นิยาย : เล่ห์สรวง : บทที่ 8


เล่ห์สรวง บทที่ผ่านมา
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้




ขอบคุณทุกโหวต ทุกกำลังใจ ทุกจิ้มฟิลลิ่งจากกระทู้ที่แล้ว ขอบคุณขาประจำขาจร นักอ่านแฝงเงาเร้นเงาทุกท่านเช่นเคยนะครับ


จากหัวกระทู้ที่แล้ว : Lady Star 919 ทึ่ง, สมาชิกหมายเลข 1353856 ถูกใจ, GTW ถูกใจ, Inverness ถูกใจ, ออมอำพัน ถูกใจ, turtle_cheesecake ทึ่ง, สมาชิกหมายเลข 868666 ถูกใจ, สมาชิกหมายเลข 1065771 ถูกใจ, เปรียว sixtyone ถูกใจ, สายป่านสีชมพู ทึ่ง และคุณลายลิขิต ทึ่ง

จากความคิดเห็นที่ 1 : Lady Star 919 ถูกใจ, turtle_cheesecake ถูกใจ, สมาชิกหมายเลข 1353856 ถูกใจ, GTW ถูกใจ, Inverness ถูกใจ, ออมอำพัน ถูกใจ, สมาชิกหมายเลข 868666 ถูกใจ, เปรียว sixtyone ถูกใจ, ลายลิขิต ขำกลิ้ง

จากความคิดเห็นที่ 2 : Lady Star 919 ทึ่ง, turtle_cheesecake ทึ่ง, สมาชิกหมายเลข 1353856 ถูกใจ, GTW ทึ่ง, Inverness ถูกใจ, ออมอำพัน ถูกใจ, สมาชิกหมายเลข 868666 ทึ่ง, เปรียว sixtyone ถูกใจ, ลายลิขิต ถูกใจ


ขอบคุณเป็นพิเศษสำหรับทุกความคิดเห็น จากคุณสมาชิกหมายเลข 868666, คุณ GTW,คุณ สมาชิกหมายเลข 1353856 และคุณออมอำพัน ตอบความคิดเห็นไว้ในกระทู้ที่แล้วนะครับ http://ppantip.com/topic/34940642

***********************************************************************



ว่าด้วยฉากสำคัญในเรื่อง “เล่ห์สรวง”

อันที่จริง ศาลาท่าน้ำวัดดาวดึงส์ เคยปรากฏครั้งหนึ่งในเรื่อง “ร่างนางรำ” บทที่ ผีนางรอมเปญมานั่งร้องไห้รอสัตยาพระเอกของเรื่อง ตอนเริ่มเจอกันครั้งแรก  คราวนั้นชื่อวัดดาวดึงส์ได้มีในเรื่องเพราะทำเลเหมาะกับจังหวะหลังจากสัตยาไปสวนอัมพร แล้วล่องเรือกลับบ้านพักแถวคลองบางกอกน้อย แต่ก่อนตอนยังไม่มีสะพานพระราม 8 บรรยากาศแถวนั้น บรึ๋ยมากๆ ครับ


(ปกร่างนางรำ นิยายเล่มล่าสุดของผู้เขียน ยังพอหาได้มังครับ)


