สวัสดีครับ นี้เป็นกระทู้แรกของผม
ถ้ามีสิ่งไหนที่ผิดพลาดก็ต้องขออภัยด้วยนะครับ
ช่วงอากาศร้อนๆแบบนี้ แสงแดดที่ร้อนแสบ สิ่งที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งก็คือ "ครีมกันแดด"
และก็มีอีกคนหลายคนที่ยอมไม่ออกไปไหน อยู่แต่ในห้องแอร์ ซึ่งหลายๆคนคงเข้าใจผิดว่า ถ้าไม่ได้ออกไปที่ไหน ก็ไม่จำเป็นต้องทาครีมกันแดด โดยเฉพาะที่บริเวณใบหน้า แต่คุณรู้หรือไม่ว่ายังมีรังสีที่แผ่มาจากดวงอาทิตย์ที่ทำอันตรายมากกว่ารอยไหม้จากแสงแดด เพราะสามารถทำให้เกิดมะเร็งผิวหนังได้ ซึ่งก็คือรังสี UVA นั่นเอง
ทั้งสองภาพแสดงให้เห็นถึง ผลกระทบของการใช้ครีมกันแดดในแสงที่มองเห็น และรังสี UVA
ภาพด้านขวาเป็นภาพที่ใช้ในการถ่ายภาพรังสีอัลตราไวโอเลต ไม่นานหลังจากที่ทาสารกันแดดถึงครึ่งหนึ่งของใบหน้า เราจะเห็นว่าครึ่งซีกฝั่งซ้านที่ทาครีมกันแดด จะดูดกลืนความหมองล้าไว้ที่เนื้อของครีมกันแดด ส่วนซีกฝั่งขวาความหมองคล้ำจากแสงแดดจะซึมไปยังใบหน้าของเรา
มาทำความรู้กับรังสียูวี
รังสียูวีมีช่วงความยาวคลื่นอยู่ในช่วง 200-400 นาโนเมตร ถูกแบ่งออกเป็น 3 ชนิด ได้แก่ UVA UVB และ UVC แต่จะมีเฉพาะรังสี UVA และ UVB เท่านั้นที่แผ่มาถึงยังพื้นโลก ส่วนรังสี UVC จะถูกสะท้อนกลับในชั้นโอโซน
รังสี UVA และ UVB นี้มีผลเสียต่อสุขภาพของมนุษย์ โดยที่ UVA จะทำให้เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่น ดูแก่กว่าวัย และเป็นสาเหตุของมะเร็งผิวหนัง ส่วนรังสี UVB จะทำให้ผิวหนังไหม้ ซึ่งสามารถป้องกันได้โดยทาครีมกันแดด
ประสิทธิภาพของครีมกันแดดขึ้นอยู่กับค่า SPF ซึงเป็นตัวเลขที่คำนวณจากค่าที่เกี่ยวข้องกับรังสีที่แผ่จากดงอาทิตย์และการป้องกันการดูดกลืนรังสีเหล่านี้ไว้ ซึ่งตัวเลขที่มีค่าสูง ไม่ได้หมายความว่าประสิทธิภาพการป้องกันรังสีUVจะตามไปด้วย ซึ่งในปัจจุบันได้มีข้อกำหนดในการโฆษณาผลิตภัณฑ์ครีมกันแดดว่า ห้ามใช้ตัวเลขที่สูงกว่า SPF 50 เพื่อไม่ให้ผู้บริโภคเข้าใจผิด
จากกราฟจะเห็นได้ว่า เมื่อค่า SPF ที่สูงตั้งแต่ 30 ขึ้นไป จะมีประสิทธิภาพในการป้องกันแสงแดดที่ค่อนข้างจะคงที่ หลายคนคงเคยเห็นครีมกันแดดบางยี่ห้อที่ใส่ค่า SPF50+ , SPF50++ หรือ SPF50+++ เพื่อเป็นจุดขายโน้มน้าวผู้บริโภคนั่นเอง สำหรับคนไทยอย่างเราๆที่ไม่ได้ทำงานกลางแจ้ง ค่า SPF30 ก็เพียงพอแล้วครับ
ส่วนค่า PA จะเป็นค่าที่บ่งบอกถึงการปกป้องผิวจากรังสีUVA ส่วนค่าเครื่องหมาย + จะเป็นความสามารถในการปกป้องผิว โดยวัดเป็นเท่าของการเกิดผิวคล้ำ
จากกราฟจะเห็นได้ว่า
PA+ สามารถป้องกันรังสี UVA ได้ 1-4 เท่าของผิวปกติ หรือป้องกันได้น้อย
PA++ สามารถป้องกันรังสี UVA ได้ 4-8 เท่าของผิวปกติ หรือป้องกันได้ปานกลาง (ทำงานในร่ม)
PA+++ สามารถป้องกันรังสี UVA ได้ 8-16 เท่า หรือป้องกันได้มาก (ทำงานกลางแดด)
PA++++ สามารถป้องกันรังสี UVA ได้ 16 เท่าขึ้นไป หรือป้องกันได้สูงมาก (ทำงานกลางแดดตลอดเวลา)
ค่า PA ยังไม่ใช่ค่าสากล เป็นค่าที่ประเทศญี่ปุ่นคิดค้นขึ้น ดั้งนั้นจึงอาจเห็นผลิตภัณฑ์บางยี่ห้อที่ไม่ได้ระบุค่า PA ไว้ด้วย
