การได้ดูสารคดี Steve Jobs : The Man in the Machine หลังจากได้ดูหนัง Steve Jobs ถือเป็นประสบการณ์ที่แปลกประหลาด เพราะเหมือนไปเห็นเบื้องลึกเบื้องหลังชีวิตของ Steve Jobs แบบ Intimate มาก ๆ ระดับจุลภาคจากหนัง แต่มาได้เห็นชีวิตโดยรวมแบบมหภาคอีกทีในสารคดี ทำให้เราทึ่งมากขึ้นแต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกแขยงในตัวผู้ชายคนนี้เข้าไปอีก
ไม่ต้องมีข้อสงสัยในสายตาเราว่า Jobs เป็นคนเก่งมากกกกกกกถึงขั้นอัจฉริยะ อาจจะไม่ได้เก่งในฐานะคนลงมือประดิษฐ์ ออกแบบ หรือสร้างอะไรต่อมิอะไรขึ้นมาด้วยตัวเอง แต่เก่งในฐานะ Visionary และ Entrepreneur คือเขามี Vision ในหัวชัดเจนมากว่าคนต้องการอะไรจากเทคโนโลยี มีภาพชัดเจนมากว่าสินค้าที่คนอยากซื้อต้องมีคุณสมบัติอะไร และให้ประสบการณ์ที่เป็นส่วนตัว ที่ intimate อย่างไรกับคนซื้อบ้าง แต่นอกจาก Vision แล้ว เขายังมีความมุ่งมั่นระดับบ้าคลั่งในการทำให้สิ่งที่อยู่ในหัวของเขาเป็นสินค้าที่ออกจำหน่ายจริงได้ ซึ่งมันต้องอาศัย Skill เยอะมาก ทั้ง People Skill ในการรวบรวมคนเก่งมาอยู่ในทีมเดียวกัน และจูงใจให้คนเหล่านั้นทุ่มเทสุดตัว สุดชีวิตจิตใจ เพื่อทำสิ่งที่ Jobs เห็นในหัวให้ออกมาเป็นความจริงได้
แน่นอนว่าการจูงใจคนให้ทำอะไรเกิดขีดจำกัดของพวกเขา มันต้องเป็นทั้ง Motivator และ Manipulator ใช้พระเดชพระคุณ ต้องมีเสน่ห์ สาลิกาลิ้นทอง พูดอะไรคนก็เชื่อ ชี้นกเป็นไม้ชี้ไม้เป็นนกได้ (ซึ่งคนรอบตัว Jobs เรียกว่า Reality Distortion) อีกทั้งยังต่อมีความเด็ดขาด ไม่เห็นหน้าอินทร์หน้าพรหม ไม่สนอะไรนอกจากความต้องการของตัวเอง
จากคลิปวิดีโอที่ผู้สร้างรวบรวมมาตั้งแต่สมัย Jobs ยังหนุ่ม เรายังคิดอีกว่า Jobs เป็นคนที่ Articulate (พูดจาดูดีน่าฟัง) มาก ฟังแล้วเคลิ้ม ฟังแล้วเห็นภาพ เป็นนักสร้างภาพตัวฉกาจ ทั้งสร้างภาพพจน์ให้ตัวเองดูขลัง ให้บริษัทตัวเองดูแปลกแหวกแนว ดูชายขอบแต่ก็เมนสตรีม ดูเข้าถึงได้แต่ก็ล้ำ ซึ่งมันเป็นภาพมนตร์ที่ขลังมากจนหากินต่อยอดยาวได้จนถึงทุกวันนี้ แม้เจ้าตัวละตายไปหลายปีแล้ว
