พิษณุโลก - 3 อดีต ตร.เมืองสองแคว พร้อมทนายเปิดห้องแถลงโต้ข้อหาไล่ยิง-ทำร้าย 5 นศ. ครวญตกเป็นเหยื่อสังคมออนไลน์-แพร่คลิปไม่ครบ จนถูกด่าไม่มีชิ้นดี เปิดภาพวงจรปิดรอบเมืองยืนยันทำตามหน้าที่-ยิงตามหลักแค่ 3 นัดให้รถหยุดเท่านั้น ชี้มีเสียงปืนปริศนา 2 นัด-พยานเจ้าของคลิปเป็นญาติคู่กรณี เปิดอกรับแค่ “ทำร้ายร่างกาย”ข้อหาเดียว
เมื่อเวลาประมาณ 13.30 น. วันนี้ (30 มี.ค.59 ) อดีต 3ตำรวจ ผู้ต้องหาคดีรุมทำร้ายร่างกาย 5 นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม คือ ส.ต.อ.สุบิน นุชขำ อดีต ผบ.หมู่ กก.สส.ภ.จว พิษณุโลก , ร.ต.ท.ธนาคาร ชัยพิพัฒน์ - ร.ต.อ.วุฒิภัทร บัวอุไร อดีตตำรวจสังกัดกลุ่มงานสืบสวน ภ.จว.พิษณุโลก พร้อมด้วยนายชาญชัย ฉิมพานัง ทนายความ ได้เปิดห้องแถลงข่าวที่โรงแรมพิษณุโลกออคิดส์ อ.เมืองพิษณุโลก เพื่อชี้แจงเหตุการณ์ที่ต้องตกเป็นผู้ต้องหา จนถูกสั่งให้ออกจากราชการ
ส.ต.อ.สุบิน นุชขำ อดีต ผบ.หมู่ กก.สส.ภ.จว พิษณุโลก ได้โชว์หลักฐานเป็นคลิปภาพจากกล้องวงจรปิด ตามเส้นทางรถทั้ง 3 คันได้ขับผ่าน และภาพกราฟฟิคจำลองเหตุการณ์ที่เกิดเหตุ คืนวันที่ 18 มี.ค.59
พร้อมอธิบาย ว่า ก่อนเกิดเหตุตนปฏิบัติหน้าที่สืบหาข่าวยาเสพติด และกำลังกลับ สภ.เมือง แต่เกิดเหตุเฉี่ยวชนรถนักศึกษา จุดที่ 1 คือ ใต้สะพานสูง ยืนยันว่า รถของนักศึกษา เป็นฝ่ายหักปาดหน้ารถของเจ้าหน้าที่ตำรวจก่อน หลังจากนั้นรถนักศึกษาได้เร่งเครื่องขับออกไปตามถนนมิตรภาพ มุ่งหน้าขึ้นสะพานนเรศวร อย่างรวดเร็ว ซึ่งตนได้ขับรถติดตามเพื่อแจ้งให้จอด และได้เปิดกระจกตะโกนบอกว่า “เป็นตำรวจ และบอกให้หยุด เพราะมาเฉี่ยวชนรถของตำรวจ”
ปรากฏว่า รถนักศึกษากลับไม่ยอมจอด พร้อมขับหนีอย่างรวดเร็วทั่วเมืองพิษณุโลก ข้ามสะพานนเรศวร เลี้ยวซ้ายแยกวัดคูหาสวรรค์ กลับมาข้ามสะพานเอกาทศรถ และผ่านสี่แยกธนาคารกรุงไทย ซึ่งจุดนั้นก็เป็นที่ตั้งของ สภ.เมืองพิษณุโลก จากนั้นได้วกกลับมาที่สี่แยกบ้านแขก ถึงสะพานสูง จุดที่ชนครั้งแรกอีกครั้ง รถของตนก็ยังคงขับติดตามไป ขณะที่รถนักศึกษายังขับต่อไปถึงสวนชมน่าน และมาผ่าน สภ.เมืองพิษณุโลก รอบที่สอง ผ่านวงเวียนหอนาฬิกา และกลับมาผ่านวงเวียนสถานีรถไฟ มาที่ถนนเอกาทศรถอีกครั้ง ซึ่งเป็นย่านตลาด
