า พวกตนไม่มีอำนาจตัดสินใจใดๆ ต้องเอาบันทึกคำให้การนี้ไปให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในบริษัทดังกล่าวเป็นผู้ตัดสิน และนัดให้เรามารับฟังคำตัดสินในอาทิตย์ถัดมา
หนึ่งอาทิตย์ผ่านไปไวเหมือนโกหก บริษัทประกันสีฟ้าส่งตัวแทนมาตามนัดแจ้ง และแจ้งว่า จะไม่รับผิดชอบใดๆ และ ไม่คืนเบี้ยประกันให้ เกณฑ์ในการพิจารณาเรื่องนี้ จะตัดสินจากเอกสารหลักฐานเป็นหลัก โดยดูที่ตัวกรมธรรม์และวันรับกรมธรรม์เท่านั้น จะไม่ดูบันทึกคำให้การที่นางสมหญิงซึ่งเป็นตัวแทนประกันที่ได้สารภาพต่อหน้า คปภ ว่าได้กระทำความผิด นอกจากนี้บริษัทไม่มีนโยบายลงโทษตัวแทนที่หลอกลวงลูกค้า นางสมหญิงยังคงสุขสบายบนความทุกข์ผู้อื่น นางยังคงสามารถทำงานได้ตามปกติ
ลองคิดง่ายๆ โดยจรรยาบรรณ ถ้าลูกค้ามาซื้อสินค้าที่บริษัทคุณ แต่พนักงานคุณโกหก เจตนาหลอกลวง ขายของที่ผิดประเภท ปกปิดปัญหาของสินค้ากับลูกค้า เพื่อประโยชน์ส่วนตน และทำให้ลูกค้าเกิดความเสียหาย คุณซึ่งเป็นเจ้าของร้านจะปฎิเสธความรับผิดชอบที่ต้องมีต่อลูกค้าได้หรือไม่ ?
เราจะหมดศรัทธากับบริษัทประกันชีวิตสีฟ้าจริงๆ ถ้าทางคุณยังคงเพิกเฉยต่อพฤติกรรมการทำผิดซึ่งหน้าของตัวแทนคุณ เราขอความเป็นธรรม คนทำผิดควรจะต้องถูกลงโทษ และ บริษัทควรพิจารณาคำสารภาพผิดในความบกพร่องของพนักงานของคุณประกอบด้วย ผู้ร้ายสารภาพผิด มีพยานเห็นมากมาย แต่คุณอ้างว่าคุณตัดสินจากหลักฐานเท่านั้น มันไม่ make sense เลย คุณจะปล่อยให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีกกับผู้บริสุทธ์รายอื่นๆอีกหรือ?!!
หมายเหตุ : เรามีบันทึกคำให้การรูปแบบ mp3 ถ้าเพื่อนๆสนใจฟัง เชิญหลังไมค์ และหากมีเพื่อนท่านใด ที่โดนคนกลุ่มนี้หลอกลวง กรุณาติดต่อเข้ามา เราสามารถเอาผิดได้ทั้งทางแพ่งและอาญา สำหรับเรื่องฉ้อโกงด้วย รบกวนเพื่อนๆช่วยกันแชร์นะค่ะ
กลโกงหลอกขายประกัน และ ธรรมาภิบาลของบริษัทประกัน
นางสมหญิง ตัวแทนบริษัทประกันชีวิตสีฟ้าจำกัด ใบอนุญาตเลขที่ 560XXXX653 สังกัดหน่วยทางภาคตะวันตก
เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า เราเป็นเจ้าของบริษัทขายอุปกรณ์สำหรับใช้ในโรงงาน ตอนสิ้นปีภาษี เราได้รวบรวม รายรับ รายจ่าย เพื่อส่งสำนักงานบัญชีสำหรับคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคล บังเอิญปีนั้นบริษัทมีกำไร สำนักงานบัญชีจึงคำนวณและแจ้งยอดที่ต้องจ่ายเพิ่มให้เราทราบ เราก็เตรียมเงินเพื่อชำระภาษีให้รัฐ แต่ก่อนวันที่จะเสียภาษี หุ้นส่วนท่านหนึ่งติดต่อเข้ามาบอกว่า อยากให้เราพบที่ปรึกษาด้านภาษีก่อน ท่านจะมาให้คำปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องการประหยัดภาษีนิติบุคคลแบบถูกกฎหมาย