ไม่ง่ายเลยที่คน ๆ หนึ่งจะมีคุณสมบัติเหล่านี้ทั้งหมดอยู่ในตัวคนเดียว ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้ก็ทำให้ Jobs เป็นบุคคลที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่งในโลกยุคนี้ แต่คุณสมบัติเหล่านี้ก็ทำให้ Jobs ห่างไกลจากนิยามความเป็น "คนดี" ชนิดไกลลิบโลกเช่นกัน
Jobs ไม่เคยกลัวหรือลังเลที่จะหักหลังคนอื่น พร้อมจะทิ้งเพื่อนที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง เพื่อผลักดันตัวเองต่อไปข้างหน้า เพื่อให้ความฝันยิ่งใหญ่ในหัวเป็นความจริง Jobs ทรีทคนรอบตัวแย่มากมาตั้งแต่ยังหนุ่ม ปฏิกริยาแรกของเขาตอนรู้ว่าแฟนสาวท้องคือโกรธจนเลือดขึ้นหน้า พูดว่า "ไม่ใช่ลูกกู ยังไงก็ไม่ใช่ลูกกู" แล้ววิ่งหนีออกจากบ้าน ดูในหนังว่าเป็นผู้ชายและพ่อที่แย่แล้ว ได้มาเห็นบันทึกศาลของจริงที่ Jobs ใส่ร้ายเมียเก่าว่าร่านผู้ชาย มีเซ็กซ์ไปทั่ว ไม่ยอมรับผิดชอบลูกทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าเป็นลูกตัวเอง ต่อสู้กับเมียในศาลชนิดหัวชนฝาแม้เมียและลูกตัวเองอาศัยเงินสวัสดิการสังคมประทังชีวิต จนโดนหลักฐาน DNA มาฟาดหน้าถึงยอมให้เงินเลี้ยงดูเดือนละ 500 ทั้ง ๆ ที่ตัวเองรวยล้นฟ้าแล้ว รู้สึกว่าผู้ชายคนนี้น่าโดนประนามกว่า ฟิลม์ รัฐภูมิ หรือ กอล์ฟ พิรัชต์ หลายร้อยเท่า ในหนังว่าแย่แล้ว ตัวจริงแย่กว่านั้นอีก
เรื่องลูกยังไม่เท่าไหร่ แต่ความเป็นเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดนี่ก็โหดชนิด Mark Zuckerberg ยังหนาว เจ้าคิดเจ้าแค้น ไม่ให้อภัยคน เรื่องทัศนคติในการใช้ชีวิตก็แย่พอกัน Jobs เป็นคนที่ทำตัวเหนือกฎหมาย จงใจขับรถไม่มีทะเบียน จอดรถในที่คนพิการตลอด เขาไม่เชื่อในเรื่องการทำบุญหรือแบ่งปัน แม้ Apple จะเอาคานธีหรือแม่ชีเธเรซ่ามาใช้ในสื่อโฆษณา แต่กลับเป็นบริษัทที่ไม่บริจาคเงินให้องค์กรกุศลใด ๆ นับตั้งแต่ Jobs ขึ้นมาเป็นผู้บริหารอีกครั้ง แถมยังหลบภาษีอุตลุดเป็นแสนล้านดอลล่าร์ ซึ่งหลบแบบเป็นขบวนการมาตั้งแต่สมัยก่อตั้งบริษัทแล้ว ให้สิทธิ์ผู้บริหารซื้อหุ้นย้อนหลังแบบผิดกฎหมาย แถมพอโดนจับได้ก็ป้ายขี้ให้ CFO รับโทษไปคนเดียวทั้ง ๆ ที่ตัวเองเป็นคนสั่งการ ทรีทพนักงานแย่ ใช้เงินหลอกล่อดึงตัวผู้บริหารไว้ แถมยังเป็นโต้โผในการฮั้วกันในหมู่บริษัทไอทียักษ์ใหญ่ว่าห้ามรับพนักงานที่ออกจากบริษัทในหมู่กันเอง