ส.ต.อ.สุบิน กล่าวว่า ตนในฐานะที่เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงตั้งข้อสงสัยว่า เหตุใดคนในรถคันดังกล่าวถึงไม่ยอมจอดให้ตรวจ แต่กลับขับรถวนในเมืองด้วย ประกอบกับรถคันดังกล่าว ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน แต่งซิ่ง ท่อดัง ตนจึงต้องประเมินสถานการณ์ว่า รถคันดังกล่าวอาจไปกระทำความผิด หรือมีสิ่งผิดกฎหมาย จึงได้ตัดสินใจต้องทำทุกวิถีทางเพื่อหยุดรถคันดังกล่าว เนื่องจากเส้นทางที่รถขับหลบหนีนั้น เป็นจุดที่มีคนพลุกพล่าน อาจเกิดการเฉี่ยวชนประชาชนได้
จากนั้นตนจึงใช้อาวุธปืนประจำกายยิงไปที่บริเวณล้อหลัง เพื่อให้รถหยุด และขอยืนยันว่า ตนยิงตามหลักสูตรสวาทที่อบรมมา คือ ยิง 3 นัด และ 1 นัดในนั้นถูกยาง ดังนั้นจึงขอแก้ต่างในข้อกล่าวหาที่ว่า ตนพยายามฆ่า เพราะหากตนคิดว่าจะฆ่าคน หรือตั้งใจยิงให้ถูกคน ตนคงยิงไปจุดกระจกมากกว่า อีกทั้งตนได้ผ่านการฝึกอบรม หลักสูตรยุทธวิธีหน่วยปฎิบัติการอาวุธพิเศษ ของตำรวจภูธรภาค 6 ( S.W.A.T. TACTICS)มาแล้ว
ส.ต.อ.สุบิน เปิดเผยอีกว่า ส่วนกรณีที่มีพยานอ้างว่า เป็นพลเมืองดี เดินทางมาจากต่างจังหวัด ไม่เคยรู้จักกับ 5 นักศึกษามาก่อน และผ่านมาเห็นเหตุการณ์ จึงพยายามขับรถติดตาม โดยอ้างว่า รถของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ไปเฉี่ยวชนรถพยานก่อน ก็ไม่เป็นความจริง เพราะรถของพยานได้ขับติดตามเจ้าหน้าที่ตำรวจก่อน ส่วนการเฉี่ยวชน เป็นการชนแบบถูกปาดหน้าหลังการติดตาม
ส.ต.อ.สุบิน บอกว่า ตนอยากให้ตรวจสอบประวัติให้ดี เนื่องจากตรวจสอบเชิงลึกแล้ว พบว่า ตัวพยานมีภูมิลำเนาอยู่ในทะเบียนบ้านเดียวกับพี่ชายของนักศึกษาที่เป็นคนขับขี่รถคันดังกล่าว และเรื่องคลิปจากกล้องหน้ารถของบุคคลที่อ้างตัวว่า เป็นพยานนั้น ตนอยากให้นำมาตรวจสอบให้ละเอียด เพราะคลิปถูกลบหายไป 3 ช่วง เหมือนเป็นการปกปิดเรื่องราว หรือความเป็นจริงอะไรบางอย่าง และระหว่างที่ตนขับรถตามรถนักศึกษาไปนั้น ได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 2 นัด ซึ่งตนก็ไม่ทราบว่าเป็นเสียงปืนมาจากไหน
ส่วนในข้อหาที่ตนทำร้ายร่างกาย กลุ่มนักศึกษานั้น ยอมรับผิดว่า ทำจริง แต่ตนทำไปเพราะเมื่อจอดรถแล้วนักศึกษาทั้ง 5 ไม่ยอมลงจากรถ และเกิดความกดดันจากการพยายามติดตามรถของนักศึกษามาตลอดเส้นทาง
ส.ต.อ.สุบิน ยืนยันด้วยว่า ระหว่างนั้นตนมีหลักฐานว่าได้แจ้งเข้าไปยัง 191 เพื่อขอกำลังเจ้าหน้าที่ออกมาช่วยระงับรถนักศึกษา ส่วนข้อกล่าวหาที่ว่าตนมีการดื่มสุรานั้นไม่เป็นความจริง เพราะในวันเกิดเหตุตนกลับจากสถานีตำรวจเกือบตี 4 และช่วงเช้าร้อยเวรได้เรียกให้มาเป่าแอลกอฮอล์ ซึ่งในเวลาห่างกันแค่ไม่กี่ชั่วโมง หากตนเมา หรือดื่มสุราจริง ตามที่นักศึกษาได้กล่าวอ้างว่า ได้กลิ่นสุรานั้น ผลการเป่าต้องไม่เป็น 0
