ทริปนี้เกิดขึ้นได้ เพราะโปรโมชั่นตั๋วที่ลดกระหน่ำ เราไม่รีรอ จองตั๋วแล้วแบกเป้ไปเชียงใหม่กัน พอเครื่องลงปุ๊บถึงสนามบินเชียงใหม่ ร้าน Bikky ก็เอามอไซค์มาส่งปั๊บเลยค่ะ ที่พักของเราคืนนี้คือ B2 Green อยู่แถวห้วยแก้ว ห่างจากสนามบิน 10 นาที ล้างหน้าล้างตาเสร็จ ก็สวมวิญญานสก๊อยไปแว๊นในตัวเมือง ที่แรกที่เราไปคือ วัดอุโมงค์ เดิมชื่อวัดเวฬุกัฏฐาราม เป็นวัดเก่าแก่หลังมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในกลุ่มผู้วิปัสสนากรรมฐาน
นอกจากความเงียบสงบ ความร่มรื่นแล้ว สิ่งที่โดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ของที่นี่คือสถาปัตยกรรมที่ชาวล้านนาได้ก่อสร้างวัดเป็นทรงอุโมงค์ด้วยการก่ออิฐโบกปูน แต่ปัจจุบันชั้นปูนได้หลุดกะเทาะเกือบหมดแล้ว เหลือเพียงอิฐ
หากรู้สึกเหน็ดเหนื่อยจากความวุ่นวาย อยากพักผ่อน อยากปล่อยวาง วัดอุโมงค์เป็นตัวเลือกแรกๆ ที่เราจะนึกถึง ทั้งบรรยากาศที่ชวนให้เราสงบ สำรวม ข้อความเตือนใจทั่วบริเวณวัด ทำให้เรามีเวลาคุยกับตัวเองมากขึ้น หยุดใช้สมองแล้วปล่อยใจให้คุยกับตัวเอง มาเชียงใหม่ทุกครั้ง จึงไม่เคยพลาดที่จะมาที่นี่
อิ่มเอมใจกันแล้ว ก็เลยต้องหาอะไรให้อิ่มท้องด้วย อยู่เจียงใหม่ ก็ต้องลองอาหารพื้นเมืองหนะเจ้า พบว่าร้านสิบสองปันนาขันโตกอยู่ใกล้วัดอุโมงค์ไม่ถึง 1 ก.ม. แต่พอไปถึง ปรากฏว่าทัวร์ลง โต๊ะเต็มซะงั้น เลยเสิร์ชหาร้านที่ใกล้บริเวณนั้นและไม่ไกลจากไนท์ซาฟารี เพราะสองทุ่มจะไปไนท์ซาฟารีต่อ จึงลงตัวที่ร้านเบญจรงค์ขันโตก อยู่บนถนนเลียบคลองชลประทาน
เบญจรงค์ขันโตก เป็นร้านอาหารขันโตกแบบบุฟเฟต์ ราคา 350 บาท/คน เปิดตั้งแต่ 19.00 น. เมนูขันโตกประกอบด้วยแคบหมู น้ำพริกหนุ่ม น้ำพริกอ่อง ไก่ทอดหนังกรอบ แกงฮังเลหมู ผัดผัก ผักลวก และกล้วยทอด มีให้เติมไม่อั้น สำหรับชุดการแสดงศิลปวัฒนธรรมไทย ถือว่าอลังการเลย ทั้งเสื้อผ้าหน้าผมของนักแสดง และแสงสีเสียง มีการแสดงทั้งหมด 8 ชุด คือ ฟ้อนเล็บ กลองสะบัดชัย ฟ้อนผาง เซิ้งกะโป๋ ระบำชาวเขา รำแถบลาน ฟ้อนดาบ ระบำเก็บใบชา และปิดท้ายด้วยรำวงมาตรฐาน โดยนักแสดงจะลงมาชักชวนให้นักท่องเที่ยวร่วมร้องรำกันด้วย
