คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 36
กระทู้นี้ผู้มาตอบคล้ายกรณีน้ำหมักป้าเช็ง ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยหลักการวิทยาศาสตร์ แต่มีแต่อ้างว่าเป็นปสก ส่วนตัว ไปหาหมอจริงๆแล้วไม่หาย มากินน้ำหมักป้าเช็งหาย แต่มักเป็นคำพูดลอยๆปราศจากหลักฐานข่อเท็จจริง สุดท้ายป้าเช็งก็โดนตำรวจเรียกไปแล้ว คนเอาไปหยอดตาก็ตาบอดไปแล้วนี่ไง ที่เคยหลงเชื่อกัน สุดท้ายเป็นอย่างไร เหมือนครีมหน้าเรียวในเฟซมีคำกล่าวอ้างเต็มไปหมดเหมือนกระทู้นี้เลย แต่จริงๆแล้วหลอกลวง อยากหน้าเรียวก็กินให้น้อยลงกับออกกำลังกายสิ นี่ถ้ามีคนเชื่อในเฟซว่าทาครีมหน้าจะเรียว ตอนนี้คงหน้าบวมเหม่อนเดิม เห็นไหม คำกล่าวอ้างจะเขียนอะไรก็ได้ ผมจะเขียนว่าเห็นช้างบินได้ก็ได้ คุณเชื่อผมไหม ก็ไม่เชื่อ นั้นเราต้องมาพูดถึงเหตุผล คำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ หลักฐาน การทดลอง งานวิจัย ซึ่งผมกำลังจะแปะให้อ่านกัน
ผมจึงขอนำงานวิจัยที่นักวิทยาศาสตร์วิจัยเรื่องนี้แลรุปมาแล้ว มีหลักฐาน งานวิจัยตีพิมพ์จำนวนมาก ลองอ่านดูแล้วใช้สติคิดพิจารณาตามหลักความเป็นจริง จะได้เข้าใจอย่างถูกต้อง ให้ลิงค์ไปแล้ว ไปอ่านวารสาร งานเปเปอร์ได้
การฝังเข็มไม่ได้ผลจริง อ้างอิงจากบทความงานวิจัย ในวารสารวิทยาศาสตร์ Anesthesia & Analgesia
The article is fortunately published in open access, and so I can reprint it here (full article is below). What I think David and I convincingly demonstrated is that, according to the usual standards of medicine, acupuncture does not work.
Let me explain what I mean by that. Clinical research can never prove that an intervention has an effect size of zero. Rather, clinical research assumes the null hypothesis, that the treatment does not work, and the burden of proof lies with demonstrating adequate evidence to reject the null hypothesis. So, when being technical, researchers will conclude that a negative study “fails to reject the null hypothesis.”
Further, negative studies do not demonstrate an effect size of zero, but rather that any possible effect is likely to be smaller than the power of existing research to detect. The greater the number and power of such studies, however, the closer this remaining possible effect size gets to zero. At some point the remaining possible effect becomes clinically insignificant.
In other words, clinical research may not be able to detect the difference between zero effect and a tiny effect, but at some point it becomes irrelevant.
What David and I have convincingly argued, in my opinion, is that after decades of research and more than 3000 trials, acupuncture researchers have failed to reject the null hypothesis, and any remaining possible specific effect from acupuncture is so tiny as to be clinically insignificant.
In layman’s terms, acupuncture does not work – for anything.
This has profound clinical, ethical, scientific, and practical implications. In my opinion humanity should not waste another penny, another moment, another patient – any further resources on this dead end. We should consider this a lesson learned, cut our losses, and move on.
