สวัสดีครับท่านผู้ติดตาม...เที่ยว...นี้...มีอะไร?!? ตอนนี้ จะเป็นตอนที่ 3 ที่ผมต้องทำ ก่อนที่จะได้สานฝันต่อไป...
ตามที่ผมได้ตั้งความฝัน...ว่า...ภายใน 5 ปี นับตั้งแต่เดือนมกราคม 2559 เป็นต้นไป จะเดินทางไปให้ครบ 77จังหวัดของประเทศ และจะไหว้พระให้ได้ 999 วัด (โดยกำหนดว่า จังหวัดหนึ่งๆจะต้องไหว้ไม่น้อยกว่า 9วัด) พร้อมทั้งกับการท่องเที่ยว แหล่งการท่องเที่ยวที่สำคัญๆในจังหวัดนั้นๆ นอกจากนี้ ยังจะต้องเดินทางไปยังประเทศเพื่อนบ้านอาเชี่ยน 9 ประเทศ และจะไปกราบไหว้บูชาสักการะ 4 สังเวชนียสถาน ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อีกด้วย ซึ่งความฝันนี้ จะเป็นเพียงความฝันหรือความเพ้อฝัน ผมคงต้องให้ผู้สนใจติดตามได้ ในกระทู้ เที่ยว...นี้...มีอะไร ?!? ช่วยเป็นกำลังใจ (หน่อยนะครับ)
โดย...วิธีการของผม จะเป็นการเดินทางทุกๆเดือน และใช้เวลาประมาณ 3-7 วัน ในแต่ละจังหวัด และหลังจากเดินทางไปมาแล้ว ก็จะนำเรื่องราว มาบันทึกไว้ในกระทู้นี้ ซึ่ง...การบันทึกเรื่องราวของผม ก็จะสอดแทรกความรู้ ความคิดเห็น ตามความรู้และประสบการณ์ชีวิต ซึ่งผมได้เขียนถึงประวัติชีวิตของผม (โดยสังเขป) ให้ท่านได้ทราบแล้ว ส่วนความรู้หรือความคิดเห็นที่ผมเขียน หากจะไม่ตรงกับความเป็นจริง ท่านจะทักท้วงหรือเสริม เพิ่มเติม ก็เชิญตามสบายนะครับ
จุดเริ่มต้น ของการเดินทาง...เพื่อสานความฝันของผม ผมเลือกที่จะหาความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตก่อน ด้วยการเดินทางไป จ.นครพนม ทั้งนี้ นอกจากจะเห็นว่า ปีนี้ เป็นปีวอก และปีวอก มีพระธาตุพนม เป็นพระธาตุประจำปีเกิด ถึงแม้ว่า...ผมจะมิได้เกิดปีวอกก็ตาม หากแต่ในรอบ 10 กว่าปีที่ผ่านมา ผมมักจะเดินทางไปกราบไหว้บูชาสักการะองค์พระธาตุประจำปี (แทนการไหว้พระ 9 วัด ที่ผมก็ทำมาแล้วหลายครั้ง) ส่วนการกราบไหว้บูชาสักการะองค์พระธาตุประจำปีเกิด ดี หรือ มีความเป็นมาอย่างไรนั้น ผมจะขอเขียน (ตามความรู้ของผม)ในตอนท้ายนะครับ
จ.นครพนม นอกจากจะมีองค์พระธาตุพนม เป็นองค์พระธาตุประจำปีเกิด (วอก) แล้ว ยังมีองค์พระธาตุอื่นๆ ที่ตั้งอยู่ในแต่ละอำเภอ ซึ่งทางจังหวัด ได้กำหนดให้เป็นองค์พระธาตประจำวันเกิด (ครบทั้ง 7 วัน) อีกด้วย ทำให้ผมคิดว่า ถ้าได้ไปกราบไหว้บูชาพระธาตุครบทั้ง 7 วัน ก็คงจะทำให้ ทั้ง 7วัน ไม่ว่าจะเป็นวันไหน ที่ผมเลือกเดินทาง (ต่อจากนี้ไป) ก็น่าจะเป็นวัน ที่เดินทางโดยปลอดภัย และสามารถทำตามที่ฝันไว้ เป็นผลสำเร็จ
ผมเดินทางไปในวันที่ 22 มกราคม ไปพักที่โรงแรมแกรนด์วิวโขง ก่อนจะเข้าพัก ก็ไปไหว้พระ 2 วัด คือวัดโพธิ์ศรีและวัดโอกาส จากนั้นก็ไปทานอาหารเย็นที่ร้านข้าวต้มสบายดี ที่ไปทานร้านนี้ ก็เพราะว่า....ข้าวต้ม...ฟรีครับ...แฮ่ม!