พอถึงวันนัดพบ ผู้ที่มาคือนางสมหญิง เราคิดว่านางคงเป็นเจ้าหน้าที่สรรพากรหรือเป็นเจ้าของสำนักงานบัญชีที่จะมาให้ความรู้ พอนั่งฟังนางคุยไปสักครู่ จึงทราบว่านางเป็นตัวแทนประกันชีวิต นางเล่าว่า มีประกันแบบหนึ่งที่สามารถนำมาเป็นค่าใช้จ่ายให้กับบริษัทเพื่อช่วยประหยัดภาษีได้ นางเรียกประกันตัวนี้ว่า Keyman insurance นางถามเราว่า ปีนี้ต้องเสียภาษีประมาณเท่าไร หลังจากเราแจ้งให้นางทราบ นางก็คำนวณเบี้ยประกันที่ต้องชำระ ตัวเลขที่นางคำนวณได้อยู่ที่ประมาณ 1 ล้านบาท
หลังจากคุยกันวันแรกจบ นางได้ขอนัดเราอีกครั้ง ที่ร้านกาแฟ โดยคราวนี้นางมากันสามคน สองในสามนั้นเป็นเพื่อนและเป็นหุ้นส่วนเรา คนที่ติดต่อให้เราพบที่ปรึกษาทางภาษี พวกนางเป็นคนดี คอยช่วยเหลืองานเรามาตลอด แต่เราตั้งใจว่าจะแจ้งนางสมหญิงว่า เราจะไม่ทำประกัน เพราะเบี้ยประกันเป็นเงินจำนวนค่อนข้างมาก เราคงไม่สามารถจ่ายได้ครบอายุประกัน แต่เมื่อนางทราบ นางสมหญิง และ เพื่อนๆ ช่วยกันโน้มน้าวให้เราซื้อประกัน พวกนางบอกว่าประกันนี้สามารถส่ง 6-8 ปีก็ได้ แล้วตัวแทนจะช่วยแปลงกรมธรรม์ให้เป็นชนิดที่ไม่ต้องจ่ายเบี้ยในปีที่เหลือ พวกนางเน้นย้ำว่า นี่เป็นประกันที่ดีที่สุดสำหรับนักธุรกิจ ประกันนี้มีแต่ได้ ไม่มีเสีย ตลอดการนำเสนอ นางได้อธิบายข้อดีของประกัน และนางขอให้เรารีบทำจ่าย ไม่เช่นงั้นจะไม่ทันใช้ในปีภาษี เพราะกรมธรรม์อาจจะออกไม่ทันสิ้นปี
พอโดนชักจูงมากๆเข้า เราก็เริ่มคิดว่าประกันนี้มันดีจริง แต่อาจเพราะความเลินเล่อของเรา ที่ไม่ปรึกษาสำนักงานบัญชี และ ทนายประจำบริษัท เพื่อขอความเห็นก่อนทำธุรกรรมใหญ่ขนาดนี้ เราได้ทำการชำระเงินให้กับนางสมหญิง เพราะความไว้ใจคิดว่า เพื่อนคงไม่ขายเพื่อนกิน และคงไม่แนะนำอะไรที่มีปัญหาให้กับเราแน่นอน
หลังจากเราชำระค่าเบี้ยไปแล้ว เราก็ลองไปค้นในเน็ตว่ามีคนทำประกันแบบเดียวกันนี้ แล้วสามารถประหยัดภาษีได้จริงไหม เราก็พบว่า เป็นจริงตามที่สมหญิงอธิบาย แต่มีบางส่วนที่นางไม่ได้อธิบาย คือ เงินซื้อประกันนั้น ถือเป็นรายได้ของกรรมการบริษัทซึ่งเป็นบุคคลธรรมดา ดังนั้นจึงต้องมารวมคิดเป็นภาษีบุคคลธรรมดาด้วย ( ปกติเราเสียภาษีบุคคลธรรมดาอยู่ที่อัตรา 30% แต่ในปีนั้นรัฐมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ จึงประกาศให้นิติบุคคลเสียภาษีเพียง 23% เท่านั้น ) พอเราได้อ่านข้อเสียของประกันเสร็จแล้ว ก็ตกใจมาก เรารีบโทรติดต่อไปหา นางสมหญิง ว่าเราเจอเรื่องอย่างนี้ในเน็ต ขอให้นางอธิบายว่าเป็นจริงตามในเน็ตไหม สมหญิงยังคงยืนยันว่า มีบริษัททำตั้งมากมายแล้ว ไม่เห็นมีใครมีปัญหาเลย เราเดาว่าคงมีหลายบริษัทที่โดนตัวแทนนางนี้หลอกลวงแต่ไม่มีใครออกมาร้องเรียน
ถึงกระนั้น เรายังคงไม่เชื่อตัวแทน เราขอยกเลิกกรมธรรม์ผ่านตัวแทน แต่นางยืนยันว่าบุคคลธรรมดาไม่ต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในส่วนนี้และนางยังโทรศัพท์ให้เราคุยกับผู้เชี่ยวชาญในหน่วยงานของนางที่มีความเชี่ยวชาญในประเด็นดังกล่าว นางให้คำมั่นว่า ประกันนี้ไม่มีปัญหาแน่นอน นางเสนอที่จะคืนเงินคอมมิสชั่นให้ พร้อมกับหาใบบริจาคต่างๆให้ หากว่ามีปัญหาเกิดขึ้นในอนาคต