ลองอ่านกันดูนะครับ สรุปพูดง่ายๆภาษาชาวบ้านวงการวิทย์เขาสนุปแล้วว่า การฝังเข็มไม่มีเวิก ใช้การไม่ได้จริง มีการทดลองพิสูจน์เรียบร้อยแล้วจำนวนมาก
https://www.sciencebasedmedicine.org/acupuncture-doesnt-work/
ไปอ่าน full paper งานวิจัยนี้ได้ทีนี่
http://journals.lww.com/anesthesia-analgesia/pages/articleviewer.aspx?year=2013&issue=06000&article=00025&type=Fulltext
ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ต้องเป็นไม่เชื่อต้องพิสูจน์ ทดลอง ตีพิมพ์งานวิจัย peer review
จะได้ไม่ถูกหลอกโดยวิทยาศาสตร์เทียม
ใครจะค้านเลิกเอาปสก ส่วนตัวที่ปราศจากหลักฐาน ข้อเท็จจริง แล้วช่วยอธิบายหลักการทางวิทยาศาสตร์หรือ
อ้างอิงงานวิจัยมาค้านกันนะครับ ขอแบบวารสารวิทย์ที่ดังๆไม่ใช่วารสารวิทย์ห้องแถว คนในวงการไม่ยอมรับแบบนี้ก็ไม่เอานะครับ
จะได้น่าเชื่อถือ น่ายอมรับหน่อย
ขอบคุณครับ
ผมจึงขอนำงานวิจัยที่นักวิทยาศาสตร์วิจัยเรื่องนี้แลรุปมาแล้ว มีหลักฐาน งานวิจัยตีพิมพ์จำนวนมาก ลองอ่านดูแล้วใช้สติคิดพิจารณาตามหลักความเป็นจริง จะได้เข้าใจอย่างถูกต้อง ให้ลิงค์ไปแล้ว ไปอ่านวารสาร งานเปเปอร์ได้
การฝังเข็มไม่ได้ผลจริง อ้างอิงจากบทความงานวิจัย ในวารสารวิทยาศาสตร์ Anesthesia & Analgesia
The article is fortunately published in open access, and so I can reprint it here (full article is below). What I think David and I convincingly demonstrated is that, according to the usual standards of medicine, acupuncture does not work.
Let me explain what I mean by that. Clinical research can never prove that an intervention has an effect size of zero. Rather, clinical research assumes the null hypothesis, that the treatment does not work, and the burden of proof lies with demonstrating adequate evidence to reject the null hypothesis. So, when being technical, researchers will conclude that a negative study “fails to reject the null hypothesis.”
Further, negative studies do not demonstrate an effect size of zero, but rather that any possible effect is likely to be smaller than the power of existing research to detect. The greater the number and power of such studies, however, the closer this remaining possible effect size gets to zero. At some point the remaining possible effect becomes clinically insignificant.
In other words, clinical research may not be able to detect the difference between zero effect and a tiny effect, but at some point it becomes irrelevant.
What David and I have convincingly argued, in my opinion, is that after decades of research and more than 3000 trials, acupuncture researchers have failed to reject the null hypothesis, and any remaining possible specific effect from acupuncture is so tiny as to be clinically insignificant.
In layman’s terms, acupuncture does not work – for anything.
This has profound clinical, ethical, scientific, and practical implications. In my opinion humanity should not waste another penny, another moment, another patient – any further resources on this dead end. We should consider this a lesson learned, cut our losses, and move on.