วันรุ่งขึ้น วันที่ 23 เป็นวันพระ (ขึ้น 15 ค่ำเดือน2) ผมเริ่มต้นที่วัดมหาธาตุ วัดนี้ มีพระธาตุนคร เป็นพระธาตุประจำวันเสาร์ เป็นแห่งแรก
จากนั้น ผมก็เดินทางไปอ.ท่าอุเทน ซึ่งอยู่ห่างจากอ.เมือง ประมาณ 20 กว่ากิโลเมตร พระธาตุองค์นี้ เป็นพระธาตุประจำวันศุกร์
ต่อจากพระธาตุประจำวันศุกร์ ก็เป็นพระธาตุประจำวันพฤหัส ซึ่งพระธาตุองค์นี้ มีชื่อเรียกว่า พระธาตุประสิทธิ์ อยู่ที่อ.นาหว้า ซึ่งการเดินทาง จากอ.ท่าอุเทน จะต้องมุ่งไปที่อ.ศรีสงครามก่อน แล้วจึงจะต่อไปที่อ.นาหว้า รวมระยะทางประมาณ 100 กิโลเมตร
ผมยังคงมีเวลาที่จะเดินทางต่อไปยังพระธาตุมหาชัย อ.ปลาปาก ซึ่งเป็นพระธาตุประจำวันพุธ ก่อนที่จะขอแวะทานอาหารกลางวัน
หลังอาหารกลางวัน ก็ได้เวลาเดินทางต่อ ไปที่อ.นาแก เพื่อสักการะองค์พระธาตุศรีคูณ พระธาตุประจำวันเกิดอังคาร
ต่อจากพระธาตุประจำวันอังคาร ก็ไปที่อ.เรณูนคร เพื่อสักการะองค์ธาตุชื่อเดียวกันกับชื่ออำเภอ พระธาตุประจำวันเกิด วันจันทร์
และปิดท้ายในการเดินทาง ไปหาความเป็นสิริมงคล ที่จ.นครพนม ที่องค์พระธาตุพนม อ.ธาตุพนม พระธาตุองค์นี้ นอกจากจะเป็นพระธาตุประจำปีเกิด (วอก) แล้ว ยังเป็นองค์พระธาตุประจำวันเกิด วันอาทิตย์ อีกด้วย พระธาตุองค์นี้ เป็นองค์พระธาตุที่สร้างขึ้นมาใหม่ หลังจากที่องค์เก่า ยืนยงให้ผู้คนที่ศรัทธากราบไหว้บูชามามากกว่า 1300 ปี ก็ล้มลงเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2518 เวลา 19.38 น.