จากนั้นก็ไปเชียงใหม่ไนท์ซาฟารีต่อ เชียงใหม่ไนท์ซาฟารีตั้งอยู่ในตำบลแม่เหียะ ตำบลสุเทพ อำเภอเมือง และตำบลหนองควาย อำเภอหางดง รวมพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 819 ไร่ ห่างจากใจกลางเมืองเชียงใหม่แค่ 10 กิโลเมตร มีป้ายบอกทางตลอด
บัตรเข้าชมซื้อหน้างานได้เลยค่ะ มีทั้งกลางวันและกลางคืน ระหว่างที่รอรถลาก มีการแสดงน้ำพุดนตรีที่สวยงามและยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เสร็จแล้วก็เตรียมตัวไปขึ้นรถลากได้เลยค่ะ แนะนำว่าถ้าอยากใกล้ชิดกับน้องสัตว์มากขึ้น ควรซื้ออาหารสัตว์ซึ่งขายตรงทางเข้าจุดรอรถไปด้วย เพราะเราจะมีโอกาสได้เห็นและใกล้ชิดสุดๆ ขนาดเอาหน้าแนบกันได้เลย 555+
รถลากเริ่มออกตัว พาเราไปตามทางซึ่งเป็นทางเล็กๆ พอดีรถ ลมหนาวและทางมืดเกือบสนิททำให้เราตื่นเต้นและรอลุ้นตลอดทางว่าข้างหน้าจะเจอกับอะไรบ้าง ตลอดเส้นทางมีไกด์บรรยายอย่างเป็นกันเอง ได้ทั้งความสนุกและสาระความรู้
เริ่มแรก รถลากจะพาเราไปยัง South Zone เพื่อชมฝูงสัตว์จากทวีปแอฟริกา ออสเตรเลีย อเมริกา และเอเชีย เช่น อิมพาลา วัววาตูซี จิงโจ้ กวางซิกา (เยอะมากๆ แต่จำชื่อไม่ค่อยได้ แฮร่ๆ) ซีนที่ชอบที่สุดของที่นี่คงเป็นตอนคือลูกหมูป่าวิ่งตามรถดุ๊กดิ๊กๆ แล้วก็ยีราฟเข้ามาทักทายเราอย่างเป็นมิตรใกล้ชิดถึงรถเลยค่ะ หลังจากนั้นจะมาต่อรถอีกคันเพื่อไปยัง North Zone ที่เต็มไปด้วยฝูงสัตว์นักล่าและสัตว์กินพืชอีกหลายชนิด เช่น เสือพูม่า ไฮยีน่า หมีหมา แกะบาร์บารี และอูฐ เป็นต้นค่ะ
เสร็จแล้วก็กลับเข้าในเมือง ช่วงที่ไปเป็นเดือนมกราคมค่ะ ขอบอกว่าหนาวมากกกกกกกกก ยิ่งพออยู่บนมอไซค์แล้วต้องเอาหน้าโต้ลม พูดเลยแทบสิ้นใจ 555+
ตื่นเช้าวันที่สอง ไปทานก๋วยจั๊บน้ำข้น ข้างสามกษัตริย์ ร้านอยู่ตรงข้ามหอศิลปวัฒนธรรมเชียงใหม่ ด้านหลังอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ เปิดทุกวันตั้งแต่เวลา 07.00-15.00 น.