ได้กำไรจากไอโฟนเครื่องนึงเกือบหมื่น แต่กดเงินคนงานในจีนขั้นต่ำสุด เร่งผลิตจนพนักงานในโรงงานจ้างผลิตต้องทำงานในสภาวะย่ำแย่ มีคนหนึ่งถูกกดดันเรื่องไอโฟนต้นแบบหาย จนฆ่าตัวตาย และก็ไม่ใช่คนเดียว ปีหนึ่งฆ่าตัวตายเป็นสิบ ๆ คน แม้ภาพลักษณ์ Apple จะดูดี แต่ในความเป็นจริงเป็นบริษัทที่ไร้ซึ่งธรรมาภิบาลโดยสิ้นเชิง ไม่ต่างจากผู้ก่อตั้งเลย
นอกจากนี้ระยะหลัง Jobs ยังทำตัวเป็นมาเฟีย ใช้อำนาจบาตรใหญ่ควบคุมสื่อ ใช้อิทธิพลสั่งตำรวจให้ไปค้นบ้านนักข่าวที่ทำอะไรไม่ถูกใจตัวเอง แม้ป่วยจนใกล้เสียชีวิตแล้วก็ยังกัดไม่ปล่อยจนหยดสุดท้าย ดูเป็นคนปล่อยวางไม่ได้ แม้ปากจะบอกว่าปลง นับถือศาสนาพุทธก่อตาม อย่างที่เคยไปพูดวันจบมหาลัยว่าตัวเองเอาชนะมะเร็งได้เพราะยอมผ่าตัดก็ยังโกหกทั้งเพ!!!
ดูสารคดีนี้แล้ว เห็นเลยว่าแม้ Jobs จะอัจฉริยะจริง แต่เป็นคนที่เราไม่อยากเข้าใกล้ เหมือนผู้บริหารบริษัทใหญ่ ๆ หลายคนที่เคยสัมผัสมาเป็นส่วนตัว คนที่จะประสบความสำเร็จระดับสุด ๆ ได้ มักจะเป็นคนที่มีความทะเยอทะยานแรงกล้า ไม่สนคนรอบข้าง กล้าพูดกล้าทำ เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง ไม่ค่อยคิดถึงจิตใจใคร เชื่อว่าคนเหลานี้ประสบความสำเร็จได้ ก็เพราะเป็นคนแบบนี้แหละ เป็นล่ามชั่วครั้งชั่วคราวให้ได้ แต่ให้ไปทำงานอยู่ภายใต้บังคับบัญชา ถ้าเลือกได้คงไม่
ที่น่าสนใจคือ Jobs ชอบญี่ปุ่นมากถึงระดับคลั่งไคล้ ชอบไปปลีกวิเวกนั่งมองสวนมองวัดที่เกียวโต ตั้งแต่สมัยหนุ่ม ๆ อบากบวชเป็นพระในนิกาย Zen ด้วย ชอบมากขนาดสมัยหนุ่ม ๆ เคยไปเคาะประตูหน้าบ้านพระชื่อดังของญี่ปุ่นรูปหนึ่งเพื่อบอกว่า "ผมว่าผมตรัสรู้แล้ว" ก่อนที่จะเอาหลักฐานเป็น เมนบอร์ดแม็ครุ่นแรก ๆ มาให้พระองค์นี้ดู 1 อาทิตย์ให้หลัง
ชอบที่ผู้สร้างสารคดีเรื่องนี้สรุปตอนจบมาก
"Steve Jobs เป็นคนที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง
เขาเป็นศิลปินผู้แสวงหาความสมบูรณ์แบบ แต่กลับไม่ได้มาซึ่งความสงบสุข
เขามีสมาธิแรงกล้าเหมือนนักบวช แต่กลับไร้ซึ่งความเมตตา
เขาให้อิสระแก่ผู้คน แต่ก็เป็นอิสระในสวน ที่เขาถือกุญแจล็อคไว้"
บ่งบอกตัวตนของ Steve Jobs ได้ครบถ้วนสมบูรณ์จริง ๆ