วัดดาวดึงส์ (เลี่ยงสะกดชื่อให้ไม่ตรงกับชื่อวัดจริงๆ เนอะ) ใน “ร่างนางรำ” เป็นวัดเดียวทำเลเดียวกับใน “เล่ห์สรวง” เรื่องนี้ละครับ ด้วยว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันอยู่กับสวรรค์สองสามชั้น และทางพุทธอย่างที่ในเรื่องกล่าวไว้ ว่า ท้าวจตุมหาราชทั้งสี่ ผู้ครองสวรรค์ชั้นแรก ชั้นจตุมหาราชิกา ร่วมกันนั้น มีหน้าที่สำคัญคือ จดบัญชีความดีความชั่วของผู้คนในทิศต่างๆ ทุกวันพระแปดค่ำสิบห้าค่ำ เพื่อเก็บไว้ชำระความกับเมื่อตายไปแล้ว  ส่วนพระยม หรือพระยมราช หรือพระธรรมราช นั้นเป็นเทวดาชั้นสูงกว่าคือเป็นในกลุ่มดาวดึงส์เทวัญ อันมีพระอินทร์เป็นหัวหน้าใหญ่ พระยมเป็นหนึ่งในอีกสามสิบสององค์ที่เหลือ (ดาวดึงส์-ตาวตึงส์ แปลว่า สามสิบสาม) ด้วยเหตุความเหมาะที่ชื่อพ้อง และน่าจะมีอะไรให้เขียนสนุกได้มาก วัดดาวดึงส์จึงเป็นฉากสำคัญในเรื่อง “เล่ห์สรวง”


วัดดาวดึงส์ฉากในเรื่องเล่ห์สรวง (1)

วัดดาวดึงส์ฉากในเรื่องเล่ห์สรวง (2)

วัดดาวดึงส์ฉากในเรื่องเล่ห์สรวง (3)
ขอบคุณภาพและข้อมูล และอ่านรายละเอียดที่มาที่ไปวัดดาวดึงษาราม พระอารามหลวงได้จากลิงค์นี้ครับ
http://www.oknation.net/blog/surasakc/2010/06/11/entry-1


กระนั้น นิยายก็คือนิยายครับ ตอนคนเขียนเขียน “บ่วงอุรคา” แล้วสร้างฉากใหญ่โตแถวคูบัว ถ้ำฤษี ถ้ำเขางู เทือกเขาดราก้อนฮิลล์ นั้นเคยถูกเมล์มาเตือนครั้งหนึ่งว่ากำลังปลอมประวัติศาสตร์ (ฮานะ) ก็บอกไปว่าผมเขียนนิยายครับ ประกาศชัดว่า “บ่วงอุรคา” เป็นนิยาย “อ่านเอาสนุก” เถิดตราบใดที่ข้อมูลที่สร้างสวมพื้นที่จริงๆ ไม่ได้ทำร้ายทำลายหรือกระทบกระเทือนความเชื่อหรือความเป็นอยู่ของใครหรือถิ่นฐานใด

(บ่วงอุรคา นิยายเรื่องที่สองของผู้เขียน คุ้ยๆ เอาตามกองลดราคาได้แล้วครับ)


ดังนั้น หากจะว่ากันตามแผนผัง ตรอกซอกซอยวัดดาวดึงส์ วัดบางยี่ขัน และลอดใต้สะพานพระปิ่นเกล้ามาฝั่ง วัดดุสิต ล้วนตรงตามจริงครับ ที่ไม่จริงมีอย่างเดียว... หุหุหุ  (ดาวดึงส์เป็นสวรรค์กามาพจรชั้นที่2 ส่วนดุสิต เป็นสวรรค์กามาพจรชั้นที่4 ครั้ง ชั้นที่ 6 ไม่รู้ไปเป็นชื่อวัดไหน แต่สวรรค์ชั้น 5  เป็นชื่อวัดนิมมานรดี แถวบางแคครับ)

ส่วนที่ผู้เขียนสร้างขึ้นมาจากจินตนาการคือ ศาลอัมรินทร์... ก็ไหนๆ เป็นวัดดาวดึงส์ จะมีศาลพระอินทร์ก็ไม่น่าแปลกแต่อย่างใดกระมัง องค์อัมรินทร์ ผู้เขียนไม่ได้ใช้พื้นจิ้น-จินตนาการจากเทวรูปพระอินทร์หน้าห้างอัมรินทร์พลาซ่า ตรงสี่แยกมหาเทพนั่นนะครับ

อมรินทราธิราช หน้าอมรินทร์พลาซ่า (ใกล้พระพรหมเอราวัณ)


