เราอาจคิดผิดก็ได้ที่อยากเรียนต่อ ป.โท
เราไปสอบสัมภาษณ์เรียนต่อ ป.โท (หลังจากสอบผ่านข้อเขียนแล้ว) เราก็เดาไม่ถูกหรอกว่ากรรมการจะถามอะไรบ้าง แต่เราตอบคำถามแบบมั่วๆ จริงๆมันอาจมั่วตั้งแต่ตอนเราเขียนเป้าหมายในชีวิตของตัวเองแล้ว(ทุกคนต้องเขียน เป็นหลักฐานประกอบการสัมภาษณ์ เราเขียนว่า เราอยากทำงานเป็นผู้ตรวจสอบบัญชี พอทำได้นานๆจนเชี่ยวชาญแล้วก็อยากเป็นอาจารย์สอนบัญชี แต่เราอยากเรียน ป.โท MBA เพื่อจะเอาความรู้มาช่วยกิจการของครอบครัว และได้เอามาใช้ในการขายของออนไลน์ของเราด้วย (นี่คือที่เราเขียน) พูดง่ายๆคือเราอยากทำทั้งงานบัญชี ขายของออนไลน์ และช่วยกิจการของครอบครัว
ความจริงก็คือ เราเรียนจบ ป.ตรี สาขา HR แต่พอไปทำงาน HR แล้วเกิดไม่ถนัด ก็เลยออก แล้วอยากทำงานด้านบัญชีแทน แต่ตอนนี้เรายังไม่มีวุฒิบัญชี ก็เลยลงเรียน ป.ตรีอีกใบในสาขาบัญชี ในมหาลัยเปิด(เรียนระบบทางไกล) จากนั้นเราก็ไปสมัครเรียน ป.โท สาขา MBA เลือกแผน ก. ด้วย (จะเรียนควบคู่กันไป ถ้าโชคดีก็คงเรียนจบพร้อมกัน) ตอนนี้เราก็ขายของออนไลน์ ยังไม่ได้ทำงานประจำ แต่พวกอาจารย์ที่สัมภาษณ์เราไม่เห็นด้วยที่เราเลือกเรียน ป.โท MBA เพราะเขาเห็นว่าเราอยากเป็นอาจารย์สอนบัญชี ก็ควรจะเรียน ป.โท บัญชี เพราะถ้าเรียน ป.โทสาขาอื่นก็ไม่สามารถเป็นอาจารย์สอนบัญชีได้ ทำไมไม่เรียน ป.ตรี บัญชีให้จบก่อน เราแย้งไปว่า เราเรียน ป.โท MBA ก็สามารถเอาความรู้มาใช้ประโยชน์กับงานขายของออนไลน์ของเรา และธุรกิจของพ่อได้ด้วย อาจารย์ก็ไม่เห็นด้วยอยู่ดี เหมือนเขาอยากให้เราพุ่งเป้าไปที่บัญชีเลย
(แต่สิ่งที่เราไม่ได้บอกอาจารย์คือ สาเหตุที่เราไม่ยอมรอให้เรียน ป.ตรีบัญชีให้จบก่อน แล้วค่อยไปสมัคร ป.โท บัญชี ก็เพราะว่า เราไม่มั่นใจว่าจะเรียน ป.ตรีบัญชีจบไหม เราเพิ่งเริ่มเรียน และก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองจะเรียนไหวหรือเปล่า เพราะเรารู้สึกว่าบัญชีนั้นเรียนยาก ตอนที่เราเรียน ป.ตรี HR เราก็เกือบตกวิชาบัญชี แต่เราเรียนเพราะคิดว่ามันเหมาะกับบุคลิกเรา และพ่อเราก็อยากให้เรียนด้วย เพราะมันหางานง่าย และอีกอย่างถึงเราจะเขียนในแผนไว้ว่าอยากเป็นอาจารย์สอนบัญชี แต่ความจริงเราก็ไม่ได้คาดหวังไว้สูงว่าจะต้องได้เป็น ถ้ามีโอกาสได้เป็นก็ถือว่าโชคดี และถึงจะได้เป็นอาจารย์ ก็ไม่ได้แปลว่าจะเป็นอาจารย์สอนในมหาลัยเท่านั้น ถ้าสอนตามวิทยาลัย อาชีวะ หรือเปิดติวเตอร์เอง เราคิดว่าไม่ต้องจบ ป.โท บัญชีก็ได้ แต่ถ้าเราได้เรียน ป.โท MBA ยังไงก็ต้องได้นำความรู้มาใช้อยู่แล้ว)