เนื่องจาก วันที่ผมเดินทางไปสักการะพระธาตุองค์นี้ อยู่ในระหว่างการบูรณะ เพื่อเตรียมงานการสักการะองค์พระธาตุประจำปี องค์พระธาตุจึงถูกห่อหุ้มด้วยผ้าสึเหลือง ผมจึงถ่ายภาพจากหน้าประตู (ทางเข้า) จึงทำให้เห็นองค์พระธาตุอยู่ไกลๆหน่อยนะครับ
การที่ผมเลือกเดินทางไปกราบไหว้บูชาสักการะองค์พระธาตุนคร ซึ่งเป็นองค์พระธาตุประจำวันเสาร์ก่อน แล้วจึงไล่เรียงย้อนวัน ไปจบที่วันอาทิตย์ คือองค์พระธาตุพนม พระธาตุประจำวันอาทิตย์ ก็อันเนื่องมาจาก วัดในต่างจังหวัด โดยทั่วไป มักจะปิดในเวลา 5 โมงเย็น ซึ่งที่นครพนม ก็เป็นเช่นนั้น ยกเว้นองค์พระธาตุพนมที่เปิดให้คนได้เข้าไปกราบไหว้บูชา จนถึงเวลา 21.00 น.
การเดินทางไปจ.นครพนม ถึงแม้ว่า ผมจะได้ไปกราบไหว้บูชาสักการะองค์พระธาตุ 7 แห่ง 7 วัด และเมื่อรวมกับวัดโพธิ์ศรีกับวัดโอกาส นั่นก็เท่ากับว่า ผมกราบไหว้พระที่จ.นครพนมรวม 9 วัด หากแต่ ก็มิได้ไปเที่ยว ณ.ที่แห่งใดเลย ดังนั้น จ.นี้ จึงเป็นเพียงจุดเริ่มต้น แต่มิใช่จ.แรกของความฝัน
ก่อนที่ผมจะจบบทความตอนนี้ ผมขอพูดถึงการกราบไหว้บูชาสักการะพระธาตุประจำปีเกิด (ตามที่กล่าวไว้ในตอนต้น) สักเล็กน้อยนะครับ
การกราบไหว้บูชาสักการะองค์พระธาตุประจำปีเกิด เป็นคติความเชื่อของคนล้านนา ซึ่งมีบันทึกไว้ โดยความเชื่อของคนโบราณ เชื่อกันว่า ผู้ใดก็ตาม ถ้าครั้งหนึ่งในชีวิต ได้มีโอกาสไปกราบไหว้บูชาสักการะองค์พระธาตุ (ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า) เพียงครั้งเดียว ชีวิตนี้ ก็จักประสบแต่ความเป็นมงคลตลอดไป และในเวลาต่อมา ก็เพิ่มเป็นว่า...ถ้าผู้ใดก็ตาม ที่เกิดในปีใด และได้ไปกราบไหว้บูชาสักการะองค์พระธาตุประจำปีเกิดนั้นๆ ชีวิตนี้ก็จักประสบแต่ความสุขความเจริญ ตลอดชีวิต ที่ยังดำรงอยู่
นอกจากนี้ คติความเชื่อ ยังถูกผูกโยงไปถึงการเกิดมาของแต่ละบุคคล (ตามหลักของพระพุทธศาสนา) ที่เกิดจากกรรม และโดยหลัก ทุกๆคนจะถูกกำหนดให้มีอายุขัย ตามกรรม (ดี) ที่สร้างไว้ในอดีต บวกกับกรรมดี (หรือกุศลกรรม) ที่สร้างเพิ่มเติมในปัจจุบัน แต่...แต่...แต่ก็มีบางคน ที่อาจจะสร้างอกุศลกรรมมากในภพปัจจุบัน หรือ อาจจะมี ใครบางคนที่มาสร้างกรรมให้เขาคนนั้น ก็ทำให้ชีวิต ต้องถึงแก่กาลดับ ก่อนอายุขัย (ที่กำหนด) ความเชื่อของคนในสมัยนั้น เชื่อว่า ดวงวิญญาณจะยังไม่มียมฑูตมารับตัวไป วิญญาณของคนนั้น ก็จะต้องล่องลอย เป็นสัมภเวสี ซึ่งจะทำให้ภพหน้า ชาติใหม่ จะเกิดมาด้อยกว่า ภพภูมิในปัจจุบัน