ลองอ่านกันดูนะครับ สรุปพูดง่ายๆภาษาชาวบ้านวงการวิทย์เขาสนุปแล้วว่า การฝังเข็มไม่มีเวิก ใช้การไม่ได้จริง มีการทดลองพิสูจน์เรียบร้อยแล้วจำนวนมาก
https://www.sciencebasedmedicine.org/acupuncture-doesnt-work/
ไปอ่าน full paper งานวิจัยนี้ได้ทีนี่
http://journals.lww.com/anesthesia-analgesia/pages/articleviewer.aspx?year=2013&issue=06000&article=00025&type=Fulltext
ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ต้องเป็นไม่เชื่อต้องพิสูจน์ ทดลอง ตีพิมพ์งานวิจัย peer review
จะได้ไม่ถูกหลอกโดยวิทยาศาสตร์เทียม
ใครจะค้านเลิกเอาปสก ส่วนตัวที่ปราศจากหลักฐาน ข้อเท็จจริง แล้วช่วยอธิบายหลักการทางวิทยาศาสตร์หรือ
อ้างอิงงานวิจัยมาค้านกันนะครับ ขอแบบวารสารวิทย์ที่ดังๆไม่ใช่วารสารวิทย์ห้องแถว คนในวงการไม่ยอมรับแบบนี้ก็ไม่เอานะครับ
จะได้น่าเชื่อถือ น่ายอมรับหน่อย
ขอบคุณครับ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 12
ถึงผมเป็นแพทย์ แต่ผมก้ไม่ได้ยึดมั่นแบบ จขกท น่ะ
อย่าไปเข้าใจหลักทางสถิติผิดน่ะครับ ผมจะเตือนน้องๆเสมอ
ถ้าคุณตั้งสมมติฐานผิด คุณก็ได้คำตอบที่ผิด ถ้าคุณไม่มี test ที่ varid และ specific พอ
ข้อมูลจากการ test ก็ผิดน่ะ การที่ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์อย่างแท้จริง ตามที่ จขกท เข้าใจ
ไม่ได้บอกว่าเป็นไปไม่ได้น่ะครับ แต่เพราะการตั้งสมมติฐานและการศึกษา
รวมถึงการแปลผลยังไม่ถูกต้องก็ได้น่ะครับ การแพทย์ทางเลือกทั้งหลาย
ก็มี evidence base พอควรน่ะ ทั้ง pro และ cons ก็ไม่แตกต่างจากการแพทย์ตะวันตก
เพียงแต่ยังไม่เพียงพอที่จะสรุกออกมาเป็น standard ได้เท่านั้น
การเป็นแพทย์ที่ดี จึงต้องดูข้อมูลในหลายมิติด้วย ไม่ใช่ยึดมั่นจนปฏิเสธทั้งหมด
อย่าไปเข้าใจหลักทางสถิติผิดน่ะครับ ผมจะเตือนน้องๆเสมอ
ถ้าคุณตั้งสมมติฐานผิด คุณก็ได้คำตอบที่ผิด ถ้าคุณไม่มี test ที่ varid และ specific พอ
ข้อมูลจากการ test ก็ผิดน่ะ การที่ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์อย่างแท้จริง ตามที่ จขกท เข้าใจ
ไม่ได้บอกว่าเป็นไปไม่ได้น่ะครับ แต่เพราะการตั้งสมมติฐานและการศึกษา
รวมถึงการแปลผลยังไม่ถูกต้องก็ได้น่ะครับ การแพทย์ทางเลือกทั้งหลาย
ก็มี evidence base พอควรน่ะ ทั้ง pro และ cons ก็ไม่แตกต่างจากการแพทย์ตะวันตก
เพียงแต่ยังไม่เพียงพอที่จะสรุกออกมาเป็น standard ได้เท่านั้น
การเป็นแพทย์ที่ดี จึงต้องดูข้อมูลในหลายมิติด้วย ไม่ใช่ยึดมั่นจนปฏิเสธทั้งหมด