“อย่างไรก็ตาม กราบขอโทษวงการตำรวจที่ทำให้มีเรื่องเสื่อมเสีย กราบขอโทษผู้บังคับบัญชา ทุกนาย กราบขอโทษนักศึกษา กราบขอโทษครอบครัวผู้เสียหายด้วย”
ส.ต.อ.สุบิน บอกอีกว่า สาเหตุที่ตนไม่ได้ออกมาชี้แจงก่อนหน้านี้ ก็เพราะตนยังเป็นตำรวจอยู่ มีผู้บังคับบัญชา และขอรวมหลักฐาน วันนี้อยากร้องขอความเป็นธรรมบ้าง เพราะถูกรุมประณามฝ่ายเดียว เรื่องที่ผิดคือ เรื่องทำร้ายร่างกาย ก็ยอมรับผิด และหลังเกิดเหตุตนได้ติดต่อขอเข้าพบผู้เสียหาย ได้ไปเยี่ยมผู้เสียหายที่โรงพยาบาล และได้กราบขอขมาผู้เสียหายพร้อมครอบครัว ขอรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาล กับครอบครัวของนักศึกษา แต่ก็ถูกปฏิเสธมาโดยตลอด
“หากทำได้ตนอยากนำดอกไม้กราบขอขมาด้วยซ้ำ ถ้าครอบครัวนักศึกษายินยอม”
กรณีถูกตั้ง 6 ข้อกล่าวหาร้ายแรงนั้น ส.ต.อ.สุบิน ย้ำว่า ขอปฏิเสธ โดยอยู่ในระหว่างให้ทนายรวบรวมหลักฐานสู้คดี และขอยอมรับผิดเพียงข้อหาเดียวคือ ทำร้ายร่างกายเพียงคดีเดียว และข้อมูลต่างๆ ในเชิงลึก ตนขอไปให้การในชั้นศาล ตนเชื่อว่ากระบวนการยุติธรรมยังมีอยู่จริง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9590000032928
คดีนักศึกษาถูกตำรวจทำร้ายร่างกาย ฝ่ายตำรวจออกมาแถลงแล้วนะครับ คิด วิเคราะห์ แยกแยะ กันอย่างไรบ้าง
เมื่อเวลาประมาณ 13.30 น. วันนี้ (30 มี.ค.59 ) อดีต 3ตำรวจ ผู้ต้องหาคดีรุมทำร้ายร่างกาย 5 นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม คือ ส.ต.อ.สุบิน นุชขำ อดีต ผบ.หมู่ กก.สส.ภ.จว พิษณุโลก , ร.ต.ท.ธนาคาร ชัยพิพัฒน์ - ร.ต.อ.วุฒิภัทร บัวอุไร อดีตตำรวจสังกัดกลุ่มงานสืบสวน ภ.จว.พิษณุโลก พร้อมด้วยนายชาญชัย ฉิมพานัง ทนายความ ได้เปิดห้องแถลงข่าวที่โรงแรมพิษณุโลกออคิดส์ อ.เมืองพิษณุโลก เพื่อชี้แจงเหตุการณ์ที่ต้องตกเป็นผู้ต้องหา จนถูกสั่งให้ออกจากราชการ
ส.ต.อ.สุบิน นุชขำ อดีต ผบ.หมู่ กก.สส.ภ.จว พิษณุโลก ได้โชว์หลักฐานเป็นคลิปภาพจากกล้องวงจรปิด ตามเส้นทางรถทั้ง 3 คันได้ขับผ่าน และภาพกราฟฟิคจำลองเหตุการณ์ที่เกิดเหตุ คืนวันที่ 18 มี.ค.59