ดังนั้น การที่ใครก็ตามได้ไปกราบไหว้ บูชาสักการะองค์พระธาตประจำปีเกิดของตนเอง (พร้อมกับการทำพิธีบอกกล่าว) ก็จะทำให้วิญญาณของบุคคลนั้น (ในกรณีที่ดับก่อนอายุขัย) จะไปสถิตย์ ณ.องค์พระธาตุประจำปีเกิดของเรา ที่ได้ทำพิธีบอกกล่าวไว้ (พิธืทำอย่างไร ถ้าท่านสนใจผมจะเขียนในตอนต่อไปครับ) การที่วิญญาณของเราไปสถิตย์อยู่ ณ.องค์พระธาตุ นั่นย่อมหมายถึงว่า วิญญาณของเราได้อยู่ณ.สถานที่ดี สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ สถานที่ที่เป็นมงคล การเกิดในภพภูมิต่อไป ก็จะมีชีวิตที่ดีกว่าในภพภูมิปัจจุบัน
ไม่แต่เพียงเท่านี้นะครับ ปัจจุบัน ยังให้ความเชื่อ (เพิ่มเติม) ไปอีกว่า การที่เราได้ไปทำพิธี ซึ่งในการประกอบพิธีนั้น องค์ประกอบที่สำคัญคือ การนำเอานักษัตร (หรือสัตว์ประจำปีเกิดเรา) ไปถวาย การนำเอานักษัตร (ซึ่งเปรียบเสมือนหนึ่ง การนำเอาดวงชะตา) ไปไว้ที่องค์พระธาตุ ชีวิตของเรา ตลอดเวลาที่ดำรงอยู่ นอกจากจะได้รับการปกปักรักษาจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้ว ยังจะมีแต่ความสุข ความเจริญยิ่งๆขี้นไป ความเชื่อนี้ ผมขอให้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของท่านนะครับ แต่สำหรับผม เชื่อมั่นและศรัทธาอย่างเต็มหัวใจ
เที่ยว...นี้...มีอะไร ?!? ที่นครพนม...จุดเริ่มต้น...ของการทำตามฝัน?
ตามที่ผมได้ตั้งความฝัน...ว่า...ภายใน 5 ปี นับตั้งแต่เดือนมกราคม 2559 เป็นต้นไป จะเดินทางไปให้ครบ 77จังหวัดของประเทศ และจะไหว้พระให้ได้ 999 วัด (โดยกำหนดว่า จังหวัดหนึ่งๆจะต้องไหว้ไม่น้อยกว่า 9วัด) พร้อมทั้งกับการท่องเที่ยว แหล่งการท่องเที่ยวที่สำคัญๆในจังหวัดนั้นๆ นอกจากนี้ ยังจะต้องเดินทางไปยังประเทศเพื่อนบ้านอาเชี่ยน 9 ประเทศ และจะไปกราบไหว้บูชาสักการะ 4 สังเวชนียสถาน ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อีกด้วย ซึ่งความฝันนี้ จะเป็นเพียงความฝันหรือความเพ้อฝัน ผมคงต้องให้ผู้สนใจติดตามได้ ในกระทู้ เที่ยว...นี้...มีอะไร ?!? ช่วยเป็นกำลังใจ (หน่อยนะครับ)