ความคิดเห็นที่ 15
อย่างมงายครับ ความงมงาย(อวิชา) นี่น่ากลัวมาก
(ผมก็เป็นนักวิทยาศาสตร์)
...อย่างมงาย กับความคิดตัวเอง ....เป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุด
หรือ งมงายกับสิ่งตัวเองอ่านหรือรับข้อมูลมาอย่างไม่รอบด้านหรือจากแหล่งข้อมูลที่ขาดความน่าเชื่อถือ
หรือ สิ่งที่ยังอธิบายไม่ได้แต่กลับฟันธงว่าไม่ใช่วิทยาศาสตร์
ประวัติศาสตร์ ให้บทเรียนเรามากมาย ว่าสิ่งที่เวลานั้นอธิบายไม่ได้หรือเป็นไปไม่ได้ ในเวลาต่อมากลับเป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้หรือเป็นไปได้จริง
ข้อมูลทางวิชาการ ในยุคโลกาภิวัฒน์ ไม่ใช่สิ่งที่เป็นจริงตามเนื้อหาโดยแท้(ขาดความบริสุทธิ์) แต่มีปัจจัยเรื่องการเมือง ศาสนา ลัทธิ สีผิว และ ผลประโยชน์ เข้ามามีส่วนร่วมบิดเบือนมากมาย
เรื่องวิทยาการ ที่ชาวตะวันออกสู้ตะวันตกไม่ได้ เพราะปัจจัยอื่น
1.วัฒนธรรมการเคารพอาวุโส ของชาติตะวันออก ทำให้ผู้น้อย..อาจ..ถูกปิดกั้นการนำเสนอความคิดใหม่ๆ..อย่างอิสระ
2.ความเมตตาเป็นเรื่องพื้นฐานที่แทรกในทุกเรื่องของชาวตะวันออก ทำให้วิทยาการบางอย่างที่ต้องการพัฒนาไปได้อย่างรวดเร็วโดยไม่คำนึงถึงความเมตตา ถูกยั้งไว้
3.พื้นฐานการศึกษากระจายตัวไม่ครอบคลุม ทำให้ประชากรส่วนใหญ่การศึกษาน้อย จึงได้ผู้นำในระบอบประชาธิปไตยที่ขาดคุณภาพ นำไปสู่การพัฒนาด้านการศึกษาและการคุ้มครองสิทธิทางปัญญาที่ด้อยคุณภาพ
(ผมก็เป็นนักวิทยาศาสตร์)
...อย่างมงาย กับความคิดตัวเอง ....เป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุด
หรือ งมงายกับสิ่งตัวเองอ่านหรือรับข้อมูลมาอย่างไม่รอบด้านหรือจากแหล่งข้อมูลที่ขาดความน่าเชื่อถือ
หรือ สิ่งที่ยังอธิบายไม่ได้แต่กลับฟันธงว่าไม่ใช่วิทยาศาสตร์
ประวัติศาสตร์ ให้บทเรียนเรามากมาย ว่าสิ่งที่เวลานั้นอธิบายไม่ได้หรือเป็นไปไม่ได้ ในเวลาต่อมากลับเป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้หรือเป็นไปได้จริง
ข้อมูลทางวิชาการ ในยุคโลกาภิวัฒน์ ไม่ใช่สิ่งที่เป็นจริงตามเนื้อหาโดยแท้(ขาดความบริสุทธิ์) แต่มีปัจจัยเรื่องการเมือง ศาสนา ลัทธิ สีผิว และ ผลประโยชน์ เข้ามามีส่วนร่วมบิดเบือนมากมาย
เรื่องวิทยาการ ที่ชาวตะวันออกสู้ตะวันตกไม่ได้ เพราะปัจจัยอื่น
1.วัฒนธรรมการเคารพอาวุโส ของชาติตะวันออก ทำให้ผู้น้อย..อาจ..ถูกปิดกั้นการนำเสนอความคิดใหม่ๆ..อย่างอิสระ