พร้อมอธิบาย ว่า ก่อนเกิดเหตุตนปฏิบัติหน้าที่สืบหาข่าวยาเสพติด และกำลังกลับ สภ.เมือง แต่เกิดเหตุเฉี่ยวชนรถนักศึกษา จุดที่ 1 คือ ใต้สะพานสูง ยืนยันว่า รถของนักศึกษา เป็นฝ่ายหักปาดหน้ารถของเจ้าหน้าที่ตำรวจก่อน หลังจากนั้นรถนักศึกษาได้เร่งเครื่องขับออกไปตามถนนมิตรภาพ มุ่งหน้าขึ้นสะพานนเรศวร อย่างรวดเร็ว ซึ่งตนได้ขับรถติดตามเพื่อแจ้งให้จอด และได้เปิดกระจกตะโกนบอกว่า “เป็นตำรวจ และบอกให้หยุด เพราะมาเฉี่ยวชนรถของตำรวจ”
ปรากฏว่า รถนักศึกษากลับไม่ยอมจอด พร้อมขับหนีอย่างรวดเร็วทั่วเมืองพิษณุโลก ข้ามสะพานนเรศวร เลี้ยวซ้ายแยกวัดคูหาสวรรค์ กลับมาข้ามสะพานเอกาทศรถ และผ่านสี่แยกธนาคารกรุงไทย ซึ่งจุดนั้นก็เป็นที่ตั้งของ สภ.เมืองพิษณุโลก จากนั้นได้วกกลับมาที่สี่แยกบ้านแขก ถึงสะพานสูง จุดที่ชนครั้งแรกอีกครั้ง รถของตนก็ยังคงขับติดตามไป ขณะที่รถนักศึกษายังขับต่อไปถึงสวนชมน่าน และมาผ่าน สภ.เมืองพิษณุโลก รอบที่สอง ผ่านวงเวียนหอนาฬิกา และกลับมาผ่านวงเวียนสถานีรถไฟ มาที่ถนนเอกาทศรถอีกครั้ง ซึ่งเป็นย่านตลาด
ส.ต.อ.สุบิน กล่าวว่า ตนในฐานะที่เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงตั้งข้อสงสัยว่า เหตุใดคนในรถคันดังกล่าวถึงไม่ยอมจอดให้ตรวจ แต่กลับขับรถวนในเมืองด้วย ประกอบกับรถคันดังกล่าว ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน แต่งซิ่ง ท่อดัง ตนจึงต้องประเมินสถานการณ์ว่า รถคันดังกล่าวอาจไปกระทำความผิด หรือมีสิ่งผิดกฎหมาย จึงได้ตัดสินใจต้องทำทุกวิถีทางเพื่อหยุดรถคันดังกล่าว เนื่องจากเส้นทางที่รถขับหลบหนีนั้น เป็นจุดที่มีคนพลุกพล่าน อาจเกิดการเฉี่ยวชนประชาชนได้
จากนั้นตนจึงใช้อาวุธปืนประจำกายยิงไปที่บริเวณล้อหลัง เพื่อให้รถหยุด และขอยืนยันว่า ตนยิงตามหลักสูตรสวาทที่อบรมมา คือ ยิง 3 นัด และ 1 นัดในนั้นถูกยาง ดังนั้นจึงขอแก้ต่างในข้อกล่าวหาที่ว่า ตนพยายามฆ่า เพราะหากตนคิดว่าจะฆ่าคน หรือตั้งใจยิงให้ถูกคน ตนคงยิงไปจุดกระจกมากกว่า อีกทั้งตนได้ผ่านการฝึกอบรม หลักสูตรยุทธวิธีหน่วยปฎิบัติการอาวุธพิเศษ ของตำรวจภูธรภาค 6 ( S.W.A.T. TACTICS)มาแล้ว
ส.ต.อ.สุบิน เปิดเผยอีกว่า ส่วนกรณีที่มีพยานอ้างว่า เป็นพลเมืองดี เดินทางมาจากต่างจังหวัด ไม่เคยรู้จักกับ 5 นักศึกษามาก่อน และผ่านมาเห็นเหตุการณ์ จึงพยายามขับรถติดตาม โดยอ้างว่า รถของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ไปเฉี่ยวชนรถพยานก่อน ก็ไม่เป็นความจริง เพราะรถของพยานได้ขับติดตามเจ้าหน้าที่ตำรวจก่อน ส่วนการเฉี่ยวชน เป็นการชนแบบถูกปาดหน้าหลังการติดตาม
