คัดมาจากคอลัมน์ "เล่นหูเล่นตา" ตอนแรก (1) ในคมชัดลึก เขียนโดย เจนนิเฟอร์ คิ้ม
http://www.komchadluek.net/detail/20160328/224823.html
"อาโป....มารับพี่หน่อยได้มั้ย? พี่ขี้เกียจขับรถ..."
ฉันโทรไปบอกอาโป (ณัฐวิญญ์ วัฒนกิติพัฒน์) นักแสดงชายดาวรุ่งช่อง 3 ที่คนดูคุ้นเคยจากบท “ธนา” ตอนโตในสุดแค้นแสนรัก...
“ได้ครับ พี่คิ้มจะให้ผมไปรับที่ไหนครับ?”
บอกทางเรียบร้อยพอถึงเวลานัดอาโปก็มารับฉันที่คอนโด อาโปรีบกุลีกุจอลงจากรถมารับของกินพะรุงพะรังที่ฉันหิ้วมาเอาไปเก็บท้ายรถ แล้วเปิดประตูรถให้ฉันขึ้นไปนั่ง โถ...พ่อคุณทำบุญกับคนแก่! ช่างเป็นเด็กที่น่ารักและมีน้ำใจสมกับที่เป็นที่เอ็นดูของคนในกองถ่ายแม้จะโดนพี่ๆ แกล้งอยู่บ่อยๆ ก็เถอะ! นอกจากจะน่ารักมีสัมมาคารวะแล้วอาโปยังเป็นเด็กธรรมะธัมโมเพราะได้รับการปลูกฝังจากพ่อแม่ที่เป็นคนใฝ่ธรรมะพาลูกเข้าวัดเข้าวามาแต่เด็ก ทุกสิ้นปีอาโปมักไปวิปัสสนาที่วัดแทนที่จะไปฉลองแบบคนวัย 22 ทั่วไปเขาทำกัน และมักสอนธรรมะให้ฉันในช่วงว่างทุกครั้งที่นั่งคุยกัน ครั้งนี้ก็เช่นกัน...
“หลวงพ่อที่วัดที่ผมไปวิปัสสนาสอนผมว่า...อารมณ์ของคนก็เหมือนกับรถที่แล่นผ่านหน้าเราไป เวลาที่เราปล่อยให้อารมณ์พาไปก็เหมือนกับเราขึ้นรถแท็กซี่แต่ละคัน ทั้งรัก โลภ โกรธ หลง แต่ถ้าเราไม่ขึ้นแล้วปล่อยให้มันผ่านไปอารมณ์นั้นก็จะหายไปเอง...”
อือ...ฟังดูง่ายแต่ทำยากนะอาโป รุ่นนี้แล้วพูดยังกับคนที่บวชมาแล้วงั้นแหละ ทั้งท่าทาง สีหน้า แววตาและน้ำเสียงดูสงบนิ่งเหมือนน้ำไหลเอื่อยในลำธาร....ฉันเหลือบมองหน้าอาโปช่างเหมือน “คีนู รีฟส์” ในเรื่องพระพุทธเจ้า....คิ้ว ตา ปาก จมูกช่างสมบูรณ์แบบเหมือนใครข้างบนตั้งใจปั้นมา...หน้าตาดี จิตใจดี ความคิดดี นานๆ ทีจะได้พบได้เจอ...ตอนอยู่ในกองถ่ายชาติพยัคฆ์อาโปเป็นเด็กขี้เล่น ขี้อ้อนและชอบกอดชอบหอมเหมือนลูกน้อยของฉัน ซึ่งเข้ากับบทละครที่เราเล่นด้วยกันเป็นพี่น้องซึ่งเหมือนแม่กับลูกมากกว่า อาโปมักจะมาขอข้าวขอขนมกินมาคลอเคลียเหมือนลูกหมาน่าเอ็นดู วันไหนอาโปอารมณ์ดีก็จะเดินมากอดมาจูบมือ ฉันจึงสนิทกับอาโปในเวลาอันรวดเร็ว ข้อดีก็คือ ทำให้เล่นละครได้เข้าขาและสนิทใจมากขึ้น การที่คนคนหนึ่งจะเติบโตมาเป็นคนละเอียดอ่อนและเข้าใจคนรอบข้างนั้นมาจากจิตที่ดีในตัวของคนคนนั้น เป็นเสมือนต้นทุนแห่งความดีที่ติดตัวมาแต่เกิดทำให้สามารถต่อยอดความดีได้ง่ายและไม่สิ้นสุด กับรูปแบบการเลี้ยงดูของพ่อแม่แต่ละครอบครัว อาโปเล่าให้ฟังว่า...
