ผ่านมาเกินครึ่งทางแล้วสำหรับ ซีรีส์เรื่อง Descendants Of The Sun หากใครได้มีโอกาสชม คงต้องหลงเสน่ห์บทโทรทัศน์ของเรื่องนี้เป็นแน่ นอกจากเนื้อเรื่องจะมีทั้งหวาน ฮา ตลก แต่ก็ยังแฝงไปด้วยดราม่าเข้มข้นบีบหัวใจไม่แพ้กัน ส่วนตัวของดิฉันแล้วชื่นชอบบทโทรทัศน์ของเรื่องนี้เนื่องจากแฝงไปด้วยความหมายมากมาย และในบางตอนยังสามารถสื่อไปถึงผู้ชมให้ตีความของความหมายไปได้หลายแง่มุม บทที่ดียังจะทำให้ผู้ชมเข้าถึงอรรถรสของการชมได้มากขึ้นด้วย ดิฉันจึงขอยกบทสนทนาของตัวละครที่มีความหมายดีๆมาพูดคุยกันค่ะ ตอนแรกตั้งใจว่าจะแคปออกมาเป็นรูปแต่เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นบทสนทนาที่ยาว จึงขอถอดบทสนทนาออกมาแทนค่ะ (เครดิตบทสนทนาจาก KODHIT ค่ะ)
หมอคัง : คุณอยู่กองทัพพิเศษหรอค่ะ
กัปตันยู : ทำนองนั้นครับ
หมอคัง : ใช้แรงงานด้วยหรอ ตอนที่อยู่ที่ค่ายน่ะ แล้วรอยกระสุนก็คือถูกยิงมา แล้วคุณก็เป็นฝ่ายยิงด้วยใช่มั้ยค่ะ แล้วสู้กับแค่คนเลวรึเปล่า
ฉันใช้เวลาครึ่งวันในห้องผ่าตัดเพื่อสู้ให้คนรอด นั่นงานของฉันค่ะ ฉันสู้เพื่อชีวิต แต่คุณสู้เพื่อปกป้องคนอื่นด้วยความตาย
กัปตันยู : ผมเป็นทหาร ทหารตัองทำตามคำสั่ง บางครั้งสิ่งที่เชื่อว่าดีและถูกต้องก็อาจจะไม่ใช่สำหรับคนอื่น แต่ผมก็ต้องทำตามคำสั่ง
เพื่อให้ภารกิจลุล่วง จนถึงตอนนี้ผมเสียเพื่อนไป 3 คนแล้วจากภารกิจต่างๆ และที่ต้องทำแบบนี้ก็เพราะว่าเราต้องทำให้สำเร็จ
ครอบครัวผมและตัวผม ครอบครัวหมอคังและตัวหมอคัง ทุกคนต่างก็มีคนที่รัก ผมเชื่อว่าผมสู้เพื่อสันติสุขและอิสรภาพ
ของแผ่นดินที่เราอยู่
หมอคัง : ฉันเป็นหมอค่ะ ฉันเชื่อว่าชีวิตเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และไม่มีคุณค่าหรือความคิดใดอยู่เหนือมันได้
กัปตันยู : ผมเข้าใจ
หมอคัง : ฉันขอโทษนะคะ แต่มันไม่เป็นอย่างที่ฉันคิดเลย
กัปตันยู : ผมเข้าใจ
หมอคัง : ฉันขอตัวนะคะ
กัปตันยู : ยินดีที่ได้รู้จักครับ ลาก่อน
บทสนทนานี้ปรากฏอยู่ใน EP2 ซึ่งถือว่าเป็นช่วงตอนต้นๆเรื่องเลยก็ว่าได้ ฉากนี้มีความชัดเจนมากในเรื่องตัวตน ความคิด ทัศนคติ และจุดยืนของตัวละครทั้งสอง ความสัมพันธ์ของทั้งสองต้องจบลงไม่ใช่เพราะทั้งสองไม่ได้มีความรู้สึกดีๆให้แก่กัน เห็นได้จากที่หมอคังพูดว่า ฉันเหนื่อยมากวันนี้แต่ยังคิดถึงคุณอยู่ “ผู้ชายที่ชอบไปไหนนะ” “เขาทำอะไร” แต่พอได้เจอคุณกลับบอกอะไรฉันไม่ได้เลย กัปตันยูไม่สามารถบอกเรื่องงานที่ตัวเองทำได้เนื่องจากเป็นกฎ มีการพูดคุยไปถึงตัวงานที่แต่ละคนทำ ซึ่งแต่ละคำที่หมอคังพูดออกมานั้นทำให้เห็นว่างานที่ทั้งสองทำสวนทางกันอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะประโยคนี้ “ฉันใช้เวลาครึ่งวันในห้องผ่าตัดเพื่อสู้ให้คนรอด นั่นงานของฉันค่ะ ฉันสู้เพื่อชีวิต แต่คุณสู้เพื่อปกป้องคนอื่นด้วยความตาย” ซึ่งสื่อออกมาได้ชัดเจนมากในเรื่องของความขัดแย้งของชีวิตทั้งสองอาชีพ
ฉากนี้นอกจากบทสนทนาแล้วการเลือกเสื้อผ้าของตัวละครทั้งสองก็มีความลงตัว ในความรู้สึกของดิฉันคิดว่าการเลือกใช้เสื้อผ้าสีขาวพื้นของตัวละครทั้งสองช่วยขับให้บทสนทนาดูเด่น และเห็นถึงความรู้สึกของตัวละครระหว่างการสนทนาได้ดีขึ้น จะเรียกได้ว่าเป็นฉากที่เรียบง่ายแต่สามารถส่งความรู้สึกไปถึงผู้ชมได้ดีทีเดียว
หมอคัง : แล้วเรือมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงค่ะ
กัปตันยู : มาเพราะความหลงเสน่ห์ ถ้าหลงที่สวยๆ ก็จะเป็นแบบนี้แหละ
หมอคัง : แล้วคุณเคยหลงใครมั้ย
กัปตันยู : เคยสิ คุณก็น่าจะรู้
บทสนทนานี้เกิดขึ้นพร้อมกับมีฉากหลังเป็นซากเรือที่อับปาง ดิฉันรู้สึกว่ายิ่งทำให้เห็นภาพความรู้สึกของกัปตันยูได้ชัดเจนมากขึ้น
ความรู้สึกของกัปตันยูที่บอกว่าเคยหลงก็คงเหมือนกับเรือลำนี้ที่อับปางอยู่ไม่สามารถออกไปจากชายหาดได้
พลโท : คนไข้ VIP ละ ยังไม่ฟื้นหรอ
หมอคัง : กำลังรออยู่ค่ะ
พลโท : ใครๆก็รอได้ ถ้ารอแล้วยังไม่ฟื้นละ
หมอคัง : การวินิจฉัยและการรักษาขึ้นอยู่กับดุลพินิจของแพทย์
พลโท : มั่นใจดีนะ เปิดคลีนิคเองได้ไม่ต้องง้อโรงพยาบาลแล้วสิ สมกับเป็นหมอจริงๆ คุณทำลายชีวิตยูชีจินไปแล้ว ต้องทนไปอีก
เป็น 10 ปี อนาคตในกองทัพของเขาดับวูบไปแล้ว ถ้าคนไข้ VIP ไม่ฟื้น เท่ากับชีวิตของเขาจบสิ้นแค่นี้ เพราะดุลพินิจของหมอ
ที่คุณว่าน่ะ ...ทำให้เขาฟื้นให้ได้ อาชีพของเราจะได้ไร้ปัญหากันทั้ง 2 ฝ่าย ผมขอ
ฉากนี้สะดุดประโยคสุดท้ายของพลโท ที่กล่าวว่า “ทำให้เขาฟื้นให้ได้ อาชีพของเราจะได้ไร้ปัญหากันทั้ง 2 ฝ่าย ผมขอ” ในสถานการณ์นี้แสดงให้เห็นว่าการทำงานของทั้งสองอาชีพมีจุดขัดแย้งกันอยู่ ซึ่งหลายฝ่ายจะได้รับผลกระทบขึ้นมาถ้าหากคนไข้ VIP ไม่ฟื้น ไม่ว่าจะเป็นในทางส่วนรวมคือการเมืองระหว่างประเทศ และในทางส่วนตัวคือผลกระทบต่ออาชีพของกัปตันยู ดิฉันรู้สึกว่าจุดนี้ทำให้หมอคังเริ่มเข้าใจในวิถีอาชีพของกัปตันยูมากขึ้น