แต่ใช้แนวเป็นองค์เทวาทางพุทธ ทางไทย อย่างที่วัดทั่วไปนิยมตั้งไว้ให้สักการะบูชา ซึ่งหมู่เทวาตามจินตนาการผู้เขียนนั้น ใช้แนวจากเทวรูปองค์อินทร์และท้าวมหาราชิกา จากวัดจุฬามณี สมุทรสงครามครับ (จุฬามณีคือชื่อเจดีย์บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เป็นที่บรรจุพระเมาฬี(มวยผม) คราวสิทธัตถะปลงเกศาออกผนวช และพระเขี้ยวแก้วตอนโทณพราหมณ์ตวงพระธาตุหลังเผาสรีระพระพุทธเจ้าแล้วสองสิ่งพระอินทร์เป็นคนไปนำมาบรรจุไว้ ณ ห้วงสวรรค์)

ท้าวเวสุวรรณเทวา ผู้ดูแลทิศเหนือ ภาคเทวดา

นี้เป็นขนาดองค์และองค์ท่านตามจินตนาการในเรื่องครับ ก็พอแบกไหวนะ


ท้าวเวสุวรรณ(กุเวร) ท้าวธตรัฐ(ธตรส) และท่านอื่นๆ จะทยอยเล่าสู่กันฟังในบทต่อๆ ไปครับ


ขอบคุณเครดิตภาพทุกภาพจากกูเกิ้ลครับผม

ติดตาม เล่ห์สรวง บทต่อไปได้เลยครับ

****************************************************************

เล่ห์สรวง





บทที่ 8




เพราะสุธีร์เอ่ยปากไปดังนั้น รวมทั้งไม่ยอมให้ตนเองเสียคำพูด หรือถูกด่าว่าหมิ่นหยามไปถึงผู้เป็นบิดามากไปกว่านั้น เขาจึงนัดหมายบรรดาเพื่อนใหม่ ให้มารอในห้องหนังสือที่บ้านตน บอกนางเปลี่ยนผู้เป็นภรรยาว่า จะมีการถกตำรา วิเคราะห์เนื้อหาวิชาที่เพิ่งได้ร่ำเรียน อาจจะต้องดึกดื่นกันสักหน่อย ก็ไม่ต้องประหลาดใจ

และด้วยเหตุที่เรื่องราวการวัดใจกันครั้งนี้ ฉิวเฉียดอยู่กับการทำผิดกฎหมายบ้านเมือง จำเป็นต้องรอเวลาให้ดึกสงัด ทำให้ผู้มายืนแอบเงาอยู่ชิดผนังศาลอัมรินทร์ ใจเต้นไม่เป็นส่ำ ทั้งตื่นเต้น ทั้งหวาดกลัว ทั้งหวั่นใจ เกรงว่าจะมีใครมาพบเห็นเข้าเสียก่อน

“เอาซีวะ! เป็นยังไงก็เป็นกัน ไอ้สุธีร์คนนี้ ฆ่าได้หยามไม่ได้ คนอย่างข้า ไม่มีวันไปลาหมาบวชหรอกน่า ต้องพวกเอ็งนั่นละ จะต้องเรียกข้าว่าลูกพี่”

สุธีร์พยายามให้กำลังใจตนเอง ทั้งที่ แม้เพียงสายลมรำเพยมาวูบหนึ่ง แล้วกระดิ่งลมตามชายคาลั่นกรุ๋งกริ๋ง เขาก็ตัวสั่นใจสั่น แข้งขาสั่นเหงื่อกาฬแตกพลั่กเต็มไปหมด

นั่งทำใจอยู่อีกครู่ใหญ่ ก็รวบรวมแรงใจทั้งหมด ทำเป็นฮึกเหิมผลักบานประตูหน้าศาลอัมรินทร์เข้าไป

บรรยากาศภายในยิ่งวังเวง ความเงียบสงัด ที่ระคนอยู่กับกลิ่นธูปควันเทียนยังเหลือค้าง สร้างความขนพองสยองเกล้าให้กับเขาอย่างไม่น่าเชื่อ กระนั่นชายหนุ่มก็ยังกล้ำกลืนฝืนใจ บังคับให้ขาตัวเอง ค่อยก้าวเข้าไปยังจุดมุ่งหมาย