[CR] ถ้าดู Steve Jobs แล้วอยากรู้ลึกยิ่งขึ้น พลาดไม่ได้!!! สารคดีเจาะลึก Steve Jobs : The Man in the Machine
การได้ดูสารคดี Steve Jobs : The Man in the Machine หลังจากได้ดูหนัง Steve Jobs ถือเป็นประสบการณ์ที่แปลกประหลาด เพราะเหมือนไปเห็นเบื้องลึกเบื้องหลังชีวิตของ Steve Jobs แบบ Intimate มาก ๆ ระดับจุลภาคจากหนัง แต่มาได้เห็นชีวิตโดยรวมแบบมหภาคอีกทีในสารคดี ทำให้เราทึ่งมากขึ้นแต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกแขยงในตัวผู้ชายคนนี้เข้าไปอีก
ไม่ต้องมีข้อสงสัยในสายตาเราว่า Jobs เป็นคนเก่งมากกกกกกกถึงขั้นอัจฉริยะ อาจจะไม่ได้เก่งในฐานะคนลงมือประดิษฐ์ ออกแบบ หรือสร้างอะไรต่อมิอะไรขึ้นมาด้วยตัวเอง แต่เก่งในฐานะ Visionary และ Entrepreneur คือเขามี Vision ในหัวชัดเจนมากว่าคนต้องการอะไรจากเทคโนโลยี มีภาพชัดเจนมากว่าสินค้าที่คนอยากซื้อต้องมีคุณสมบัติอะไร และให้ประสบการณ์ที่เป็นส่วนตัว ที่ intimate อย่างไรกับคนซื้อบ้าง แต่นอกจาก Vision แล้ว เขายังมีความมุ่งมั่นระดับบ้าคลั่งในการทำให้สิ่งที่อยู่ในหัวของเขาเป็นสินค้าที่ออกจำหน่ายจริงได้ ซึ่งมันต้องอาศัย Skill เยอะมาก ทั้ง People Skill ในการรวบรวมคนเก่งมาอยู่ในทีมเดียวกัน และจูงใจให้คนเหล่านั้นทุ่มเทสุดตัว สุดชีวิตจิตใจ เพื่อทำสิ่งที่ Jobs เห็นในหัวให้ออกมาเป็นความจริงได้
แน่นอนว่าการจูงใจคนให้ทำอะไรเกิดขีดจำกัดของพวกเขา มันต้องเป็นทั้ง Motivator และ Manipulator ใช้พระเดชพระคุณ ต้องมีเสน่ห์ สาลิกาลิ้นทอง พูดอะไรคนก็เชื่อ ชี้นกเป็นไม้ชี้ไม้เป็นนกได้ (ซึ่งคนรอบตัว Jobs เรียกว่า Reality Distortion) อีกทั้งยังต่อมีความเด็ดขาด ไม่เห็นหน้าอินทร์หน้าพรหม ไม่สนอะไรนอกจากความต้องการของตัวเอง
จากคลิปวิดีโอที่ผู้สร้างรวบรวมมาตั้งแต่สมัย Jobs ยังหนุ่ม เรายังคิดอีกว่า Jobs เป็นคนที่ Articulate (พูดจาดูดีน่าฟัง) มาก ฟังแล้วเคลิ้ม ฟังแล้วเห็นภาพ เป็นนักสร้างภาพตัวฉกาจ ทั้งสร้างภาพพจน์ให้ตัวเองดูขลัง ให้บริษัทตัวเองดูแปลกแหวกแนว ดูชายขอบแต่ก็เมนสตรีม ดูเข้าถึงได้แต่ก็ล้ำ ซึ่งมันเป็นภาพมนตร์ที่ขลังมากจนหากินต่อยอดยาวได้จนถึงทุกวันนี้ แม้เจ้าตัวละตายไปหลายปีแล้ว