จ่าซอ : ขอโทษที่ต้องกลับไปก่อนนะครับ ผมขอรายงานเรื่องย้ายก่อน
กัปตันยู : ผมโดนปลดแล้วไม่ใช่หัวหน้าคุณแล้วล่ะ มารายงานผมทำไม
จ่าซอ : คำสั่งที่หัวหน้าสั่งผมโดยตรงวันนี้เป็นสิ่งที่ถูกต้องทั้งหมด คำสั่งที่หัวหน้าผมสั่งวันนี้เป็นสิ่งที่สมเกียรติแล้ว
ไว้เจอกันที่บ้านนะครับ ผู้สั่งการ
คำพูดสั้นๆสไตล์จ่าซอแต่เต็มไปด้วยความหมายและการให้กำลังใจ ไม่ต้องเวิ้นเว้อพูดอะไรให้มากมาย ตัวละครสองตัวนี้แค่มองตาก็รู้ใจกันแล้ว ต่างคนต่างเข้าใจในสถานการณ์ของกันละกัน
หมอคัง : นี่จะทำอะไรของคุณ
กัปตันยู : ทำอะไรไม่เข้าท่า
หมอคัง : ไม่เข้าท่าหรอ ฉันทำลายชีวิตคนๆนึง
กัปตันยู : มันไม่ใช่เพราะคุณ คิดว่าผมทำเพื่อช่วยผู้หญิงหรอ จำรอยกระสุนที่ตัวผมตอนเราเจอกันครั้งแรกได้มั้ย วันแรกที่ผมได้เป็น
สิบเอกกองทัพพิเศษ รุ่นพี่บอกผมว่าทหารมีผ้าห่อศพติดตัวตลอดเวลา ตายที่สนามรบเพื่อประเทศ ที่ตายก็คือหลุมศพ
ชุดฟอร์มคือผ้าห่อศพ นี่คือความมุ่งมั่นในขณะสวมชุด ต้องสวมชุดด้วยใจ ต้องรู้สึกเป็นเกียรติทุกวินาที ไม่มีเหตุผลไหน
ที่จะค้านได้ ผมเป็นหนี้ชีวิตรุ่นพี่คนนั้น และนั่นเป็นตอนที่ผมโดนยิง การตัดสินใจของผมไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ มันหมายถึง
เกียรติยศ ศักดิ์ศรีและหน้าที่ มันอยู่ในทุกสถานการณ์ ผมตัดสินใจหลังพิจารณาดีแล้ว ผมไม่เคยเสียใจกับการตัดสินใจ
แต่ไม่ได้หมายความว่าการที่ผมทำผิดกฎทหารจะเป็นข้อยกเว้นไปได้ ทหารก็ต้องจัดการปัญหาทหารกันเอง
หมอคังอย่ามายุ่งจะดีกว่า
หมอคัง : ฉันคงเป็นห่วงคุณมากเกินไป ขอโทษค่ะ
บทสนทนานี้รู้สึกได้เลยว่ากัปตันศรัทธาต่ออาชีพของตนเองมาก เป็นการตอกย้ำทำให้ผู้ชมเห็นคาแรคเตอร์ของกัปตันยูได้ชัดเจนยิ่งขึ้น และยิ่งประโยคที่กัปตันยูกล่าวว่า “ผมตัดสินใจหลังพิจารณาดีแล้ว ผมไม่เคยเสียใจกับการตัดสินใจ” ประโยคในลักษณะนี้ปรากฎออกมาหลายครั้งไม่ว่าจะเป็นตอนที่พลโทเข้ามาต่อว่ากัปตันยูตอนที่ถูกกับบริเวณ กัปตันยูกล่าวว่า “ผมไม่คิดเสียใจครับ ผมเป็นคนตัดสินใจทำแบบนี้เอง ผมขอรับผิดชอบคนเดียวครับ” และอีกตอนที่ปรากฏก็คือฉากที่หมอคังและกัปตันยูคุยกันในรถ และมีการพูดถึงเรื่องจูบที่เกิดขึ้น จนกัปตันพูดว่า “เลี่ยงก็ได้ โกรธก็ได้ไม่ว่ากัน แต่อย่าคิดว่าถูกทำร้ายก็แล้วกัน ผมคิดมาพันตลบแล้วถึงทำลงไป”