เมนูเด็ดของที่นี่ คือ "ก๋วยจั๊บน้ำข้นหมูกรอบ" ก๋วยจั๊บน้ำข้นที่นี่น้ำใสกิ๊ง แต่อัดแน่นด้วยเครื่องที่ใส่มาเต็มถ้วย ไม่ว่าจะเป็นหนังปลาทอด หัวใจ ไส้ ตับ แต่ที่เป็นไคลเม็กซ์ที่สุดก็คือ หมูกรอบ !!! หมูกรอบชิ้นใหญ่มาก หนังกรอบ เนื้อแน่น ที่นี่เน้นความสดใหม่ เพราะแอบเห็นว่าหมูกรอบจะทอดใหม่ๆ ร้อนๆ ตลอดทั้งวัน บอกได้คำเดียวว่าฟินมาก
แถมอีกรูป ข้าวหน้าหมูกรอบ
ทานเสร็จเราเดินไปสักการะอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ เพื่อความเป็นสิริมงคล แล้วกลับมาเช็คเอ้าท์ที่พักและรับรถจาก AVIS ค่ะ
การจองรถ เราใช้วิธีจองโดยใช้ Voucher ซึ่งหาซื้อได้จากเว็บเช่ารถหลายเว็บเลย (ราคาถูกกว่าจองกับบริษัทโดยตรง) เหตุผลที่เลือก AVIS เพราะว่าสามารถคืนรถได้เลทจากเวลาที่ยืมอีก 4 ชั่วโมง โดยไม่มีค่าปรับ
สำหรับขั้นตอนการจองรถ ดังนี้ค่ะ
1. ติดต่อ Agency ที่เชื่อถือได้, Agency จะให้ Code เพื่อโทรไปจองกับ AVIS
2. โทรไปจอง AVIS หากช่วงเราที่เราใช้รถ มีรถรุ่นที่เราต้องการว่าพอดี ก็บอก Code ที่ได้มาให้กับพนักงาน
3. AVIS ส่งอีเมล์มาเพื่อยืนยันการจอง
4. โอนเงินให้ Agency และรอรับเอกสารทางไปรษณีย์จาก Agency
5. เมื่อถึงวันเดินทางให้นำเอกสารตัวนั้นไปด้วย พร้อมบัตรเครดิต (เพื่อจำกัดวงเงินไว้ 8,000 บาท และต้องเป็นบัตรเครดิตของคนจอง แต่ใครจะเป็นคนขับก็ได้) + ใบขับขี่ของคนขับ
6. ทำสัญญา ส่งมอบรถ
นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ใช้บริการ AVIS ประทับใจมากค่ะ รถใหม่ สะอาด และพนักงานบริการดี
มุ่งหน้าสู่อำเภอเชียงดาว ให้พี่ Google Map นำทางไป โดยใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 107 ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ประมาณ 1 ชั่วโมงนิดๆ ค่ะ เช็คอินจุดแรกคือ ถ้ำเชียงดาว เป็นถ้ำที่ใหญ่และลึกมากแห่งหนึ่งในประเทศไทย
ถ้ำเชียงดาวเป็นถ้ำที่ใหญ่และลึกมากแห่งหนึ่งในประเทศไทย ปากถ้ำมีพระพุทธประดิษฐานไว้เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้กราบไหว้ ส่วนด้านในต้องมีคนนำทางเข้าไปนะคะ โดยมีค่าตะเกียงคณะละ 100 บาท ภายในถ้ำขนาดใหญ่ มีหินงอกหินย้อยรูปทรงต่างที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติที่สวยงาม