โดย...วิธีการของผม จะเป็นการเดินทางทุกๆเดือน และใช้เวลาประมาณ 3-7 วัน ในแต่ละจังหวัด และหลังจากเดินทางไปมาแล้ว ก็จะนำเรื่องราว มาบันทึกไว้ในกระทู้นี้ ซึ่ง...การบันทึกเรื่องราวของผม ก็จะสอดแทรกความรู้ ความคิดเห็น ตามความรู้และประสบการณ์ชีวิต ซึ่งผมได้เขียนถึงประวัติชีวิตของผม (โดยสังเขป) ให้ท่านได้ทราบแล้ว ส่วนความรู้หรือความคิดเห็นที่ผมเขียน หากจะไม่ตรงกับความเป็นจริง ท่านจะทักท้วงหรือเสริม เพิ่มเติม ก็เชิญตามสบายนะครับ
จุดเริ่มต้น ของการเดินทาง...เพื่อสานความฝันของผม ผมเลือกที่จะหาความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตก่อน ด้วยการเดินทางไป จ.นครพนม ทั้งนี้ นอกจากจะเห็นว่า ปีนี้ เป็นปีวอก และปีวอก มีพระธาตุพนม เป็นพระธาตุประจำปีเกิด ถึงแม้ว่า...ผมจะมิได้เกิดปีวอกก็ตาม หากแต่ในรอบ 10 กว่าปีที่ผ่านมา ผมมักจะเดินทางไปกราบไหว้บูชาสักการะองค์พระธาตุประจำปี (แทนการไหว้พระ 9 วัด ที่ผมก็ทำมาแล้วหลายครั้ง) ส่วนการกราบไหว้บูชาสักการะองค์พระธาตุประจำปีเกิด ดี หรือ มีความเป็นมาอย่างไรนั้น ผมจะขอเขียน (ตามความรู้ของผม)ในตอนท้ายนะครับ
จ.นครพนม นอกจากจะมีองค์พระธาตุพนม เป็นองค์พระธาตุประจำปีเกิด (วอก) แล้ว ยังมีองค์พระธาตุอื่นๆ ที่ตั้งอยู่ในแต่ละอำเภอ ซึ่งทางจังหวัด ได้กำหนดให้เป็นองค์พระธาตประจำวันเกิด (ครบทั้ง 7 วัน) อีกด้วย ทำให้ผมคิดว่า ถ้าได้ไปกราบไหว้บูชาพระธาตุครบทั้ง 7 วัน ก็คงจะทำให้ ทั้ง 7วัน ไม่ว่าจะเป็นวันไหน ที่ผมเลือกเดินทาง (ต่อจากนี้ไป) ก็น่าจะเป็นวัน ที่เดินทางโดยปลอดภัย และสามารถทำตามที่ฝันไว้ เป็นผลสำเร็จ
ผมเดินทางไปในวันที่ 22 มกราคม ไปพักที่โรงแรมแกรนด์วิวโขง ก่อนจะเข้าพัก ก็ไปไหว้พระ 2 วัด คือวัดโพธิ์ศรีและวัดโอกาส จากนั้นก็ไปทานอาหารเย็นที่ร้านข้าวต้มสบายดี ที่ไปทานร้านนี้ ก็เพราะว่า....ข้าวต้ม...ฟรีครับ...แฮ่ม!
วันรุ่งขึ้น วันที่ 23 เป็นวันพระ (ขึ้น 15 ค่ำเดือน2) ผมเริ่มต้นที่วัดมหาธาตุ วัดนี้ มีพระธาตุนคร เป็นพระธาตุประจำวันเสาร์ เป็นแห่งแรก
จากนั้น ผมก็เดินทางไปอ.ท่าอุเทน ซึ่งอยู่ห่างจากอ.เมือง ประมาณ 20 กว่ากิโลเมตร พระธาตุองค์นี้ เป็นพระธาตุประจำวันศุกร์
ต่อจากพระธาตุประจำวันศุกร์ ก็เป็นพระธาตุประจำวันพฤหัส ซึ่งพระธาตุองค์นี้ มีชื่อเรียกว่า พระธาตุประสิทธิ์ อยู่ที่อ.นาหว้า ซึ่งการเดินทาง จากอ.ท่าอุเทน จะต้องมุ่งไปที่อ.ศรีสงครามก่อน แล้วจึงจะต่อไปที่อ.นาหว้า รวมระยะทางประมาณ 100 กิโลเมตร