2.ความเมตตาเป็นเรื่องพื้นฐานที่แทรกในทุกเรื่องของชาวตะวันออก ทำให้วิทยาการบางอย่างที่ต้องการพัฒนาไปได้อย่างรวดเร็วโดยไม่คำนึงถึงความเมตตา ถูกยั้งไว้
3.พื้นฐานการศึกษากระจายตัวไม่ครอบคลุม ทำให้ประชากรส่วนใหญ่การศึกษาน้อย จึงได้ผู้นำในระบอบประชาธิปไตยที่ขาดคุณภาพ นำไปสู่การพัฒนาด้านการศึกษาและการคุ้มครองสิทธิทางปัญญาที่ด้อยคุณภาพ
ความคิดเห็นที่ 4
อ๋อ หรอ เราไปหาหมอแผนปัจจุบัน หาสาเหตุโรคที่เราเป็นไม่เจอ แต่เราไปหาหมอจีนแมะ เขาบอกว่า เขาขาดอาหารแม้แต่น้ำ ทำให้ร่างกายเกิดภาวะอ่อนเพลีย เป็นลม น้ำตาลในเลือดแกว่งอย่างรุนแรง ที่แพทย์แผนปัจจุบันเรียกว่าภาวะ hypoglycermia แต่แพทย์ปัจจุบันไม่รู้สาเหตุ ไม่มีปัญญารักษา
หมอจีนให้ยาเรากินหนึ่งสัปดาห์ ร่างกายดีขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่แพทย์แผนปัจจุบัน ไม่มีกระทั่งปัญญาหาสาเหตุของที่เราเป็น
********เราสนับสนุนให้การมีการสอนแพทย์แผนจีนอย่างเป็นทางการ แพทย์แผนปัจจุบันเก่งแต่เรื่องเชื้อโรค เรื่องอื่นไม่เอาอ่าวเลย ********
หมอจีนให้ยาเรากินหนึ่งสัปดาห์ ร่างกายดีขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่แพทย์แผนปัจจุบัน ไม่มีกระทั่งปัญญาหาสาเหตุของที่เราเป็น
********เราสนับสนุนให้การมีการสอนแพทย์แผนจีนอย่างเป็นทางการ แพทย์แผนปัจจุบันเก่งแต่เรื่องเชื้อโรค เรื่องอื่นไม่เอาอ่าวเลย ********
ความคิดเห็นที่ 19
อืมน่าเสียดายนะ แต่คงไม่มากเท่าไหร่
ในตำรายาจีนโบราณ มีการระบุถึงพืชที่ใช้รักษาโรค ที่ในปัจจุบันเรียกว่า มาลาเรีย ใว้
เมื่อราว หลายสิบปีก่อน จีนต้องทำสงครามในป่ายาวนาน ทหารจีนล้มตายอย่างมากมาย
แต่ส่วนใหญ่กลับไม่ได้ตายเพราะ การพ่ายแพ้ต่อศัตรูไม่ แต่กลับต้องมาจากไปเพราะโรคมาลาเรีย
รัฐบาลจีน จึงสั่งให้นักวิจัยหญิงของจีนท่านหนึ่ง ไปวิจัย ยารักษามาลาเรีย
สิบกว่าปีต่อมา ยานี้ถูกสกัดออกมาได้สำเร็จ และต่อมามันคือความหวังใหม่ของมนุษยชาติ
ในการรักษามาลาเรีย เนื่องจากยาตัวเก่าเริ่มเกิดอาการดื้อยาแล้ว
นักวิจัยชาวจีนผู้นั้น ได้รับรางวัลโนเบล เมื่อปี 2014
ที่มาของยาตัวนั้น มันมาจากพืช ที่ใช้รักษามาลาเรีย ในตำรายาจีนโบราณ เมื่อพันปีก่อน
หลังจากที่เธอได้พยายามค้นหา ตัวสมุนไพรสำหรับรักษาโรค ในยุคโบราณ เพื่อจำกัดพื้นที่สำรวจ
เธอก็ได้พบว่า สมุนไพรกลุ่มนี้ ถูกระบุในหลายพื้นที่ว่า สามารถรักษามาลาเรียได้
เธอจึงเลือกเอาสมุนไพรหลายๆตัวในตำรา มาทดลอง เมื่อได้พืชที่ต้องการแล้ว