เสน่ห์อย่างหนึ่งของการเที่ยวถ้ำ คือ จินตนาการของไกด์ท้องถิ่นและผู้เข้าชมค่ะ เพราะประติมากรรมธรรมชาติภายในถ้ำนั้น หากใช้จินตนาการมองตามก็จะช่วยเพิ่มอรรถรสในการชมมากยิ่งขึ้น เดินลึกเข้าไปมีถ้ำเล็กถ้ำน้อยแยกออกไปอีกหลายถ้ำ เช่น ถ้ำม้า ถ้ำแก้ว ถ้ำน้ำ ถ้ำพระนอน และถ้ำเสือดาว บางช่วงมีค้างคาวห้อยหัวลงมาเซย์ไฮด้วยหละ
เอกลักษณ์ของถ้ำเชียงดาวคือมีน้ำใสไหลจากในถ้ำมารวมกันเป็นสระน้ำหน้าถ้ำตลอดทั้งปี
ออกจากถ้ำ มุ่งหน้าไปกันต่อสู่ บ้านวิวดอยหลวง รอบนี้พึ่งพี่ Google Map เหมือนเดิม แต่ดันหมุนไป วนมาอยู่หลายรอบ สรุปได้ว่า หลงทางค่ะ 555+ ต้องขับกลับออกมาหน่อยนึงเพื่อถามทาง และหาสัญญาณมือถือ โชคดีมากที่เจอกระทู้นี้ในพันทิปพอดี อธิบายทางไปบ้านระเบียงดาว (ติดกับบ้านวิวดอยหลวง) ไว้ละเอียดมาก
http://ppantip.com/topic/30915810 แนะนำว่าควรจะมาถึงที่พักก่อนหกโมงเย็นนะคะ เพราะทางขึ้นเขาแอบโหด โค้งชันและแคบค่ะ ต้องบีบแตรส่งสัญญาณให้รถที่สวนมาทุกโค้ง ถ้ามาดึก ขับขึ้นมาลำบากและอันตรายค่ะ และในที่สุดก็มาถึงแล้วค่ะ บ้านวิวดอยหลวง
ภายในห้องตกต่างง่ายๆ เป็นโฮมสเตย์ ตกแต่งง่ายๆ สไตล์บ้านชาวเขา แต่ที่นอนหมอนมุ้งพร้อม
ที่นี่ฟรีอาหารเย็น 1 มื้อ และอาหารเช้า 1 มื้อ หากไม่อิ่มก็ขอเติมได้เรื่อยๆ ค่ะ แฮร่ๆ
ยิ่งตกดึก ที่นี่หนาวมาก น้ำในห้องน้ำหนาวยิ่งกว่าน้ำในตู้เย็นที่บ้านเสียเอง เนียนๆไม่อาบน้ำได้เลย ที่นี่ดาวสวยสมชื่อเชียงดาวจริงๆค่ะ มืดหน่อย ดาวระยิบระยับเต็มท้องฟ้าเลย โรแมนติกสุดๆ (ของจริงสวยกว่าในรูปเยอะเลย)
ตื่นเช้ามา มีข้าวต้ม โอวันติล กาแฟให้ฟรีค่ะ ทานเสร็จเราเดินลงมานั่งกินกาแฟชิวๆ ที่บ้านระเบียงดาว เราตั้งใจจะมาพักในตอนแรก แต่จองไม่ทัน ห้องพักเต็มเร็วมาก ขนาดจองล่วงหน้าเกือบ 5 เดือน ระเบียงดาวเป็นที่พักที่เราต้องมาเยือนให้ได้สักครั้ง เพราะมีวิวที่สวยมาก มองเห็นทิวเขาแบบพาโนรามาทอดตัวยาว อยู่ข้างหน้าระเบียง (รอบหน้าไม่พลาดแน่นอน)
ระหว่างที่ขับออกมาจากเชียงดาว บนถนนเชียงใหม่-ฝาง มุ่งหน้าไปแม่กำปอง เราเจอกับแก่งปันเต๊าโดยบังเอิญ จึงแวะพักทานส้มตำริมน้ำ บรรยากาศดีมากๆเลยทีเดียว
ระหว่างทาง เราเจอไฟป่าและควันปกคลุมถนน ต้องระมัดระวังอย่างมาก เพราะช่วงเดือนมกรา – เมษา ภาคเหนือตอนบนจะเจอกับปัญหาไฟป่าและการเผาสิ่งเหลือใช้ทางการเกษตร