นอกจากนี้อาจารย์ยังถามว่า ป.โท แผน ก. กับแผน ข. ต่างกันยังไง เราไม่รู้ว่าเขาจะถาม ก็ตอบไปว่าแผน ก.ทำวิทยานิพนธ์ แผน ข.ทำสารนิพนธ์ อาจารย์ก็ถามอีกว่าวิทยานิพนธ์ต่างกับสารนิพนธ์ยังไง เราก็เริ่มมั่ว ตอบตามความคิดตัวเอง (ที่เราตอบมันก็มีส่วนที่ถูกต้องอยู่บ้าง แต่ไม่ถูกทั้งหมด และก็ยังไม่ตรงใจอาจารย์) อาจารย์เขาบอกว่าเรามั่ว คิดเองเออเอง เราก็เลยถามอาจารย์ซะเลยว่า แผน ก. กับแผน ข.ต่างกันยังไง แล้วอาจารย์ก็พูดว่าทำไมเราไม่เรียนแผน ข. จะเรียนแผน ก. ให้ยุ่งยากทำไม ยังไม่รู้เลยว่าจะเรียนจบไหม อาจารย์เขาพูดเชิงทดสอบจิตวิทยาเรา เราไม่มีปัญหาตรงนี้หรอก แต่มีปัญหาเรื่องการตอบคำถามของเรานี่แหละ ตอนแรกเราตอบแบบมั่นใจมาก ถึงจะแถบ้าง มั่วบ้าง ก็ยังพูดแบบมั่นใจ แต่พออาจารย์พูดแย้งมากๆ เราก็ไปต่อไม่ถูก จึงหยุดพูดแล้วฟังอาจารย์พูดดีกว่า ตอนเดินออกจากห้องนี่รู้สึกหัวชาไปหมดเลย รู้สึกเฟลจริงๆ คิดว่าตัวเองคงไม่ผ่านสัมภาษณ์แน่เลย (มีคนร้องไห้ออกมาจากห้องสัมภาษณ์ด้วย ไม่รู้เจอคำถามอะไรมา)
รู้สึกเฟลมากกับการสอบสัมภาษณ์ ป.โท สงสัยจะไม่ผ่าน
เราไปสอบสัมภาษณ์เรียนต่อ ป.โท (หลังจากสอบผ่านข้อเขียนแล้ว) เราก็เดาไม่ถูกหรอกว่ากรรมการจะถามอะไรบ้าง แต่เราตอบคำถามแบบมั่วๆ จริงๆมันอาจมั่วตั้งแต่ตอนเราเขียนเป้าหมายในชีวิตของตัวเองแล้ว(ทุกคนต้องเขียน เป็นหลักฐานประกอบการสัมภาษณ์ เราเขียนว่า เราอยากทำงานเป็นผู้ตรวจสอบบัญชี พอทำได้นานๆจนเชี่ยวชาญแล้วก็อยากเป็นอาจารย์สอนบัญชี แต่เราอยากเรียน ป.โท MBA เพื่อจะเอาความรู้มาช่วยกิจการของครอบครัว และได้เอามาใช้ในการขายของออนไลน์ของเราด้วย (นี่คือที่เราเขียน) พูดง่ายๆคือเราอยากทำทั้งงานบัญชี ขายของออนไลน์ และช่วยกิจการของครอบครัว
ความจริงก็คือ เราเรียนจบ ป.ตรี สาขา HR แต่พอไปทำงาน HR แล้วเกิดไม่ถนัด ก็เลยออก แล้วอยากทำงานด้านบัญชีแทน แต่ตอนนี้เรายังไม่มีวุฒิบัญชี ก็เลยลงเรียน ป.ตรีอีกใบในสาขาบัญชี ในมหาลัยเปิด(เรียนระบบทางไกล) จากนั้นเราก็ไปสมัครเรียน ป.โท สาขา MBA เลือกแผน ก. ด้วย (จะเรียนควบคู่กันไป ถ้าโชคดีก็คงเรียนจบพร้อมกัน) ตอนนี้เราก็ขายของออนไลน์ ยังไม่ได้ทำงานประจำ แต่พวกอาจารย์ที่สัมภาษณ์เราไม่เห็นด้วยที่เราเลือกเรียน ป.