หมอคัง : ฉันเลี้ยงแล้ว ขอถามเรื่องส่วนตัวหน่อยได้มั้ย ฉันอยากรู้ว่าทำไมคุณถึงมาเป็นทหาร ไม่เอาแค่เรื่องชุดเครื่องแบบนะ
กัปตันยู : เพราะทหารต้องการคน คุณอาจไม่ชอบอาชีพผม คุณถึงยังไม่มั่นใจ
หมอคัง : ฉันอยากรู้ว่าต้องชาตินิยมแค่ไหน ถึงยอมสละชีวิตตัวเองได้
กัปตันยู : ชาตินิยมคืออะไรครับ
หมอคัง : รักประเทศ จงรักภักดีต่อประเทศและประชาชน
กัปตันยู : แล้วทำไมต้องมีแต่ทหารที่ทำแบบนั้น ผมไม่รู้ว่าชาตินิยมของคุณคืออะไร แต่การปกป้องเด็ก คนชรา และคนสวย
หรือความกล้าที่จะเตือนเด็กนักเรียนสูบบุหรี่ทั้งที่ใจก็กลัว ต่อให้มีปืนมาจ่อ แต่สิ่งที่ผิดก็คือผิด นั่นคือเกียรติของทหาร
ผมคิดว่าชาตินิยมคือแบบนั้น งั้นผมขอถามบ้าง ถ้าผมไม่ใช่ทหาร แต่เป็นทายาทบริษัทใหญ่โต มันจะง่ายขึ้นมั้ยครับ
หมอคัง : ไม่นะ มันธรรมดาไป
กัปตันยู : เหรอ ผมก็ถามถึงเรื่องความธรรมดา ลืมเรื่องความหล่อไปก่อน
ฉากนี้เป็นฉากที่หมอคังถามกัปตันยูว่าทำไมมาเป็นทหาร เป็นบทสนทนาสบายๆในร้านอาหาร แต่ดิฉันรู้สึกว่าบทสนทนานี้เป็นการชิงไหวพริบกันระหว่างหมอคังกับกัปตันยู นอกจากบทสนทนาจะมีความจริงจัง แฝงไปด้วยข้อคิดต่างๆ คนเขียนบทยังใส่ลูกเล่น ใส่มุกเข้ามาในบทสนทนาของกัปตันยูในตอนท้าย ดิฉันรู้สึกว่าช่วยทำให้บรรยากาศผ่อนคลายลงได้เยอะเลยทีเดียว
บทโทรทัศน์อีกหนึ่งเสน่ห์สำคัญของ Descendants Of The Sun
หมอคัง : คุณอยู่กองทัพพิเศษหรอค่ะ
กัปตันยู : ทำนองนั้นครับ
หมอคัง : ใช้แรงงานด้วยหรอ ตอนที่อยู่ที่ค่ายน่ะ แล้วรอยกระสุนก็คือถูกยิงมา แล้วคุณก็เป็นฝ่ายยิงด้วยใช่มั้ยค่ะ แล้วสู้กับแค่คนเลวรึเปล่า
ฉันใช้เวลาครึ่งวันในห้องผ่าตัดเพื่อสู้ให้คนรอด นั่นงานของฉันค่ะ ฉันสู้เพื่อชีวิต แต่คุณสู้เพื่อปกป้องคนอื่นด้วยความตาย
กัปตันยู : ผมเป็นทหาร ทหารตัองทำตามคำสั่ง บางครั้งสิ่งที่เชื่อว่าดีและถูกต้องก็อาจจะไม่ใช่สำหรับคนอื่น แต่ผมก็ต้องทำตามคำสั่ง
เพื่อให้ภารกิจลุล่วง จนถึงตอนนี้ผมเสียเพื่อนไป 3 คนแล้วจากภารกิจต่างๆ และที่ต้องทำแบบนี้ก็เพราะว่าเราต้องทำให้สำเร็จ