ไม่ง่ายเลยที่คน ๆ หนึ่งจะมีคุณสมบัติเหล่านี้ทั้งหมดอยู่ในตัวคนเดียว ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้ก็ทำให้ Jobs เป็นบุคคลที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่งในโลกยุคนี้ แต่คุณสมบัติเหล่านี้ก็ทำให้ Jobs ห่างไกลจากนิยามความเป็น "คนดี" ชนิดไกลลิบโลกเช่นกัน
Jobs ไม่เคยกลัวหรือลังเลที่จะหักหลังคนอื่น พร้อมจะทิ้งเพื่อนที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง เพื่อผลักดันตัวเองต่อไปข้างหน้า เพื่อให้ความฝันยิ่งใหญ่ในหัวเป็นความจริง Jobs ทรีทคนรอบตัวแย่มากมาตั้งแต่ยังหนุ่ม ปฏิกริยาแรกของเขาตอนรู้ว่าแฟนสาวท้องคือโกรธจนเลือดขึ้นหน้า พูดว่า "ไม่ใช่ลูกกู ยังไงก็ไม่ใช่ลูกกู" แล้ววิ่งหนีออกจากบ้าน ดูในหนังว่าเป็นผู้ชายและพ่อที่แย่แล้ว ได้มาเห็นบันทึกศาลของจริงที่ Jobs ใส่ร้ายเมียเก่าว่าร่านผู้ชาย มีเซ็กซ์ไปทั่ว ไม่ยอมรับผิดชอบลูกทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าเป็นลูกตัวเอง ต่อสู้กับเมียในศาลชนิดหัวชนฝาแม้เมียและลูกตัวเองอาศัยเงินสวัสดิการสังคมประทังชีวิต จนโดนหลักฐาน DNA มาฟาดหน้าถึงยอมให้เงินเลี้ยงดูเดือนละ 500 ทั้ง ๆ ที่ตัวเองรวยล้นฟ้าแล้ว รู้สึกว่าผู้ชายคนนี้น่าโดนประนามกว่า ฟิลม์ รัฐภูมิ หรือ กอล์ฟ พิรัชต์ หลายร้อยเท่า ในหนังว่าแย่แล้ว ตัวจริงแย่กว่านั้นอีก
เรื่องลูกยังไม่เท่าไหร่ แต่ความเป็นเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดนี่ก็โหดชนิด Mark Zuckerberg ยังหนาว เจ้าคิดเจ้าแค้น ไม่ให้อภัยคน เรื่องทัศนคติในการใช้ชีวิตก็แย่พอกัน Jobs เป็นคนที่ทำตัวเหนือกฎหมาย จงใจขับรถไม่มีทะเบียน จอดรถในที่คนพิการตลอด เขาไม่เชื่อในเรื่องการทำบุญหรือแบ่งปัน แม้ Apple จะเอาคานธีหรือแม่ชีเธเรซ่ามาใช้ในสื่อโฆษณา แต่กลับเป็นบริษัทที่ไม่บริจาคเงินให้องค์กรกุศลใด ๆ นับตั้งแต่ Jobs ขึ้นมาเป็นผู้บริหารอีกครั้ง แถมยังหลบภาษีอุตลุดเป็นแสนล้านดอลล่าร์ ซึ่งหลบแบบเป็นขบวนการมาตั้งแต่สมัยก่อตั้งบริษัทแล้ว ให้สิทธิ์ผู้บริหารซื้อหุ้นย้อนหลังแบบผิดกฎหมาย แถมพอโดนจับได้ก็ป้ายขี้ให้ CFO รับโทษไปคนเดียวทั้ง ๆ ที่ตัวเองเป็นคนสั่งการ ทรีทพนักงานแย่ ใช้เงินหลอกล่อดึงตัวผู้บริหารไว้ แถมยังเป็นโต้โผในการฮั้วกันในหมู่บริษัทไอทียักษ์ใหญ่ว่าห้ามรับพนักงานที่ออกจากบริษัทในหมู่กันเอง