แม้เรายืนยันตลอดว่าจะขอยกเลิกกรมธรรม์ และ ขอให้นางจะส่งใบแจ้งยกเลิกไปยังสำนักงานใหญ่ของบริษัทประกันสีฟ้า หรือถ้านางไม่สะดวก จะเอาเอกสารมาให้เราเขียนเหตุผลของการเลิกกรมธรรม์ก็ได้ แต่นางกลับบ่ายเบี่ยงและขอความเห็นใจ นางสตอว่า นางอาจจะถูกไล่ออกถ้าเรายกเลิกกรมธรรม์ ขอให้เราอย่าติดต่อบริษัทเลย นางมีลูกเล็กๆ 2-3 คน ที่ต้องดูแล เราเองก็ไม่เคยคิดอยากทำร้ายอนาคตของเด็กที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับความผิดพลาดของผู้ใหญ่ในเรื่องนี้ เราเลยลองปรึกษานางว่า พอจะมีวิธีเอาเงินคืนได้ไหม นางยืนยันว่าไม่สามารถคืนเบี้ยประกันได้ เพราะเงินนั้นได้แปลงสภาพเป็นรางวัลที่นางทำยอดถึงเป้าของนางแล้ว นางยืนยันหนักแน่นไม่ยอมให้เรายกเลิกประกัน นางบ่ายเบี่ยงตลอดทุกครั้งที่เราทวงถาม พอเราติดตามมากๆเข้า เราก็ไม่สามารถติดต่อนางได้ จนสุดท้ายเลยกำหนดเวลาที่จะเรียกเงินประกันคืนได้
อย่างไรก็ตาม เราก็ยังมีความรู้สึกที่ดีๆกับสมหญิง เพราะคิดว่านางสมหญิงคงเป็นเหยื่อบริษัทเหมือนกับเรา จนกระทั่งวันหนึ่งเราเจอรายงานการประชุมที่นางสมหญิงเป็นผู้จัดทำขึ้นมาตอนขอร้องให้เราทำประกัน หัวข้อรายงานการประชุม เรื่องการชำระภาษีให้กรรมการ ได้ระบุว่า จากการที่บริษัทเป็นผู้ชำระเบี้ยประกันให้กับบุคคลสำคัญนั้น ทำให้บุคคลสำคัญแต่ละท่านมีรายได้รวมเพิ่มขึ้น ก่อให้เกิดภาระการจ่ายเงินได้บุคคลธรรมดาเพิ่มมากขึ้น ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบให้บริษัท เป็นผู้รับผิดชอบในการจ่ายเงินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาโดยให้รวมถึงเบี้ยประกันชีวิตที่ถือเป็นเงินได้พึงประเมินในบุคคลสำคัญด้วย
พออ่านข้อความนั้นจบ สรุปได้ชัดเจนว่า นางสมหญิง และ ผองเพื่อนในทีมขาย ทราบประเด็นนี้มาแต่ต้นแล้ว แต่เจตนาหลอกลวงเอาเงินจากลูกค้า เราจึงโทรเข้า Call Center ของบริษัทประกันชีวิตสีฟ้า เล่าเหตุการณ์ต่างๆให้ Call Center ฟัง ทางเจ้าหน้าที่จึงส่งตัวแทนขาย หัวหน้าหน่วย และเจ้าหน้าที่อีกคนที่หน่วย ซึ่งเป็นคู่กรณี มารับฟังข้อร้องเรียนของเราที่ออฟฟิต เราเห็นพวกนางจดคำให้การ คำซักถามต่างๆจนพอใจ และพวกนางบอกเราว่าจะเขียนใบร้องให้และส่งให้เราตรวจสอบ ว่าตรงตามที่ได้คุยกันไว้ไหม ถ้าเห็นตรงก้นก็ค่อยส่งสำนักงานใหญ่ของบริษัทประกันสีฟ้า