ครอบครัวผมและตัวผม ครอบครัวหมอคังและตัวหมอคัง ทุกคนต่างก็มีคนที่รัก ผมเชื่อว่าผมสู้เพื่อสันติสุขและอิสรภาพ
ของแผ่นดินที่เราอยู่
หมอคัง : ฉันเป็นหมอค่ะ ฉันเชื่อว่าชีวิตเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และไม่มีคุณค่าหรือความคิดใดอยู่เหนือมันได้
กัปตันยู : ผมเข้าใจ
หมอคัง : ฉันขอโทษนะคะ แต่มันไม่เป็นอย่างที่ฉันคิดเลย
กัปตันยู : ผมเข้าใจ
หมอคัง : ฉันขอตัวนะคะ
กัปตันยู : ยินดีที่ได้รู้จักครับ ลาก่อน
บทสนทนานี้ปรากฏอยู่ใน EP2 ซึ่งถือว่าเป็นช่วงตอนต้นๆเรื่องเลยก็ว่าได้ ฉากนี้มีความชัดเจนมากในเรื่องตัวตน ความคิด ทัศนคติ และจุดยืนของตัวละครทั้งสอง ความสัมพันธ์ของทั้งสองต้องจบลงไม่ใช่เพราะทั้งสองไม่ได้มีความรู้สึกดีๆให้แก่กัน เห็นได้จากที่หมอคังพูดว่า ฉันเหนื่อยมากวันนี้แต่ยังคิดถึงคุณอยู่ “ผู้ชายที่ชอบไปไหนนะ” “เขาทำอะไร” แต่พอได้เจอคุณกลับบอกอะไรฉันไม่ได้เลย กัปตันยูไม่สามารถบอกเรื่องงานที่ตัวเองทำได้เนื่องจากเป็นกฎ มีการพูดคุยไปถึงตัวงานที่แต่ละคนทำ ซึ่งแต่ละคำที่หมอคังพูดออกมานั้นทำให้เห็นว่างานที่ทั้งสองทำสวนทางกันอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะประโยคนี้ “ฉันใช้เวลาครึ่งวันในห้องผ่าตัดเพื่อสู้ให้คนรอด นั่นงานของฉันค่ะ ฉันสู้เพื่อชีวิต แต่คุณสู้เพื่อปกป้องคนอื่นด้วยความตาย” ซึ่งสื่อออกมาได้ชัดเจนมากในเรื่องของความขัดแย้งของชีวิตทั้งสองอาชีพ
ฉากนี้นอกจากบทสนทนาแล้วการเลือกเสื้อผ้าของตัวละครทั้งสองก็มีความลงตัว ในความรู้สึกของดิฉันคิดว่าการเลือกใช้เสื้อผ้าสีขาวพื้นของตัวละครทั้งสองช่วยขับให้บทสนทนาดูเด่น และเห็นถึงความรู้สึกของตัวละครระหว่างการสนทนาได้ดีขึ้น จะเรียกได้ว่าเป็นฉากที่เรียบง่ายแต่สามารถส่งความรู้สึกไปถึงผู้ชมได้ดีทีเดียว
หมอคัง : แล้วเรือมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงค่ะ
กัปตันยู : มาเพราะความหลงเสน่ห์ ถ้าหลงที่สวยๆ ก็จะเป็นแบบนี้แหละ
หมอคัง : แล้วคุณเคยหลงใครมั้ย
กัปตันยู : เคยสิ คุณก็น่าจะรู้
บทสนทนานี้เกิดขึ้นพร้อมกับมีฉากหลังเป็นซากเรือที่อับปาง ดิฉันรู้สึกว่ายิ่งทำให้เห็นภาพความรู้สึกของกัปตันยูได้ชัดเจนมากขึ้น
ความรู้สึกของกัปตันยูที่บอกว่าเคยหลงก็คงเหมือนกับเรือลำนี้ที่อับปางอยู่ไม่สามารถออกไปจากชายหาดได้
พลโท : คนไข้ VIP ละ ยังไม่ฟื้นหรอ