ได้กำไรจากไอโฟนเครื่องนึงเกือบหมื่น แต่กดเงินคนงานในจีนขั้นต่ำสุด เร่งผลิตจนพนักงานในโรงงานจ้างผลิตต้องทำงานในสภาวะย่ำแย่ มีคนหนึ่งถูกกดดันเรื่องไอโฟนต้นแบบหาย จนฆ่าตัวตาย และก็ไม่ใช่คนเดียว ปีหนึ่งฆ่าตัวตายเป็นสิบ ๆ คน แม้ภาพลักษณ์ Apple จะดูดี แต่ในความเป็นจริงเป็นบริษัทที่ไร้ซึ่งธรรมาภิบาลโดยสิ้นเชิง ไม่ต่างจากผู้ก่อตั้งเลย
นอกจากนี้ระยะหลัง Jobs ยังทำตัวเป็นมาเฟีย ใช้อำนาจบาตรใหญ่ควบคุมสื่อ ใช้อิทธิพลสั่งตำรวจให้ไปค้นบ้านนักข่าวที่ทำอะไรไม่ถูกใจตัวเอง แม้ป่วยจนใกล้เสียชีวิตแล้วก็ยังกัดไม่ปล่อยจนหยดสุดท้าย ดูเป็นคนปล่อยวางไม่ได้ แม้ปากจะบอกว่าปลง นับถือศาสนาพุทธก่อตาม อย่างที่เคยไปพูดวันจบมหาลัยว่าตัวเองเอาชนะมะเร็งได้เพราะยอมผ่าตัดก็ยังโกหกทั้งเพ!!!
ดูสารคดีนี้แล้ว เห็นเลยว่าแม้ Jobs จะอัจฉริยะจริง แต่เป็นคนที่เราไม่อยากเข้าใกล้ เหมือนผู้บริหารบริษัทใหญ่ ๆ หลายคนที่เคยสัมผัสมาเป็นส่วนตัว คนที่จะประสบความสำเร็จระดับสุด ๆ ได้ มักจะเป็นคนที่มีความทะเยอทะยานแรงกล้า ไม่สนคนรอบข้าง กล้าพูดกล้าทำ เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง ไม่ค่อยคิดถึงจิตใจใคร เชื่อว่าคนเหลานี้ประสบความสำเร็จได้ ก็เพราะเป็นคนแบบนี้แหละ เป็นล่ามชั่วครั้งชั่วคราวให้ได้ แต่ให้ไปทำงานอยู่ภายใต้บังคับบัญชา ถ้าเลือกได้คงไม่
ที่น่าสนใจคือ Jobs ชอบญี่ปุ่นมากถึงระดับคลั่งไคล้ ชอบไปปลีกวิเวกนั่งมองสวนมองวัดที่เกียวโต ตั้งแต่สมัยหนุ่ม ๆ อบากบวชเป็นพระในนิกาย Zen ด้วย ชอบมากขนาดสมัยหนุ่ม ๆ เคยไปเคาะประตูหน้าบ้านพระชื่อดังของญี่ปุ่นรูปหนึ่งเพื่อบอกว่า "ผมว่าผมตรัสรู้แล้ว" ก่อนที่จะเอาหลักฐานเป็น เมนบอร์ดแม็ครุ่นแรก ๆ มาให้พระองค์นี้ดู 1 อาทิตย์ให้หลัง
ชอบที่ผู้สร้างสารคดีเรื่องนี้สรุปตอนจบมาก
"Steve Jobs เป็นคนที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง
เขาเป็นศิลปินผู้แสวงหาความสมบูรณ์แบบ แต่กลับไม่ได้มาซึ่งความสงบสุข
เขามีสมาธิแรงกล้าเหมือนนักบวช แต่กลับไร้ซึ่งความเมตตา
เขาให้อิสระแก่ผู้คน แต่ก็เป็นอิสระในสวน ที่เขาถือกุญแจล็อคไว้"
บ่งบอกตัวตนของ Steve Jobs ได้ครบถ้วนสมบูรณ์จริง ๆ