“ตอนเช้าเวลาแม่ผมมาปลุก แม่จะเคาะประตูปังๆ แล้วตะโกนเรียกให้ตื่นเสียงดังๆ เหมือนคนเป็นแม่ทั่วไป แต่พ่อผมจะเดินมาหาที่เตียงก้มลงหอมหน้าผากลูกแล้วปลุกเบาๆ ว่า...อาโปตื่นได้แล้วลูก”
หายสงสัยแล้วว่าทำไมอาโปถึงเป็นคนอ่อนโยนอย่างนี้...เอิ่ม...ผู้ชายในฝันของผู้หญิงจริงๆ
พอถึงร้านที่นัดหมายอาโปก็ถือของทั้งหมดของฉันลงจากรถ ฉันเดินตัวเปล่าตัวปลิว สบายจริงๆ เวลามีอาโปอยูใกล้ๆ...ลูกชายในฝันของฉัน !
ทีมงานชาติพยัคฆ์มีทั้งนักแสดง ช่างหน้าช่างผมถึงมากันไม่ครบก็ร่วม 30-40 คนได้ ดูเถิดเทิงไม่ใช่เพราะมารวมตัวกันดื่มกิน แต่เพราะมาทำภารกิจร่วมกัน นั่นก็คือ...การดูละคร “ชาติพยัคฆ์” ออกอากาศ “ตอนแรก” ทางช่อง 3 พร้อมกันในวันที่ 15 มีนาคม ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง แถวคลองประปา โต๊ะยาวต่อกันพวกเราจับกลุ่มกันเมาท์มอย บางทีก็ข้ามโต๊ะมาเมาท์ โดยมีพี่นกหญิง (สินจัย)และพี่นกชาย(ฉัตรชัย)แห่ง “เมตตาและมหานิยม” เป็นโต้โผจัดให้มารวมตัวกัน ฉันสั่งอาหาร...พอกับข้าววางลงไม่ทันตักเข้าปาก "ท็อป” จรณ ก็ตามมาติดๆยังไม่ทันนั่งลงดีก็บ่นว่าหิวๆๆๆ เพราะเพิ่งลงเครื่องกลับจากฝรั่งเศสแล้วบึ่งมารวมตัวที่นี่
ขอบอกว่า...ท็อปเป็นพระเอกที่รั่วมากและดูไม่มั่นใจตอนที่อยู่กับพวกเราในกองถ่าย นางมักจะเป็นผู้ตาม ใครเขาพูดอะไรก็หัวเราะเป็นบ้าเหมือนคนเสียจริตไม่รักษาภาพพระเอกเลยเมิง! หืออือตามไปไม่เคยเถียง(พอๆ กับอาโปที่เป็นลูกไล่ของพี่ๆ) โดยมีอี "ก๊อต” จิรายุ เป็นตั่วเฮียหัวโจกที่ทุกคนต้องฟังทุกคำที่มันพูด ฟังดูมีแนวมีแบบแผนที่คนธรรมดาๆ คิดไม่ได้คิดไม่ทัน(หรือไม่ก็...ฟังแมร่งไม่รู้เรื่อง!) มันมักพูดให้พวกเราทึ่ง เล่าโน่นเล่านี่ที่ทำให้เกิดความแปลกใจในความคิดที่โตเกินวัยของมัน(อายุแค่ 25 ยังคิดได้ขนาดนี้...ยังไม่ทันแก่มันคงเป็นบ้าไปซะก่อน!) เก่งถึงขนาดมีคนจ้างไปพูดโน้มน้าวจูงใจนักธุรกิจรุ่นใหม่เพื่อให้เกิดความมั่นใจเวลาพูดในที่สาธารณะ เรื่องออกกำลังกายมันก็มีแนวคิดของตัวเองที่ให้ผลลัพธ์ที่ไม่เหมือนใครจนออกพ็อคเก็ตบุ๊ค “ก่อร่างสร้างกาย” เกี่ยวกับการออกกำลังกายสร้างซิกแพ็กด้วยตัวเอง พิสูจน์ด้วยตาจากกล้ามหน้าท้องเป็นลอนสวยของมัน...ร้องเพลงก็เก่งทั้งไทยและฝรั่งน่าอิจฉาเจงๆ!...คนอะไรเก่งเกิ๊น!