หมอคัง : กำลังรออยู่ค่ะ
พลโท : ใครๆก็รอได้ ถ้ารอแล้วยังไม่ฟื้นละ
หมอคัง : การวินิจฉัยและการรักษาขึ้นอยู่กับดุลพินิจของแพทย์
พลโท : มั่นใจดีนะ เปิดคลีนิคเองได้ไม่ต้องง้อโรงพยาบาลแล้วสิ สมกับเป็นหมอจริงๆ คุณทำลายชีวิตยูชีจินไปแล้ว ต้องทนไปอีก
เป็น 10 ปี อนาคตในกองทัพของเขาดับวูบไปแล้ว ถ้าคนไข้ VIP ไม่ฟื้น เท่ากับชีวิตของเขาจบสิ้นแค่นี้ เพราะดุลพินิจของหมอ
ที่คุณว่าน่ะ ...ทำให้เขาฟื้นให้ได้ อาชีพของเราจะได้ไร้ปัญหากันทั้ง 2 ฝ่าย ผมขอ
ฉากนี้สะดุดประโยคสุดท้ายของพลโท ที่กล่าวว่า “ทำให้เขาฟื้นให้ได้ อาชีพของเราจะได้ไร้ปัญหากันทั้ง 2 ฝ่าย ผมขอ” ในสถานการณ์นี้แสดงให้เห็นว่าการทำงานของทั้งสองอาชีพมีจุดขัดแย้งกันอยู่ ซึ่งหลายฝ่ายจะได้รับผลกระทบขึ้นมาถ้าหากคนไข้ VIP ไม่ฟื้น ไม่ว่าจะเป็นในทางส่วนรวมคือการเมืองระหว่างประเทศ และในทางส่วนตัวคือผลกระทบต่ออาชีพของกัปตันยู ดิฉันรู้สึกว่าจุดนี้ทำให้หมอคังเริ่มเข้าใจในวิถีอาชีพของกัปตันยูมากขึ้น
จ่าซอ : ขอโทษที่ต้องกลับไปก่อนนะครับ ผมขอรายงานเรื่องย้ายก่อน
กัปตันยู : ผมโดนปลดแล้วไม่ใช่หัวหน้าคุณแล้วล่ะ มารายงานผมทำไม
จ่าซอ : คำสั่งที่หัวหน้าสั่งผมโดยตรงวันนี้เป็นสิ่งที่ถูกต้องทั้งหมด คำสั่งที่หัวหน้าผมสั่งวันนี้เป็นสิ่งที่สมเกียรติแล้ว
ไว้เจอกันที่บ้านนะครับ ผู้สั่งการ
คำพูดสั้นๆสไตล์จ่าซอแต่เต็มไปด้วยความหมายและการให้กำลังใจ ไม่ต้องเวิ้นเว้อพูดอะไรให้มากมาย ตัวละครสองตัวนี้แค่มองตาก็รู้ใจกันแล้ว ต่างคนต่างเข้าใจในสถานการณ์ของกันละกัน
หมอคัง : นี่จะทำอะไรของคุณ
กัปตันยู : ทำอะไรไม่เข้าท่า
หมอคัง : ไม่เข้าท่าหรอ ฉันทำลายชีวิตคนๆนึง
กัปตันยู : มันไม่ใช่เพราะคุณ คิดว่าผมทำเพื่อช่วยผู้หญิงหรอ จำรอยกระสุนที่ตัวผมตอนเราเจอกันครั้งแรกได้มั้ย วันแรกที่ผมได้เป็น
สิบเอกกองทัพพิเศษ รุ่นพี่บอกผมว่าทหารมีผ้าห่อศพติดตัวตลอดเวลา ตายที่สนามรบเพื่อประเทศ ที่ตายก็คือหลุมศพ
ชุดฟอร์มคือผ้าห่อศพ นี่คือความมุ่งมั่นในขณะสวมชุด ต้องสวมชุดด้วยใจ ต้องรู้สึกเป็นเกียรติทุกวินาที ไม่มีเหตุผลไหน
ที่จะค้านได้ ผมเป็นหนี้ชีวิตรุ่นพี่คนนั้น และนั่นเป็นตอนที่ผมโดนยิง การตัดสินใจของผมไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ มันหมายถึง