เวลาผ่านไปหลายอาทิตย์ เรายังคงไม่ได้รับความคืบหน้าจากหัวหน้าตัวแทน เราจึงโทรเข้าสำนักงานใหญ่เพื่อสอบถามความคืบหน้า แต่ สำนักงานใหญ่แจ้งกลับว่า ยังไม่เคยได้รับเรื่องคำร้องจากที่กาญจนบุรีเลย เจ้าหน้าที่สำนักงานใหญ่ส่งฟอร์มคำร้องให้เราทางแฟกซ์ และให้เราเขียนคำร้องด้วยตัวเอง โดยนางแนะนำให้เขียนสั้นๆ ได้ใจความ แล้ว ช่วยส่งหนังสือมาที่นาง จากนั้นนางจะตามเรื่องต่อให้ หลังจากเราเขียนเสร็จ เราขอคำแนะนำจากเพื่อนๆในพันธ์ทิพย์ มีหลายท่านแนะนำให้เราติดต่อ คปภ เพื่อเรียกร้องความยุติธรรมจะดีกว่า เพราะ คปภ เป็นองค์กรกลาง เป็นหน่วยงานไกล่เกลี่ยขั้นต้น หากตกลงกันได้ ก็ไม่จำเป็นที่จะนำส่งเรื่องไปยังอนุญาโตตุลาการหรือศาล
เราจึงไปทำเรื่องที่ คปภ เจ้าหน้าที่ช่วยเหลือดีมาก จัดห้องประชุมให้ทั้งสองฝ่ายให้ปากคำเป็นลายลักษณ์อักษร ทำการจดบันทึก และ ขอให้ทั้งสองฝ่ายลองหาทางประนีประนอมกัน แต่ทางบริษัทประกันสีฟ้า กลับไม่ได้ส่งคนที่มีอำนาจมาคุย ทั้งที่ทาง คปภ ส่งหนังสือถึงประกันชีวิตสีฟ้าให้ส่งคนที่มีอำนาจตัดสินใจมาประชุมด้วย ประกันชีวิตสีฟ้ากลับส่งตัวแทนประกันธรรมดา และ เจ้าหน้าที่อีกสองคนมารับเรื่องแทน เจ้าหน้าที่ทั้งสองแจ้งว่า พวกตนไม่มีอำนาจตัดสินใจใดๆ ต้องเอาบันทึกคำให้การนี้ไปให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในบริษัทดังกล่าวเป็นผู้ตัดสิน และนัดให้เรามารับฟังคำตัดสินในอาทิตย์ถัดมา
หนึ่งอาทิตย์ผ่านไปไวเหมือนโกหก บริษัทประกันสีฟ้าส่งตัวแทนมาตามนัดแจ้ง และแจ้งว่า จะไม่รับผิดชอบใดๆ และ ไม่คืนเบี้ยประกันให้ เกณฑ์ในการพิจารณาเรื่องนี้ จะตัดสินจากเอกสารหลักฐานเป็นหลัก โดยดูที่ตัวกรมธรรม์และวันรับกรมธรรม์เท่านั้น จะไม่ดูบันทึกคำให้การที่นางสมหญิงซึ่งเป็นตัวแทนประกันที่ได้สารภาพต่อหน้า คปภ ว่าได้กระทำความผิด นอกจากนี้บริษัทไม่มีนโยบายลงโทษตัวแทนที่หลอกลวงลูกค้า นางสมหญิงยังคงสุขสบายบนความทุกข์ผู้อื่น นางยังคงสามารถทำงานได้ตามปกติ
ลองคิดง่ายๆ โดยจรรยาบรรณ ถ้าลูกค้ามาซื้อสินค้าที่บริษัทคุณ แต่พนักงานคุณโกหก เจตนาหลอกลวง ขายของที่ผิดประเภท ปกปิดปัญหาของสินค้ากับลูกค้า เพื่อประโยชน์ส่วนตน และทำให้ลูกค้าเกิดความเสียหาย คุณซึ่งเป็นเจ้าของร้านจะปฎิเสธความรับผิดชอบที่ต้องมีต่อลูกค้าได้หรือไม่ ?
เราจะหมดศรัทธากับบริษัทประกันชีวิตสีฟ้าจริงๆ ถ้าทางคุณยังคงเพิกเฉยต่อพฤติกรรมการทำผิดซึ่งหน้าของตัวแทนคุณ เราขอความเป็นธรรม คนทำผิดควรจะต้องถูกลงโทษ และ บริษัทควรพิจารณาคำสารภาพผิดในความบกพร่องของพนักงานของคุณประกอบด้วย ผู้ร้ายสารภาพผิด มีพยานเห็นมากมาย แต่คุณอ้างว่าคุณตัดสินจากหลักฐานเท่านั้น มันไม่ make sense เลย คุณจะปล่อยให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีกกับผู้บริสุทธ์รายอื่นๆอีกหรือ?!!
หมายเหตุ : เรามีบันทึกคำให้การรูปแบบ mp3 ถ้าเพื่อนๆสนใจฟัง เชิญหลังไมค์ และหากมีเพื่อนท่านใด ที่โดนคนกลุ่มนี้หลอกลวง กรุณาติดต่อเข้ามา เราสามารถเอาผิดได้ทั้งทางแพ่งและอาญา สำหรับเรื่องฉ้อโกงด้วย รบกวนเพื่อนๆช่วยกันแชร์นะค่ะ