“ท็อป...กินเนื้อรึเปล่า?” ฉันถามก่อนไสจานกะเพราเนื้อไปใกล้ๆ นาง
“นี่ผัดเผ็ดกบ...เอามั้ย?”
คำตอบที่ได้คือ...แดรกได้ทุกอย่างค่ะคุณตำรวจ!...กินน่าอร่อยไปซะทุกอย่างนะคะคุณ ส่วนอาโปกินง่ายสุดๆ แต่ไม่กินของแปลกๆ พวกนี้ น้องโปเลยจกไข่ตุ๋นกินอย่างชิลๆ จนหมดถ้วย... “บอย” ภาสกร มานั่งร่วมวงเงียบๆ ยิ้มละไมแต่กล้ามใหญ่กว่าใคร(ใหญ่กว่าอีก๊อตอีก!)รับบทเป็น “ไอ้มิ่ง” ตัวร้ายของเรื่อง....เอิ่ม...พี่นกชายคะ...ตัวร้ายหล่อขนาดนี้ไม่บอกแต่แรกจะขอเปลี่ยนบทเป็นเอ็กซ์ตร้า(ตัวประกอบ)เล่นตอนเดียวฉากเดียวไม่เอาค่าตัว! บทที่น้องต้องการคือ...ถูกปล้นสะดมและถูก “ฟัน”! ไม่ใช้ตัวแทนสแตนด์อิน ไม่ได้กล่องไม่ได้เสนอชื่อเข้าชิงรางวัลใดๆ ก็ไม่สน! เพราะฟินตั้งแต่ตอนซ้อมแล้ว “อาหมี โชติรส” ผู้กำกับคงสั่งแก้บทกะทันหันให้ฉันโดนไอ้มิ่งฟัน...ฟันเข้าที่แสกหน้าตายคามีดดาบ!...แทนที่จะถูกฟันหรือแทงด้วยของไม่มีคม!...แม้แต่บทเล็กๆ แบบนี้ก็ทำได้แค่ฝัน...ฝันว่าไม่โดนฟัน!
ทั้งเมาท์ทั้งกินจนได้เวลาที่เพลงไตเติ้ลละคร “ชาติพยัคฆ์”(คิว วงฟลัวร์:ขับร้อง)ดังขึ้นทุกคนก็หันไปจดจ่ออยู่ที่หน้าจอทีวีกันโดยพร้อมเพรียง...ทุกคนปรบมือเสียงดังยิ่งกว่าชมภาพยนตร์รอบปฐมทัศน์ พร้อมทั้งส่งเสียงเกี๊ยวก๊าวเป่าปากเมื่อภาพและชื่อของนักแสดงแต่ละคนปรากฏขึ้นบนจอ
“ดูเด็กสร้างนี่...เส้นใหญ่”
เสียงพี่นก สินจัย พูดไปขำไปเมื่อภาพของ “กัน” ลูกชายนางขึ้นจอ...ฉันขำไปกับการอำตัวเองของพี่นก...เข้าตำรา “เล่นตัวเองก่อนที่ใครจะมาเล่นเรา!” นี่แค่เพิ่งเริ่มนะคะ ยังมีต่อสัปดาห์หน้าค่ะ
เรื่องเล่า เบื้องลึก เบื้องหลัง "ชาติพยัคฆ์" จากเจนนิเฟอร์ คิ้ม #แม่เล้าที่สวยที่สุดในพระนคร
http://www.komchadluek.net/detail/20160328/224823.html
"อาโป....มารับพี่หน่อยได้มั้ย? พี่ขี้เกียจขับรถ..."