เกียรติยศ ศักดิ์ศรีและหน้าที่ มันอยู่ในทุกสถานการณ์ ผมตัดสินใจหลังพิจารณาดีแล้ว ผมไม่เคยเสียใจกับการตัดสินใจ
แต่ไม่ได้หมายความว่าการที่ผมทำผิดกฎทหารจะเป็นข้อยกเว้นไปได้ ทหารก็ต้องจัดการปัญหาทหารกันเอง
หมอคังอย่ามายุ่งจะดีกว่า
หมอคัง : ฉันคงเป็นห่วงคุณมากเกินไป ขอโทษค่ะ
บทสนทนานี้รู้สึกได้เลยว่ากัปตันศรัทธาต่ออาชีพของตนเองมาก เป็นการตอกย้ำทำให้ผู้ชมเห็นคาแรคเตอร์ของกัปตันยูได้ชัดเจนยิ่งขึ้น และยิ่งประโยคที่กัปตันยูกล่าวว่า “ผมตัดสินใจหลังพิจารณาดีแล้ว ผมไม่เคยเสียใจกับการตัดสินใจ” ประโยคในลักษณะนี้ปรากฎออกมาหลายครั้งไม่ว่าจะเป็นตอนที่พลโทเข้ามาต่อว่ากัปตันยูตอนที่ถูกกับบริเวณ กัปตันยูกล่าวว่า “ผมไม่คิดเสียใจครับ ผมเป็นคนตัดสินใจทำแบบนี้เอง ผมขอรับผิดชอบคนเดียวครับ” และอีกตอนที่ปรากฏก็คือฉากที่หมอคังและกัปตันยูคุยกันในรถ และมีการพูดถึงเรื่องจูบที่เกิดขึ้น จนกัปตันพูดว่า “เลี่ยงก็ได้ โกรธก็ได้ไม่ว่ากัน แต่อย่าคิดว่าถูกทำร้ายก็แล้วกัน ผมคิดมาพันตลบแล้วถึงทำลงไป”
หมอคัง : ฉันเลี้ยงแล้ว ขอถามเรื่องส่วนตัวหน่อยได้มั้ย ฉันอยากรู้ว่าทำไมคุณถึงมาเป็นทหาร ไม่เอาแค่เรื่องชุดเครื่องแบบนะ
กัปตันยู : เพราะทหารต้องการคน คุณอาจไม่ชอบอาชีพผม คุณถึงยังไม่มั่นใจ
หมอคัง : ฉันอยากรู้ว่าต้องชาตินิยมแค่ไหน ถึงยอมสละชีวิตตัวเองได้
กัปตันยู : ชาตินิยมคืออะไรครับ
หมอคัง : รักประเทศ จงรักภักดีต่อประเทศและประชาชน
กัปตันยู : แล้วทำไมต้องมีแต่ทหารที่ทำแบบนั้น ผมไม่รู้ว่าชาตินิยมของคุณคืออะไร แต่การปกป้องเด็ก คนชรา และคนสวย
หรือความกล้าที่จะเตือนเด็กนักเรียนสูบบุหรี่ทั้งที่ใจก็กลัว ต่อให้มีปืนมาจ่อ แต่สิ่งที่ผิดก็คือผิด นั่นคือเกียรติของทหาร
ผมคิดว่าชาตินิยมคือแบบนั้น งั้นผมขอถามบ้าง ถ้าผมไม่ใช่ทหาร แต่เป็นทายาทบริษัทใหญ่โต มันจะง่ายขึ้นมั้ยครับ
หมอคัง : ไม่นะ มันธรรมดาไป
กัปตันยู : เหรอ ผมก็ถามถึงเรื่องความธรรมดา ลืมเรื่องความหล่อไปก่อน
ฉากนี้เป็นฉากที่หมอคังถามกัปตันยูว่าทำไมมาเป็นทหาร เป็นบทสนทนาสบายๆในร้านอาหาร แต่ดิฉันรู้สึกว่าบทสนทนานี้เป็นการชิงไหวพริบกันระหว่างหมอคังกับกัปตันยู นอกจากบทสนทนาจะมีความจริงจัง แฝงไปด้วยข้อคิดต่างๆ คนเขียนบทยังใส่ลูกเล่น ใส่มุกเข้ามาในบทสนทนาของกัปตันยูในตอนท้าย ดิฉันรู้สึกว่าช่วยทำให้บรรยากาศผ่อนคลายลงได้เยอะเลยทีเดียว