และเราก็มาถึงศูนย์พัฒนาโครงการหลวงตีนตก เป็นโครงการที่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์ สำหรับก่อสร้างเพื่อเป็นแหล่งพัฒนา สาธิต และส่งเสริมการเกษตรและแก่ชาวบ้าน
ภายในมีแปลงเกษตรสาธิต ร้านอาหาร รวมถึงที่พักริมธาร เพื่อรองรับนักท่องเที่ยว
บ้านพักแต่ละหลังในศูนย์พัฒนาโครงการหลวงตีนตก ถูกออกแบบให้เข้ากับธรรมชาติ เหมาะสำหรับพักผ่อนอย่างแท้จริง
แบกเป้หนึ่งใบ ไปเชียงดาว-แม่กำปอง
ทริปนี้เกิดขึ้นได้ เพราะโปรโมชั่นตั๋วที่ลดกระหน่ำ เราไม่รีรอ จองตั๋วแล้วแบกเป้ไปเชียงใหม่กัน พอเครื่องลงปุ๊บถึงสนามบินเชียงใหม่ ร้าน Bikky ก็เอามอไซค์มาส่งปั๊บเลยค่ะ ที่พักของเราคืนนี้คือ B2 Green อยู่แถวห้วยแก้ว ห่างจากสนามบิน 10 นาที ล้างหน้าล้างตาเสร็จ ก็สวมวิญญานสก๊อยไปแว๊นในตัวเมือง ที่แรกที่เราไปคือ วัดอุโมงค์ เดิมชื่อวัดเวฬุกัฏฐาราม เป็นวัดเก่าแก่หลังมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในกลุ่มผู้วิปัสสนากรรมฐาน
นอกจากความเงียบสงบ ความร่มรื่นแล้ว สิ่งที่โดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ของที่นี่คือสถาปัตยกรรมที่ชาวล้านนาได้ก่อสร้างวัดเป็นทรงอุโมงค์ด้วยการก่ออิฐโบกปูน แต่ปัจจุบันชั้นปูนได้หลุดกะเทาะเกือบหมดแล้ว เหลือเพียงอิฐ
หากรู้สึกเหน็ดเหนื่อยจากความวุ่นวาย อยากพักผ่อน อยากปล่อยวาง วัดอุโมงค์เป็นตัวเลือกแรกๆ ที่เราจะนึกถึง ทั้งบรรยากาศที่ชวนให้เราสงบ สำรวม ข้อความเตือนใจทั่วบริเวณวัด ทำให้เรามีเวลาคุยกับตัวเองมากขึ้น หยุดใช้สมองแล้วปล่อยใจให้คุยกับตัวเอง มาเชียงใหม่ทุกครั้ง จึงไม่เคยพลาดที่จะมาที่นี่
อิ่มเอมใจกันแล้ว ก็เลยต้องหาอะไรให้อิ่มท้องด้วย อยู่เจียงใหม่ ก็ต้องลองอาหารพื้นเมืองหนะเจ้า พบว่าร้านสิบสองปันนาขันโตกอยู่ใกล้วัดอุโมงค์ไม่ถึง 1 ก.ม. แต่พอไปถึง ปรากฏว่าทัวร์ลง โต๊ะเต็มซะงั้น เลยเสิร์ชหาร้านที่ใกล้บริเวณนั้นและไม่ไกลจากไนท์ซาฟารี เพราะสองทุ่มจะไปไนท์ซาฟารีต่อ จึงลงตัวที่ร้านเบญจรงค์ขันโตก อยู่บนถนนเลียบคลองชลประทาน