ฉันโทรไปบอกอาโป (ณัฐวิญญ์ วัฒนกิติพัฒน์) นักแสดงชายดาวรุ่งช่อง 3 ที่คนดูคุ้นเคยจากบท “ธนา” ตอนโตในสุดแค้นแสนรัก...
“ได้ครับ พี่คิ้มจะให้ผมไปรับที่ไหนครับ?”
บอกทางเรียบร้อยพอถึงเวลานัดอาโปก็มารับฉันที่คอนโด อาโปรีบกุลีกุจอลงจากรถมารับของกินพะรุงพะรังที่ฉันหิ้วมาเอาไปเก็บท้ายรถ แล้วเปิดประตูรถให้ฉันขึ้นไปนั่ง โถ...พ่อคุณทำบุญกับคนแก่! ช่างเป็นเด็กที่น่ารักและมีน้ำใจสมกับที่เป็นที่เอ็นดูของคนในกองถ่ายแม้จะโดนพี่ๆ แกล้งอยู่บ่อยๆ ก็เถอะ! นอกจากจะน่ารักมีสัมมาคารวะแล้วอาโปยังเป็นเด็กธรรมะธัมโมเพราะได้รับการปลูกฝังจากพ่อแม่ที่เป็นคนใฝ่ธรรมะพาลูกเข้าวัดเข้าวามาแต่เด็ก ทุกสิ้นปีอาโปมักไปวิปัสสนาที่วัดแทนที่จะไปฉลองแบบคนวัย 22 ทั่วไปเขาทำกัน และมักสอนธรรมะให้ฉันในช่วงว่างทุกครั้งที่นั่งคุยกัน ครั้งนี้ก็เช่นกัน...
“หลวงพ่อที่วัดที่ผมไปวิปัสสนาสอนผมว่า...อารมณ์ของคนก็เหมือนกับรถที่แล่นผ่านหน้าเราไป เวลาที่เราปล่อยให้อารมณ์พาไปก็เหมือนกับเราขึ้นรถแท็กซี่แต่ละคัน ทั้งรัก โลภ โกรธ หลง แต่ถ้าเราไม่ขึ้นแล้วปล่อยให้มันผ่านไปอารมณ์นั้นก็จะหายไปเอง...”
อือ...ฟังดูง่ายแต่ทำยากนะอาโป รุ่นนี้แล้วพูดยังกับคนที่บวชมาแล้วงั้นแหละ ทั้งท่าทาง สีหน้า แววตาและน้ำเสียงดูสงบนิ่งเหมือนน้ำไหลเอื่อยในลำธาร....ฉันเหลือบมองหน้าอาโปช่างเหมือน “คีนู รีฟส์” ในเรื่องพระพุทธเจ้า....คิ้ว ตา ปาก จมูกช่างสมบูรณ์แบบเหมือนใครข้างบนตั้งใจปั้นมา...หน้าตาดี จิตใจดี ความคิดดี นานๆ ทีจะได้พบได้เจอ...ตอนอยู่ในกองถ่ายชาติพยัคฆ์อาโปเป็นเด็กขี้เล่น ขี้อ้อนและชอบกอดชอบหอมเหมือนลูกน้อยของฉัน ซึ่งเข้ากับบทละครที่เราเล่นด้วยกันเป็นพี่น้องซึ่งเหมือนแม่กับลูกมากกว่า อาโปมักจะมาขอข้าวขอขนมกินมาคลอเคลียเหมือนลูกหมาน่าเอ็นดู วันไหนอาโปอารมณ์ดีก็จะเดินมากอดมาจูบมือ ฉันจึงสนิทกับอาโปในเวลาอันรวดเร็ว ข้อดีก็คือ ทำให้เล่นละครได้เข้าขาและสนิทใจมากขึ้น การที่คนคนหนึ่งจะเติบโตมาเป็นคนละเอียดอ่อนและเข้าใจคนรอบข้างนั้นมาจากจิตที่ดีในตัวของคนคนนั้น เป็นเสมือนต้นทุนแห่งความดีที่ติดตัวมาแต่เกิดทำให้สามารถต่อยอดความดีได้ง่ายและไม่สิ้นสุด กับรูปแบบการเลี้ยงดูของพ่อแม่แต่ละครอบครัว อาโปเล่าให้ฟังว่า...