โท MBA เพราะเขาเห็นว่าเราอยากเป็นอาจารย์สอนบัญชี ก็ควรจะเรียน ป.โท บัญชี เพราะถ้าเรียน ป.โทสาขาอื่นก็ไม่สามารถเป็นอาจารย์สอนบัญชีได้ ทำไมไม่เรียน ป.ตรี บัญชีให้จบก่อน เราแย้งไปว่า เราเรียน ป.โท MBA ก็สามารถเอาความรู้มาใช้ประโยชน์กับงานขายของออนไลน์ของเรา และธุรกิจของพ่อได้ด้วย อาจารย์ก็ไม่เห็นด้วยอยู่ดี เหมือนเขาอยากให้เราพุ่งเป้าไปที่บัญชีเลย
(แต่สิ่งที่เราไม่ได้บอกอาจารย์คือ สาเหตุที่เราไม่ยอมรอให้เรียน ป.ตรีบัญชีให้จบก่อน แล้วค่อยไปสมัคร ป.โท บัญชี ก็เพราะว่า เราไม่มั่นใจว่าจะเรียน ป.ตรีบัญชีจบไหม เราเพิ่งเริ่มเรียน และก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองจะเรียนไหวหรือเปล่า เพราะเรารู้สึกว่าบัญชีนั้นเรียนยาก ตอนที่เราเรียน ป.ตรี HR เราก็เกือบตกวิชาบัญชี แต่เราเรียนเพราะคิดว่ามันเหมาะกับบุคลิกเรา และพ่อเราก็อยากให้เรียนด้วย เพราะมันหางานง่าย และอีกอย่างถึงเราจะเขียนในแผนไว้ว่าอยากเป็นอาจารย์สอนบัญชี แต่ความจริงเราก็ไม่ได้คาดหวังไว้สูงว่าจะต้องได้เป็น ถ้ามีโอกาสได้เป็นก็ถือว่าโชคดี และถึงจะได้เป็นอาจารย์ ก็ไม่ได้แปลว่าจะเป็นอาจารย์สอนในมหาลัยเท่านั้น ถ้าสอนตามวิทยาลัย อาชีวะ หรือเปิดติวเตอร์เอง เราคิดว่าไม่ต้องจบ ป.โท บัญชีก็ได้ แต่ถ้าเราได้เรียน ป.โท MBA ยังไงก็ต้องได้นำความรู้มาใช้อยู่แล้ว)
นอกจากนี้อาจารย์ยังถามว่า ป.โท แผน ก. กับแผน ข. ต่างกันยังไง เราไม่รู้ว่าเขาจะถาม ก็ตอบไปว่าแผน ก.ทำวิทยานิพนธ์ แผน ข.ทำสารนิพนธ์ อาจารย์ก็ถามอีกว่าวิทยานิพนธ์ต่างกับสารนิพนธ์ยังไง เราก็เริ่มมั่ว ตอบตามความคิดตัวเอง (ที่เราตอบมันก็มีส่วนที่ถูกต้องอยู่บ้าง แต่ไม่ถูกทั้งหมด และก็ยังไม่ตรงใจอาจารย์) อาจารย์เขาบอกว่าเรามั่ว คิดเองเออเอง เราก็เลยถามอาจารย์ซะเลยว่า แผน ก. กับแผน ข.ต่างกันยังไง แล้วอาจารย์ก็พูดว่าทำไมเราไม่เรียนแผน ข. จะเรียนแผน ก. ให้ยุ่งยากทำไม ยังไม่รู้เลยว่าจะเรียนจบไหม อาจารย์เขาพูดเชิงทดสอบจิตวิทยาเรา เราไม่มีปัญหาตรงนี้หรอก แต่มีปัญหาเรื่องการตอบคำถามของเรานี่แหละ ตอนแรกเราตอบแบบมั่นใจมาก ถึงจะแถบ้าง มั่วบ้าง ก็ยังพูดแบบมั่นใจ แต่พออาจารย์พูดแย้งมากๆ เราก็ไปต่อไม่ถูก จึงหยุดพูดแล้วฟังอาจารย์พูดดีกว่า ตอนเดินออกจากห้องนี่รู้สึกหัวชาไปหมดเลย รู้สึกเฟลจริงๆ คิดว่าตัวเองคงไม่ผ่านสัมภาษณ์แน่เลย (มีคนร้องไห้ออกมาจากห้องสัมภาษณ์ด้วย ไม่รู้เจอคำถามอะไรมา)