เบญจรงค์ขันโตก เป็นร้านอาหารขันโตกแบบบุฟเฟต์ ราคา 350 บาท/คน เปิดตั้งแต่ 19.00 น. เมนูขันโตกประกอบด้วยแคบหมู น้ำพริกหนุ่ม น้ำพริกอ่อง ไก่ทอดหนังกรอบ แกงฮังเลหมู ผัดผัก ผักลวก และกล้วยทอด มีให้เติมไม่อั้น สำหรับชุดการแสดงศิลปวัฒนธรรมไทย ถือว่าอลังการเลย ทั้งเสื้อผ้าหน้าผมของนักแสดง และแสงสีเสียง มีการแสดงทั้งหมด 8 ชุด คือ ฟ้อนเล็บ กลองสะบัดชัย ฟ้อนผาง เซิ้งกะโป๋ ระบำชาวเขา รำแถบลาน ฟ้อนดาบ ระบำเก็บใบชา และปิดท้ายด้วยรำวงมาตรฐาน โดยนักแสดงจะลงมาชักชวนให้นักท่องเที่ยวร่วมร้องรำกันด้วย
จากนั้นก็ไปเชียงใหม่ไนท์ซาฟารีต่อ เชียงใหม่ไนท์ซาฟารีตั้งอยู่ในตำบลแม่เหียะ ตำบลสุเทพ อำเภอเมือง และตำบลหนองควาย อำเภอหางดง รวมพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 819 ไร่ ห่างจากใจกลางเมืองเชียงใหม่แค่ 10 กิโลเมตร มีป้ายบอกทางตลอด
บัตรเข้าชมซื้อหน้างานได้เลยค่ะ มีทั้งกลางวันและกลางคืน ระหว่างที่รอรถลาก มีการแสดงน้ำพุดนตรีที่สวยงามและยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เสร็จแล้วก็เตรียมตัวไปขึ้นรถลากได้เลยค่ะ แนะนำว่าถ้าอยากใกล้ชิดกับน้องสัตว์มากขึ้น ควรซื้ออาหารสัตว์ซึ่งขายตรงทางเข้าจุดรอรถไปด้วย เพราะเราจะมีโอกาสได้เห็นและใกล้ชิดสุดๆ ขนาดเอาหน้าแนบกันได้เลย 555+
รถลากเริ่มออกตัว พาเราไปตามทางซึ่งเป็นทางเล็กๆ พอดีรถ ลมหนาวและทางมืดเกือบสนิททำให้เราตื่นเต้นและรอลุ้นตลอดทางว่าข้างหน้าจะเจอกับอะไรบ้าง ตลอดเส้นทางมีไกด์บรรยายอย่างเป็นกันเอง ได้ทั้งความสนุกและสาระความรู้
เริ่มแรก รถลากจะพาเราไปยัง South Zone เพื่อชมฝูงสัตว์จากทวีปแอฟริกา ออสเตรเลีย อเมริกา และเอเชีย เช่น อิมพาลา วัววาตูซี จิงโจ้ กวางซิกา (เยอะมากๆ แต่จำชื่อไม่ค่อยได้ แฮร่ๆ) ซีนที่ชอบที่สุดของที่นี่คงเป็นตอนคือลูกหมูป่าวิ่งตามรถดุ๊กดิ๊กๆ แล้วก็ยีราฟเข้ามาทักทายเราอย่างเป็นมิตรใกล้ชิดถึงรถเลยค่ะ หลังจากนั้นจะมาต่อรถอีกคันเพื่อไปยัง North Zone ที่เต็มไปด้วยฝูงสัตว์นักล่าและสัตว์กินพืชอีกหลายชนิด เช่น เสือพูม่า ไฮยีน่า หมีหมา แกะบาร์บารี และอูฐ เป็นต้นค่ะ
เสร็จแล้วก็กลับเข้าในเมือง ช่วงที่ไปเป็นเดือนมกราคมค่ะ ขอบอกว่าหนาวมากกกกกกกกก ยิ่งพออยู่บนมอไซค์แล้วต้องเอาหน้าโต้ลม พูดเลยแทบสิ้นใจ 555+
ตื่นเช้าวันที่สอง ไปทานก๋วยจั๊บน้ำข้น ข้างสามกษัตริย์ ร้านอยู่ตรงข้ามหอศิลปวัฒนธรรมเชียงใหม่ ด้านหลังอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ เปิดทุกวันตั้งแต่เวลา 07.00-15.00 น.