“ตอนเช้าเวลาแม่ผมมาปลุก แม่จะเคาะประตูปังๆ แล้วตะโกนเรียกให้ตื่นเสียงดังๆ เหมือนคนเป็นแม่ทั่วไป แต่พ่อผมจะเดินมาหาที่เตียงก้มลงหอมหน้าผากลูกแล้วปลุกเบาๆ ว่า...อาโปตื่นได้แล้วลูก”
หายสงสัยแล้วว่าทำไมอาโปถึงเป็นคนอ่อนโยนอย่างนี้...เอิ่ม...ผู้ชายในฝันของผู้หญิงจริงๆ
พอถึงร้านที่นัดหมายอาโปก็ถือของทั้งหมดของฉันลงจากรถ ฉันเดินตัวเปล่าตัวปลิว สบายจริงๆ เวลามีอาโปอยูใกล้ๆ...ลูกชายในฝันของฉัน !
ทีมงานชาติพยัคฆ์มีทั้งนักแสดง ช่างหน้าช่างผมถึงมากันไม่ครบก็ร่วม 30-40 คนได้ ดูเถิดเทิงไม่ใช่เพราะมารวมตัวกันดื่มกิน แต่เพราะมาทำภารกิจร่วมกัน นั่นก็คือ...การดูละคร “ชาติพยัคฆ์” ออกอากาศ “ตอนแรก” ทางช่อง 3 พร้อมกันในวันที่ 15 มีนาคม ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง แถวคลองประปา โต๊ะยาวต่อกันพวกเราจับกลุ่มกันเมาท์มอย บางทีก็ข้ามโต๊ะมาเมาท์ โดยมีพี่นกหญิง (สินจัย)และพี่นกชาย(ฉัตรชัย)แห่ง “เมตตาและมหานิยม” เป็นโต้โผจัดให้มารวมตัวกัน ฉันสั่งอาหาร...พอกับข้าววางลงไม่ทันตักเข้าปาก "ท็อป” จรณ ก็ตามมาติดๆยังไม่ทันนั่งลงดีก็บ่นว่าหิวๆๆๆ เพราะเพิ่งลงเครื่องกลับจากฝรั่งเศสแล้วบึ่งมารวมตัวที่นี่
ขอบอกว่า...ท็อปเป็นพระเอกที่รั่วมากและดูไม่มั่นใจตอนที่อยู่กับพวกเราในกองถ่าย นางมักจะเป็นผู้ตาม ใครเขาพูดอะไรก็หัวเราะเป็นบ้าเหมือนคนเสียจริตไม่รักษาภาพพระเอกเลยเมิง! หืออือตามไปไม่เคยเถียง(พอๆ กับอาโปที่เป็นลูกไล่ของพี่ๆ) โดยมีอี "ก๊อต” จิรายุ เป็นตั่วเฮียหัวโจกที่ทุกคนต้องฟังทุกคำที่มันพูด ฟังดูมีแนวมีแบบแผนที่คนธรรมดาๆ คิดไม่ได้คิดไม่ทัน(หรือไม่ก็...ฟังแมร่งไม่รู้เรื่อง!) มันมักพูดให้พวกเราทึ่ง เล่าโน่นเล่านี่ที่ทำให้เกิดความแปลกใจในความคิดที่โตเกินวัยของมัน(อายุแค่ 25 ยังคิดได้ขนาดนี้...ยังไม่ทันแก่มันคงเป็นบ้าไปซะก่อน!) เก่งถึงขนาดมีคนจ้างไปพูดโน้มน้าวจูงใจนักธุรกิจรุ่นใหม่เพื่อให้เกิดความมั่นใจเวลาพูดในที่สาธารณะ เรื่องออกกำลังกายมันก็มีแนวคิดของตัวเองที่ให้ผลลัพธ์ที่ไม่เหมือนใครจนออกพ็อคเก็ตบุ๊ค “ก่อร่างสร้างกาย” เกี่ยวกับการออกกำลังกายสร้างซิกแพ็กด้วยตัวเอง พิสูจน์ด้วยตาจากกล้ามหน้าท้องเป็นลอนสวยของมัน...ร้องเพลงก็เก่งทั้งไทยและฝรั่งน่าอิจฉาเจงๆ!...คนอะไรเก่งเกิ๊น!