ผมยังคงมีเวลาที่จะเดินทางต่อไปยังพระธาตุมหาชัย อ.ปลาปาก ซึ่งเป็นพระธาตุประจำวันพุธ ก่อนที่จะขอแวะทานอาหารกลางวัน
หลังอาหารกลางวัน ก็ได้เวลาเดินทางต่อ ไปที่อ.นาแก เพื่อสักการะองค์พระธาตุศรีคูณ พระธาตุประจำวันเกิดอังคาร
ต่อจากพระธาตุประจำวันอังคาร ก็ไปที่อ.เรณูนคร เพื่อสักการะองค์ธาตุชื่อเดียวกันกับชื่ออำเภอ พระธาตุประจำวันเกิด วันจันทร์
และปิดท้ายในการเดินทาง ไปหาความเป็นสิริมงคล ที่จ.นครพนม ที่องค์พระธาตุพนม อ.ธาตุพนม พระธาตุองค์นี้ นอกจากจะเป็นพระธาตุประจำปีเกิด (วอก) แล้ว ยังเป็นองค์พระธาตุประจำวันเกิด วันอาทิตย์ อีกด้วย พระธาตุองค์นี้ เป็นองค์พระธาตุที่สร้างขึ้นมาใหม่ หลังจากที่องค์เก่า ยืนยงให้ผู้คนที่ศรัทธากราบไหว้บูชามามากกว่า 1300 ปี ก็ล้มลงเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2518 เวลา 19.38 น.
เนื่องจาก วันที่ผมเดินทางไปสักการะพระธาตุองค์นี้ อยู่ในระหว่างการบูรณะ เพื่อเตรียมงานการสักการะองค์พระธาตุประจำปี องค์พระธาตุจึงถูกห่อหุ้มด้วยผ้าสึเหลือง ผมจึงถ่ายภาพจากหน้าประตู (ทางเข้า) จึงทำให้เห็นองค์พระธาตุอยู่ไกลๆหน่อยนะครับ
การที่ผมเลือกเดินทางไปกราบไหว้บูชาสักการะองค์พระธาตุนคร ซึ่งเป็นองค์พระธาตุประจำวันเสาร์ก่อน แล้วจึงไล่เรียงย้อนวัน ไปจบที่วันอาทิตย์ คือองค์พระธาตุพนม พระธาตุประจำวันอาทิตย์ ก็อันเนื่องมาจาก วัดในต่างจังหวัด โดยทั่วไป มักจะปิดในเวลา 5 โมงเย็น ซึ่งที่นครพนม ก็เป็นเช่นนั้น ยกเว้นองค์พระธาตุพนมที่เปิดให้คนได้เข้าไปกราบไหว้บูชา จนถึงเวลา 21.00 น.
การเดินทางไปจ.นครพนม ถึงแม้ว่า ผมจะได้ไปกราบไหว้บูชาสักการะองค์พระธาตุ 7 แห่ง 7 วัด และเมื่อรวมกับวัดโพธิ์ศรีกับวัดโอกาส นั่นก็เท่ากับว่า ผมกราบไหว้พระที่จ.นครพนมรวม 9 วัด หากแต่ ก็มิได้ไปเที่ยว ณ.ที่แห่งใดเลย ดังนั้น จ.นี้ จึงเป็นเพียงจุดเริ่มต้น แต่มิใช่จ.แรกของความฝัน
ก่อนที่ผมจะจบบทความตอนนี้ ผมขอพูดถึงการกราบไหว้บูชาสักการะพระธาตุประจำปีเกิด (ตามที่กล่าวไว้ในตอนต้น) สักเล็กน้อยนะครับ