เมนูเด็ดของที่นี่ คือ "ก๋วยจั๊บน้ำข้นหมูกรอบ" ก๋วยจั๊บน้ำข้นที่นี่น้ำใสกิ๊ง แต่อัดแน่นด้วยเครื่องที่ใส่มาเต็มถ้วย ไม่ว่าจะเป็นหนังปลาทอด หัวใจ ไส้ ตับ แต่ที่เป็นไคลเม็กซ์ที่สุดก็คือ หมูกรอบ !!! หมูกรอบชิ้นใหญ่มาก หนังกรอบ เนื้อแน่น ที่นี่เน้นความสดใหม่ เพราะแอบเห็นว่าหมูกรอบจะทอดใหม่ๆ ร้อนๆ ตลอดทั้งวัน บอกได้คำเดียวว่าฟินมาก
แถมอีกรูป ข้าวหน้าหมูกรอบ
ทานเสร็จเราเดินไปสักการะอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ เพื่อความเป็นสิริมงคล แล้วกลับมาเช็คเอ้าท์ที่พักและรับรถจาก AVIS ค่ะ
การจองรถ เราใช้วิธีจองโดยใช้ Voucher ซึ่งหาซื้อได้จากเว็บเช่ารถหลายเว็บเลย (ราคาถูกกว่าจองกับบริษัทโดยตรง) เหตุผลที่เลือก AVIS เพราะว่าสามารถคืนรถได้เลทจากเวลาที่ยืมอีก 4 ชั่วโมง โดยไม่มีค่าปรับ
สำหรับขั้นตอนการจองรถ ดังนี้ค่ะ
1. ติดต่อ Agency ที่เชื่อถือได้, Agency จะให้ Code เพื่อโทรไปจองกับ AVIS
2. โทรไปจอง AVIS หากช่วงเราที่เราใช้รถ มีรถรุ่นที่เราต้องการว่าพอดี ก็บอก Code ที่ได้มาให้กับพนักงาน
3. AVIS ส่งอีเมล์มาเพื่อยืนยันการจอง
4. โอนเงินให้ Agency และรอรับเอกสารทางไปรษณีย์จาก Agency
5. เมื่อถึงวันเดินทางให้นำเอกสารตัวนั้นไปด้วย พร้อมบัตรเครดิต (เพื่อจำกัดวงเงินไว้ 8,000 บาท และต้องเป็นบัตรเครดิตของคนจอง แต่ใครจะเป็นคนขับก็ได้) + ใบขับขี่ของคนขับ
6. ทำสัญญา ส่งมอบรถ
นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ใช้บริการ AVIS ประทับใจมากค่ะ รถใหม่ สะอาด และพนักงานบริการดี
มุ่งหน้าสู่อำเภอเชียงดาว ให้พี่ Google Map นำทางไป โดยใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 107 ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ประมาณ 1 ชั่วโมงนิดๆ ค่ะ เช็คอินจุดแรกคือ ถ้ำเชียงดาว เป็นถ้ำที่ใหญ่และลึกมากแห่งหนึ่งในประเทศไทย
ถ้ำเชียงดาวเป็นถ้ำที่ใหญ่และลึกมากแห่งหนึ่งในประเทศไทย ปากถ้ำมีพระพุทธประดิษฐานไว้เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้กราบไหว้ ส่วนด้านในต้องมีคนนำทางเข้าไปนะคะ โดยมีค่าตะเกียงคณะละ 100 บาท ภายในถ้ำขนาดใหญ่ มีหินงอกหินย้อยรูปทรงต่างที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติที่สวยงาม
เสน่ห์อย่างหนึ่งของการเที่ยวถ้ำ คือ จินตนาการของไกด์ท้องถิ่นและผู้เข้าชมค่ะ เพราะประติมากรรมธรรมชาติภายในถ้ำนั้น หากใช้จินตนาการมองตามก็จะช่วยเพิ่มอรรถรสในการชมมากยิ่งขึ้น เดินลึกเข้าไปมีถ้ำเล็กถ้ำน้อยแยกออกไปอีกหลายถ้ำ เช่น ถ้ำม้า ถ้ำแก้ว ถ้ำน้ำ ถ้ำพระนอน และถ้ำเสือดาว บางช่วงมีค้างคาวห้อยหัวลงมาเซย์ไฮด้วยหละ