จึงนำมาสกัดดูว่าสารชนิดใดที่เป็นตัวยากันแน่ เพื่อนำมาทดลองให้แน่ชัด
และแล้วสุดท้ายเธอจึงได้ค้พบสารนั้นในพืช และนำมาสกัดเป็นตัวยาสำหรับใช้จริงอีกที
ทั้งหมดนี้ ไม่ง่ายนะครับ กินเวลายาวนานเป็นสิบปี
แต่ระยะเวลาการคัดกรองหลักพันปี ก็ทำให้หลายๆอย่าง มันแน่นอนขึ้น แทนที่จะเริ่มจากการไม่รู้อะไรเลย
การจะเหมาเอาว่า ทั้งหมดดี ทั้งหมดไม่ดี ทั้งหมดจริง ทั้งหมดไม่จริง
จากการพิสูจน์เพียงบางเรื่อง โดยไม่แยกแยะ มันก็ไม่ต่างจากการอ่านหนังสือเพียงหน้าปก แล้วบอกว่า มันห่วย
แต่นี่เรากำลังอ่านประวัติศาสตร์หลายพันปี แล้วสรุปจากสิ่งที่เราเห็นเพียง 1 ชั่วโมง เพื่อตัดสินเวลาพันปีที่ไร้ค่า
แต่เรากลับให้ค่า กับการเห็นวัฒนธรรมจอมปลอม 50 ปี แล้วบอกว่ามันคือ วัฒนธรรมของเราที่ยาวนานหลายร้อยปี
ทั้งที่จริงมันไม่เคยมีปรากฏหลักฐานในประวัติศาสตร์เสียด้วยซ้ำ
นี่แหละครับ เรื่องที่น่าเศร้ายิ่งกว่า
ในตำรายาจีนโบราณ มีการระบุถึงพืชที่ใช้รักษาโรค ที่ในปัจจุบันเรียกว่า มาลาเรีย ใว้
เมื่อราว หลายสิบปีก่อน จีนต้องทำสงครามในป่ายาวนาน ทหารจีนล้มตายอย่างมากมาย
แต่ส่วนใหญ่กลับไม่ได้ตายเพราะ การพ่ายแพ้ต่อศัตรูไม่ แต่กลับต้องมาจากไปเพราะโรคมาลาเรีย
รัฐบาลจีน จึงสั่งให้นักวิจัยหญิงของจีนท่านหนึ่ง ไปวิจัย ยารักษามาลาเรีย
สิบกว่าปีต่อมา ยานี้ถูกสกัดออกมาได้สำเร็จ และต่อมามันคือความหวังใหม่ของมนุษยชาติ
ในการรักษามาลาเรีย เนื่องจากยาตัวเก่าเริ่มเกิดอาการดื้อยาแล้ว
นักวิจัยชาวจีนผู้นั้น ได้รับรางวัลโนเบล เมื่อปี 2014
ที่มาของยาตัวนั้น มันมาจากพืช ที่ใช้รักษามาลาเรีย ในตำรายาจีนโบราณ เมื่อพันปีก่อน
หลังจากที่เธอได้พยายามค้นหา ตัวสมุนไพรสำหรับรักษาโรค ในยุคโบราณ เพื่อจำกัดพื้นที่สำรวจ
เธอก็ได้พบว่า สมุนไพรกลุ่มนี้ ถูกระบุในหลายพื้นที่ว่า สามารถรักษามาลาเรียได้
เธอจึงเลือกเอาสมุนไพรหลายๆตัวในตำรา มาทดลอง เมื่อได้พืชที่ต้องการแล้ว
จึงนำมาสกัดดูว่าสารชนิดใดที่เป็นตัวยากันแน่ เพื่อนำมาทดลองให้แน่ชัด
และแล้วสุดท้ายเธอจึงได้ค้พบสารนั้นในพืช และนำมาสกัดเป็นตัวยาสำหรับใช้จริงอีกที
ทั้งหมดนี้ ไม่ง่ายนะครับ กินเวลายาวนานเป็นสิบปี
แต่ระยะเวลาการคัดกรองหลักพันปี ก็ทำให้หลายๆอย่าง มันแน่นอนขึ้น แทนที่จะเริ่มจากการไม่รู้อะไรเลย
การจะเหมาเอาว่า ทั้งหมดดี ทั้งหมดไม่ดี ทั้งหมดจริง ทั้งหมดไม่จริง
จากการพิสูจน์เพียงบางเรื่อง โดยไม่แยกแยะ มันก็ไม่ต่างจากการอ่านหนังสือเพียงหน้าปก แล้วบอกว่า มันห่วย