การกราบไหว้บูชาสักการะองค์พระธาตุประจำปีเกิด เป็นคติความเชื่อของคนล้านนา ซึ่งมีบันทึกไว้ โดยความเชื่อของคนโบราณ เชื่อกันว่า ผู้ใดก็ตาม ถ้าครั้งหนึ่งในชีวิต ได้มีโอกาสไปกราบไหว้บูชาสักการะองค์พระธาตุ (ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า) เพียงครั้งเดียว ชีวิตนี้ ก็จักประสบแต่ความเป็นมงคลตลอดไป และในเวลาต่อมา ก็เพิ่มเป็นว่า...ถ้าผู้ใดก็ตาม ที่เกิดในปีใด และได้ไปกราบไหว้บูชาสักการะองค์พระธาตุประจำปีเกิดนั้นๆ ชีวิตนี้ก็จักประสบแต่ความสุขความเจริญ ตลอดชีวิต ที่ยังดำรงอยู่
นอกจากนี้ คติความเชื่อ ยังถูกผูกโยงไปถึงการเกิดมาของแต่ละบุคคล (ตามหลักของพระพุทธศาสนา) ที่เกิดจากกรรม และโดยหลัก ทุกๆคนจะถูกกำหนดให้มีอายุขัย ตามกรรม (ดี) ที่สร้างไว้ในอดีต บวกกับกรรมดี (หรือกุศลกรรม) ที่สร้างเพิ่มเติมในปัจจุบัน แต่...แต่...แต่ก็มีบางคน ที่อาจจะสร้างอกุศลกรรมมากในภพปัจจุบัน หรือ อาจจะมี ใครบางคนที่มาสร้างกรรมให้เขาคนนั้น ก็ทำให้ชีวิต ต้องถึงแก่กาลดับ ก่อนอายุขัย (ที่กำหนด) ความเชื่อของคนในสมัยนั้น เชื่อว่า ดวงวิญญาณจะยังไม่มียมฑูตมารับตัวไป วิญญาณของคนนั้น ก็จะต้องล่องลอย เป็นสัมภเวสี ซึ่งจะทำให้ภพหน้า ชาติใหม่ จะเกิดมาด้อยกว่า ภพภูมิในปัจจุบัน
ดังนั้น การที่ใครก็ตามได้ไปกราบไหว้ บูชาสักการะองค์พระธาตประจำปีเกิดของตนเอง (พร้อมกับการทำพิธีบอกกล่าว) ก็จะทำให้วิญญาณของบุคคลนั้น (ในกรณีที่ดับก่อนอายุขัย) จะไปสถิตย์ ณ.องค์พระธาตุประจำปีเกิดของเรา ที่ได้ทำพิธีบอกกล่าวไว้ (พิธืทำอย่างไร ถ้าท่านสนใจผมจะเขียนในตอนต่อไปครับ) การที่วิญญาณของเราไปสถิตย์อยู่ ณ.องค์พระธาตุ นั่นย่อมหมายถึงว่า วิญญาณของเราได้อยู่ณ.สถานที่ดี สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ สถานที่ที่เป็นมงคล การเกิดในภพภูมิต่อไป ก็จะมีชีวิตที่ดีกว่าในภพภูมิปัจจุบัน
ไม่แต่เพียงเท่านี้นะครับ ปัจจุบัน ยังให้ความเชื่อ (เพิ่มเติม) ไปอีกว่า การที่เราได้ไปทำพิธี ซึ่งในการประกอบพิธีนั้น องค์ประกอบที่สำคัญคือ การนำเอานักษัตร (หรือสัตว์ประจำปีเกิดเรา) ไปถวาย การนำเอานักษัตร (ซึ่งเปรียบเสมือนหนึ่ง การนำเอาดวงชะตา) ไปไว้ที่องค์พระธาตุ ชีวิตของเรา ตลอดเวลาที่ดำรงอยู่ นอกจากจะได้รับการปกปักรักษาจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้ว ยังจะมีแต่ความสุข ความเจริญยิ่งๆขี้นไป ความเชื่อนี้ ผมขอให้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของท่านนะครับ แต่สำหรับผม เชื่อมั่นและศรัทธาอย่างเต็มหัวใจ