เอกลักษณ์ของถ้ำเชียงดาวคือมีน้ำใสไหลจากในถ้ำมารวมกันเป็นสระน้ำหน้าถ้ำตลอดทั้งปี
ออกจากถ้ำ มุ่งหน้าไปกันต่อสู่ บ้านวิวดอยหลวง รอบนี้พึ่งพี่ Google Map เหมือนเดิม แต่ดันหมุนไป วนมาอยู่หลายรอบ สรุปได้ว่า หลงทางค่ะ 555+ ต้องขับกลับออกมาหน่อยนึงเพื่อถามทาง และหาสัญญาณมือถือ โชคดีมากที่เจอกระทู้นี้ในพันทิปพอดี อธิบายทางไปบ้านระเบียงดาว (ติดกับบ้านวิวดอยหลวง) ไว้ละเอียดมาก http://ppantip.com/topic/30915810 แนะนำว่าควรจะมาถึงที่พักก่อนหกโมงเย็นนะคะ เพราะทางขึ้นเขาแอบโหด โค้งชันและแคบค่ะ ต้องบีบแตรส่งสัญญาณให้รถที่สวนมาทุกโค้ง ถ้ามาดึก ขับขึ้นมาลำบากและอันตรายค่ะ และในที่สุดก็มาถึงแล้วค่ะ บ้านวิวดอยหลวง
ภายในห้องตกต่างง่ายๆ เป็นโฮมสเตย์ ตกแต่งง่ายๆ สไตล์บ้านชาวเขา แต่ที่นอนหมอนมุ้งพร้อม
ที่นี่ฟรีอาหารเย็น 1 มื้อ และอาหารเช้า 1 มื้อ หากไม่อิ่มก็ขอเติมได้เรื่อยๆ ค่ะ แฮร่ๆ
ยิ่งตกดึก ที่นี่หนาวมาก น้ำในห้องน้ำหนาวยิ่งกว่าน้ำในตู้เย็นที่บ้านเสียเอง เนียนๆไม่อาบน้ำได้เลย ที่นี่ดาวสวยสมชื่อเชียงดาวจริงๆค่ะ มืดหน่อย ดาวระยิบระยับเต็มท้องฟ้าเลย โรแมนติกสุดๆ (ของจริงสวยกว่าในรูปเยอะเลย)
ตื่นเช้ามา มีข้าวต้ม โอวันติล กาแฟให้ฟรีค่ะ ทานเสร็จเราเดินลงมานั่งกินกาแฟชิวๆ ที่บ้านระเบียงดาว เราตั้งใจจะมาพักในตอนแรก แต่จองไม่ทัน ห้องพักเต็มเร็วมาก ขนาดจองล่วงหน้าเกือบ 5 เดือน ระเบียงดาวเป็นที่พักที่เราต้องมาเยือนให้ได้สักครั้ง เพราะมีวิวที่สวยมาก มองเห็นทิวเขาแบบพาโนรามาทอดตัวยาว อยู่ข้างหน้าระเบียง (รอบหน้าไม่พลาดแน่นอน)
ระหว่างที่ขับออกมาจากเชียงดาว บนถนนเชียงใหม่-ฝาง มุ่งหน้าไปแม่กำปอง เราเจอกับแก่งปันเต๊าโดยบังเอิญ จึงแวะพักทานส้มตำริมน้ำ บรรยากาศดีมากๆเลยทีเดียว
ระหว่างทาง เราเจอไฟป่าและควันปกคลุมถนน ต้องระมัดระวังอย่างมาก เพราะช่วงเดือนมกรา – เมษา ภาคเหนือตอนบนจะเจอกับปัญหาไฟป่าและการเผาสิ่งเหลือใช้ทางการเกษตร
และเราก็มาถึงศูนย์พัฒนาโครงการหลวงตีนตก เป็นโครงการที่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์ สำหรับก่อสร้างเพื่อเป็นแหล่งพัฒนา สาธิต และส่งเสริมการเกษตรและแก่ชาวบ้าน
ภายในมีแปลงเกษตรสาธิต ร้านอาหาร รวมถึงที่พักริมธาร เพื่อรองรับนักท่องเที่ยว
บ้านพักแต่ละหลังในศูนย์พัฒนาโครงการหลวงตีนตก ถูกออกแบบให้เข้ากับธรรมชาติ เหมาะสำหรับพักผ่อนอย่างแท้จริง