แต่นี่เรากำลังอ่านประวัติศาสตร์หลายพันปี แล้วสรุปจากสิ่งที่เราเห็นเพียง 1 ชั่วโมง เพื่อตัดสินเวลาพันปีที่ไร้ค่า
แต่เรากลับให้ค่า กับการเห็นวัฒนธรรมจอมปลอม 50 ปี แล้วบอกว่ามันคือ วัฒนธรรมของเราที่ยาวนานหลายร้อยปี
ทั้งที่จริงมันไม่เคยมีปรากฏหลักฐานในประวัติศาสตร์เสียด้วยซ้ำ
นี่แหละครับ เรื่องที่น่าเศร้ายิ่งกว่า
ความคิดเห็นที่ 18
ต้องบอกให้ทราบ ประเด็นที่ จขกท พูดมา ซึ่งอาจจะจริง หรือไม่จริง ตามที่ว่าหรือไม่ก็ตาม
ถ้าในวงการวิชาการนั้น สามารถถกเถียงพูดคุยได้อย่างเสียงดังได้เลย
แต่ถ้าคิดจะพูดให้คนทั่วไปฟัง อาจจะต้องนุ่มนวลกว่านี้หน่อย
ด้วยว่าโมหจริตของมนุษย์นั้นหาได้ถอดถอดกันได้โดยง่ายด้วยการหักดิบในเวลาอันสั้น
ซึ่งถ้าจะทำแบบนั้นก็มีแต่จะเกิดโทสะ และเพิ่นพูนความดราม่าเข้าไปโดยไม่ได้ฟังเหตุผลอะไร
ยกตัวอย่างวิจัยทางการแพทย์ แบบSystematic review (ข้างบนจขกท แอบยกมาหนึ่งย่อหน้า)
ในวงการวิชาการย่อมถือว่ามีความน่าเชื่อถือ ยิ่งกว่าความเห็นของหมอที่เก่งที่สุด
แต่แม้แต่หมอเอง ก็ใช่จะเปลี่ยนแปลงอะไรได้โดยง่าย ถึงจะมีหลักฐานออกมาแล้วก็ต้องเวลาสักพักหนึ่งจึงจะยอมรับและปฏิบัติตามได้
ถ้าเราทราบหลักฐานข้อมูล เราก็แนะนำได้ตามสมควร และแน่นอนว่าก็ต้องพร้อมรับหลักฐานใหม่ๆในอนาคต
และบางครั้งก็อาจต้องมีการ "ให้เห็นโลงศพ จึงจะหลั่งน้ำตา" กันบ้าง
ให้ถือว่าเป็น natural selection อย่างหนึ่ง
ถ้าในวงการวิชาการนั้น สามารถถกเถียงพูดคุยได้อย่างเสียงดังได้เลย
แต่ถ้าคิดจะพูดให้คนทั่วไปฟัง อาจจะต้องนุ่มนวลกว่านี้หน่อย
ด้วยว่าโมหจริตของมนุษย์นั้นหาได้ถอดถอดกันได้โดยง่ายด้วยการหักดิบในเวลาอันสั้น
ซึ่งถ้าจะทำแบบนั้นก็มีแต่จะเกิดโทสะ และเพิ่นพูนความดราม่าเข้าไปโดยไม่ได้ฟังเหตุผลอะไร
ยกตัวอย่างวิจัยทางการแพทย์ แบบSystematic review (ข้างบนจขกท แอบยกมาหนึ่งย่อหน้า)
ในวงการวิชาการย่อมถือว่ามีความน่าเชื่อถือ ยิ่งกว่าความเห็นของหมอที่เก่งที่สุด
แต่แม้แต่หมอเอง ก็ใช่จะเปลี่ยนแปลงอะไรได้โดยง่าย ถึงจะมีหลักฐานออกมาแล้วก็ต้องเวลาสักพักหนึ่งจึงจะยอมรับและปฏิบัติตามได้
ถ้าเราทราบหลักฐานข้อมูล เราก็แนะนำได้ตามสมควร และแน่นอนว่าก็ต้องพร้อมรับหลักฐานใหม่ๆในอนาคต
และบางครั้งก็อาจต้องมีการ "ให้เห็นโลงศพ จึงจะหลั่งน้ำตา" กันบ้าง
ให้ถือว่าเป็น natural selection อย่างหนึ่ง
แสดงความคิดเห็น
เพราะจีนหลงในวิทยาศาสตร์เทียม ฮวงจุ้ย ฝังเข็ม สมุนไพร พลังลมปราณ กำลังภายใน จึงสู้ยุโรปไม่ได้ แม้ไอคิวจะดีกว่า?