ส.ต.อ.สุบิน บอกว่า ตนอยากให้ตรวจสอบประวัติให้ดี เนื่องจากตรวจสอบเชิงลึกแล้ว พบว่า ตัวพยานมีภูมิลำเนาอยู่ในทะเบียนบ้านเดียวกับพี่ชายของนักศึกษาที่เป็นคนขับขี่รถคันดังกล่าว และเรื่องคลิปจากกล้องหน้ารถของบุคคลที่อ้างตัวว่า เป็นพยานนั้น ตนอยากให้นำมาตรวจสอบให้ละเอียด เพราะคลิปถูกลบหายไป 3 ช่วง เหมือนเป็นการปกปิดเรื่องราว หรือความเป็นจริงอะไรบางอย่าง และระหว่างที่ตนขับรถตามรถนักศึกษาไปนั้น ได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 2 นัด ซึ่งตนก็ไม่ทราบว่าเป็นเสียงปืนมาจากไหน
ส่วนในข้อหาที่ตนทำร้ายร่างกาย กลุ่มนักศึกษานั้น ยอมรับผิดว่า ทำจริง แต่ตนทำไปเพราะเมื่อจอดรถแล้วนักศึกษาทั้ง 5 ไม่ยอมลงจากรถ และเกิดความกดดันจากการพยายามติดตามรถของนักศึกษามาตลอดเส้นทาง
ส.ต.อ.สุบิน ยืนยันด้วยว่า ระหว่างนั้นตนมีหลักฐานว่าได้แจ้งเข้าไปยัง 191 เพื่อขอกำลังเจ้าหน้าที่ออกมาช่วยระงับรถนักศึกษา ส่วนข้อกล่าวหาที่ว่าตนมีการดื่มสุรานั้นไม่เป็นความจริง เพราะในวันเกิดเหตุตนกลับจากสถานีตำรวจเกือบตี 4 และช่วงเช้าร้อยเวรได้เรียกให้มาเป่าแอลกอฮอล์ ซึ่งในเวลาห่างกันแค่ไม่กี่ชั่วโมง หากตนเมา หรือดื่มสุราจริง ตามที่นักศึกษาได้กล่าวอ้างว่า ได้กลิ่นสุรานั้น ผลการเป่าต้องไม่เป็น 0
“อย่างไรก็ตาม กราบขอโทษวงการตำรวจที่ทำให้มีเรื่องเสื่อมเสีย กราบขอโทษผู้บังคับบัญชา ทุกนาย กราบขอโทษนักศึกษา กราบขอโทษครอบครัวผู้เสียหายด้วย”
ส.ต.อ.สุบิน บอกอีกว่า สาเหตุที่ตนไม่ได้ออกมาชี้แจงก่อนหน้านี้ ก็เพราะตนยังเป็นตำรวจอยู่ มีผู้บังคับบัญชา และขอรวมหลักฐาน วันนี้อยากร้องขอความเป็นธรรมบ้าง เพราะถูกรุมประณามฝ่ายเดียว เรื่องที่ผิดคือ เรื่องทำร้ายร่างกาย ก็ยอมรับผิด และหลังเกิดเหตุตนได้ติดต่อขอเข้าพบผู้เสียหาย ได้ไปเยี่ยมผู้เสียหายที่โรงพยาบาล และได้กราบขอขมาผู้เสียหายพร้อมครอบครัว ขอรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาล กับครอบครัวของนักศึกษา แต่ก็ถูกปฏิเสธมาโดยตลอด
“หากทำได้ตนอยากนำดอกไม้กราบขอขมาด้วยซ้ำ ถ้าครอบครัวนักศึกษายินยอม”
กรณีถูกตั้ง 6 ข้อกล่าวหาร้ายแรงนั้น ส.ต.อ.สุบิน ย้ำว่า ขอปฏิเสธ โดยอยู่ในระหว่างให้ทนายรวบรวมหลักฐานสู้คดี และขอยอมรับผิดเพียงข้อหาเดียวคือ ทำร้ายร่างกายเพียงคดีเดียว และข้อมูลต่างๆ ในเชิงลึก ตนขอไปให้การในชั้นศาล ตนเชื่อว่ากระบวนการยุติธรรมยังมีอยู่จริง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้