คามรู้เบื้องต้นที่ถูกต้อง เกี่ยวกับครีมกันแดด(Sunscreen)
ถ้ามีสิ่งไหนที่ผิดพลาดก็ต้องขออภัยด้วยนะครับ
ช่วงอากาศร้อนๆแบบนี้ แสงแดดที่ร้อนแสบ สิ่งที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งก็คือ "ครีมกันแดด"
และก็มีอีกคนหลายคนที่ยอมไม่ออกไปไหน อยู่แต่ในห้องแอร์ ซึ่งหลายๆคนคงเข้าใจผิดว่า ถ้าไม่ได้ออกไปที่ไหน ก็ไม่จำเป็นต้องทาครีมกันแดด โดยเฉพาะที่บริเวณใบหน้า แต่คุณรู้หรือไม่ว่ายังมีรังสีที่แผ่มาจากดวงอาทิตย์ที่ทำอันตรายมากกว่ารอยไหม้จากแสงแดด เพราะสามารถทำให้เกิดมะเร็งผิวหนังได้ ซึ่งก็คือรังสี UVA นั่นเอง
ทั้งสองภาพแสดงให้เห็นถึง ผลกระทบของการใช้ครีมกันแดดในแสงที่มองเห็น และรังสี UVA
ภาพด้านขวาเป็นภาพที่ใช้ในการถ่ายภาพรังสีอัลตราไวโอเลต ไม่นานหลังจากที่ทาสารกันแดดถึงครึ่งหนึ่งของใบหน้า เราจะเห็นว่าครึ่งซีกฝั่งซ้านที่ทาครีมกันแดด จะดูดกลืนความหมองล้าไว้ที่เนื้อของครีมกันแดด ส่วนซีกฝั่งขวาความหมองคล้ำจากแสงแดดจะซึมไปยังใบหน้าของเรา
มาทำความรู้กับรังสียูวี
รังสียูวีมีช่วงความยาวคลื่นอยู่ในช่วง 200-400 นาโนเมตร ถูกแบ่งออกเป็น 3 ชนิด ได้แก่ UVA UVB และ UVC แต่จะมีเฉพาะรังสี UVA และ UVB เท่านั้นที่แผ่มาถึงยังพื้นโลก ส่วนรังสี UVC จะถูกสะท้อนกลับในชั้นโอโซน
รังสี UVA และ UVB นี้มีผลเสียต่อสุขภาพของมนุษย์ โดยที่ UVA จะทำให้เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่น ดูแก่กว่าวัย และเป็นสาเหตุของมะเร็งผิวหนัง ส่วนรังสี UVB จะทำให้ผิวหนังไหม้ ซึ่งสามารถป้องกันได้โดยทาครีมกันแดด
ประสิทธิภาพของครีมกันแดดขึ้นอยู่กับค่า SPF ซึงเป็นตัวเลขที่คำนวณจากค่าที่เกี่ยวข้องกับรังสีที่แผ่จากดงอาทิตย์และการป้องกันการดูดกลืนรังสีเหล่านี้ไว้ ซึ่งตัวเลขที่มีค่าสูง ไม่ได้หมายความว่าประสิทธิภาพการป้องกันรังสีUVจะตามไปด้วย ซึ่งในปัจจุบันได้มีข้อกำหนดในการโฆษณาผลิตภัณฑ์ครีมกันแดดว่า ห้ามใช้ตัวเลขที่สูงกว่า SPF 50 เพื่อไม่ให้ผู้บริโภคเข้าใจผิด
จากกราฟจะเห็นได้ว่า เมื่อค่า SPF ที่สูงตั้งแต่ 30 ขึ้นไป จะมีประสิทธิภาพในการป้องกันแสงแดดที่ค่อนข้างจะคงที่ หลายคนคงเคยเห็นครีมกันแดดบางยี่ห้อที่ใส่ค่า SPF50+ , SPF50++ หรือ SPF50+++ เพื่อเป็นจุดขายโน้มน้าวผู้บริโภคนั่นเอง สำหรับคนไทยอย่างเราๆที่ไม่ได้ทำงานกลางแจ้ง ค่า SPF30 ก็เพียงพอแล้วครับ
ส่วนค่า PA จะเป็นค่าที่บ่งบอกถึงการปกป้องผิวจากรังสีUVA ส่วนค่าเครื่องหมาย + จะเป็นความสามารถในการปกป้องผิว โดยวัดเป็นเท่าของการเกิดผิวคล้ำ
จากกราฟจะเห็นได้ว่า
PA+ สามารถป้องกันรังสี UVA ได้ 1-4 เท่าของผิวปกติ หรือป้องกันได้น้อย
PA++ สามารถป้องกันรังสี UVA ได้ 4-8 เท่าของผิวปกติ หรือป้องกันได้ปานกลาง (ทำงานในร่ม)
PA+++ สามารถป้องกันรังสี UVA ได้ 8-16 เท่า หรือป้องกันได้มาก (ทำงานกลางแดด)
PA++++ สามารถป้องกันรังสี UVA ได้ 16 เท่าขึ้นไป หรือป้องกันได้สูงมาก (ทำงานกลางแดดตลอดเวลา)
ค่า PA ยังไม่ใช่ค่าสากล เป็นค่าที่ประเทศญี่ปุ่นคิดค้นขึ้น ดั้งนั้นจึงอาจเห็นผลิตภัณฑ์บางยี่ห้อที่ไม่ได้ระบุค่า PA ไว้ด้วย