อย่างการฝังเข็มนี่หลายสถาบันยืนยันว่าเป็นวิทยาศาสตร์เทียม แต่ก็มีนักวิทยาศาสตร์จีน
พยายามสร้างงานวิจัยยืนยันว่ามันเป็นวิทยาศาสตร์ สร้างงานออกมาจำนวนมากเพื่อพยายามสร้างเครดิตให้กับการฝังเข็ม
แต่จริงๆแล้วมันไม่ใช่แม้จะพยายามอย่างหนักให้มันใช่ก็ไม่ประสพผล
เคยอ่านตำราแพทย์แผนจีน เรื่องการจับชีพจร วิธีการจับซับซ้อนหลายแบบ สามารถบอกอาการโรคได้จำนวนมาก
อ่านไปก็ขำ สงสารอารยธรรมจีนกว่าห้าพันปีกลับยังหลงติดอยู่ในวิทยาศาสตร์เมียม
ยุโรปมาทีหลังแต่เน้นหลักการทางวิทยาศาสตร์ การทดลอง หลักฐานเชิงประจักษ์
จนคนจีนจำนวนมากต้องไปเรียนแพทย์สมัยใหม่ที่ยุโรป อเมริกาเพื่อมารักษาคนจีน
พูดง่ายๆคือก็เพราะการฝังเข็ม สมุนไพร แพทย์แผนจีน พลังลมปราณมันใช้ไม่ได้จริงไง
เห็นตามโรงพยาบาลในไทยมีการฝังเข็มผมก็ไม่รู้จะตลกหรือเสียใจดี
ยังมีอีกมาก ทั้งเรื่องฮวงจุ้ย นี่ก็เป็นวิทย์เทียม ไม่มีหลักการ ปราศจากเหตุผลวิทยาศาสตร์รองรับ
-------
เห็นคนแชร์กันเยอะมาเพิ่มข้อมูลให้
Acupuncture Pseudoscience in the New England Journal of Medicine
วารสารทางการแพทย์ชื่อดังมีชื่อเสียงระดับโลก New England Journal of Medicine บอกว่าการฝังเข็มเป็นวิทยาศาสตร์เทียม
Here is the conclusion quoted from a recent New England Journal of Medicine (NEJM) review article on acupuncture for back pain:
As noted above, the most recent wellpowered clinical trials of acupuncture for chronic low back pain showed that sham acupuncture was as effective as real acupuncture. The simplest explanation of such findings is that the specific therapeutic effects of acupuncture, if present, are small, whereas its clinically relevant benefits are mostly attributable to contextual and psychosocial factors, such as patients’ beliefs and expectations, attention from the acupuncturist, and highly focused, spatially directed attention on the part of the patient.
Translation – acupuncture does not work. Why, then, are the same authors in the same paper recommending that acupuncture be used for chronic low back pain? This is the insanity of the bizarro world of CAM (complementary and alternative medicine). Yesterday David covered the same article, which I had also covered on NeuroLogica, but we both thought this issue important enough to document our thoughts and objections on SBM.
Let’s break down their conclusions a bit. They have reviewed the clinical evidence, as I and others have done before, and found that when real acupuncture is compared to various forms of sham acupuncture (the acupuncture version of a placebo) there is no difference. As I have written many times before – it doesn’t matter where you stick the needles, or even if you stick the needles. Reviews have also concluded that there is no evidence for the mere existence of acupuncture points. Since acupuncture consists of sticking needles in acupuncture points, the only reasonable conclusion from this evidence is that there is no specific effect from acupuncture – acupuncture does not work.
https://www.sciencebasedmedicine.org/nc/