“ท็อป...กินเนื้อรึเปล่า?” ฉันถามก่อนไสจานกะเพราเนื้อไปใกล้ๆ นาง
“นี่ผัดเผ็ดกบ...เอามั้ย?”
คำตอบที่ได้คือ...แดรกได้ทุกอย่างค่ะคุณตำรวจ!...กินน่าอร่อยไปซะทุกอย่างนะคะคุณ ส่วนอาโปกินง่ายสุดๆ แต่ไม่กินของแปลกๆ พวกนี้ น้องโปเลยจกไข่ตุ๋นกินอย่างชิลๆ จนหมดถ้วย... “บอย” ภาสกร มานั่งร่วมวงเงียบๆ ยิ้มละไมแต่กล้ามใหญ่กว่าใคร(ใหญ่กว่าอีก๊อตอีก!)รับบทเป็น “ไอ้มิ่ง” ตัวร้ายของเรื่อง....เอิ่ม...พี่นกชายคะ...ตัวร้ายหล่อขนาดนี้ไม่บอกแต่แรกจะขอเปลี่ยนบทเป็นเอ็กซ์ตร้า(ตัวประกอบ)เล่นตอนเดียวฉากเดียวไม่เอาค่าตัว! บทที่น้องต้องการคือ...ถูกปล้นสะดมและถูก “ฟัน”! ไม่ใช้ตัวแทนสแตนด์อิน ไม่ได้กล่องไม่ได้เสนอชื่อเข้าชิงรางวัลใดๆ ก็ไม่สน! เพราะฟินตั้งแต่ตอนซ้อมแล้ว “อาหมี โชติรส” ผู้กำกับคงสั่งแก้บทกะทันหันให้ฉันโดนไอ้มิ่งฟัน...ฟันเข้าที่แสกหน้าตายคามีดดาบ!...แทนที่จะถูกฟันหรือแทงด้วยของไม่มีคม!...แม้แต่บทเล็กๆ แบบนี้ก็ทำได้แค่ฝัน...ฝันว่าไม่โดนฟัน!
ทั้งเมาท์ทั้งกินจนได้เวลาที่เพลงไตเติ้ลละคร “ชาติพยัคฆ์”(คิว วงฟลัวร์:ขับร้อง)ดังขึ้นทุกคนก็หันไปจดจ่ออยู่ที่หน้าจอทีวีกันโดยพร้อมเพรียง...ทุกคนปรบมือเสียงดังยิ่งกว่าชมภาพยนตร์รอบปฐมทัศน์ พร้อมทั้งส่งเสียงเกี๊ยวก๊าวเป่าปากเมื่อภาพและชื่อของนักแสดงแต่ละคนปรากฏขึ้นบนจอ
“ดูเด็กสร้างนี่...เส้นใหญ่”
เสียงพี่นก สินจัย พูดไปขำไปเมื่อภาพของ “กัน” ลูกชายนางขึ้นจอ...ฉันขำไปกับการอำตัวเองของพี่นก...เข้าตำรา “เล่นตัวเองก่อนที่ใครจะมาเล่นเรา!” นี่แค่เพิ่งเริ่มนะคะ ยังมีต่อสัปดาห์หน้าค่ะ