ระหว่างสืบเท้าเข้าไป จะหลับตาก็กลัวมองไม่เห็น จึงได้แต่ก้มหน้างุด ด้วยเกรงจะเผลอสบสายตากับบรรดารูปองค์เทวดาอื่นๆ

สุธีร์ปลดเชือกป่านทั้งม้วนที่คล้องไหล่ เอามาถือไว้ เพราะคิดจะร่นเวลา ยิ่งทำการได้รวบรัดเท่าไหร ก็จะได้รีบไปจากที่นี้ได้เร็วเท่านั้น

กระทั่งเมื่อมาหยุดอยู่ตรงหน้าเทวรูปขององค์ท้าวเวสุวรรณ เขาก็ถึงกับเข่าอ่อน เพราะเคยเห็นจริงๆ ว่าท่านกะพริบตาและสำแดงปาฏิหาริย์ขับไล่ไอ้วายร้ายนั่น แล้วมีหรือจะไม่รับรู้สิ่งที่ตนเองกำลังกระทำ

สุธีร์ถือโอกาสตอนยังลุกไม่ขึ้น กราบกรานองค์เทพอีกหลายตลบ พร้อมเอ่ยปากหว่านล้อมให้เห็นใจกันสักนิด

“ท่านท้าวเวสุวรรณ นี้เป็นลูกช้างเองนะขอรับ ไอ้สุธีร์ ประจักษ์คำ ที่ปวารณาตัวขอเป็นลูกช้างของท่านตราบจนชีวิตจะหาไม่...”

เขาเผลอสบตากับเทวรูปโลหะองค์กลวงเข้าจนได้ แล้วก็ต้องรีบหลบสายตา เพราะรู้สึกว่า ถูกจ้องหน้าเขม็งอยู่ตั้งแต่แรก

“...กระผมจะขออัญเชิญ แบกองค์ท่านไปบ้านสักประเดี๋ยว ขอโปรดจงให้อภัยไว้ล่วงหน้า และ... เอ่อ... ลูกช้างขอสัญญาว่า เมื่อไปถึงแล้ว จะถวายเหล้าขาวขวดหนึ่งทันที ส่วนหัวหมูเป็ดไก่... เอ่อ... ลูกช้างก็สัญญาจะหามาบูชาไม่ให้ขาดตกบกพร่อง เพียงแต่... เอ่อ...”

คำท้ายๆ เขายิ่งตะกุกตะกัก หวั่นใจนักว่า น่าจะเป็นการไม่เหมาะสมแน่ๆ แต่ก็จนปัญญาจะเจรจาเป็นอย่างอื่น จึงต้องพูดต่อไปว่า

“...เพียงแต่ หมูเห็ดเป็ดไก่นั้น คงจะต้องขอติดไว้ก่อน... นะ... ขอรับ...”

เขายิ้มเขินๆ ให้กับเทวรูปครั้งหนึ่งพร้อมชู เชือกป่านขดใหญ่ให้ดู พยายามบอกเป็นนัยๆ ว่า อย่างไรเสียตนก็แบกท่านไหวและไปได้ตลอดรอดฝั่งแน่ๆ

หลังจากผูกรัดแน่นหนาแล้ว ครั้งแรกที่แบกเทวรูปท้าวเวสุวรรณขนาดหน้าตักร่วมสองศอกขึ้นหลัง นั่นแทบก้าวขาไม่ออก ถึงกับต้องเอ่ยปากอธิษฐานอีกคราว

“สาธุๆ ๆ เถิดท่านท้าวเวสุวรรณ ช่วยลูกช้างอีกสักครั้ง ช่วยดลบันดาลให้องค์ท่านเบากว่านี้สักหลายๆ ชั่งจะได้หรือไม่... ที่ลูกช้างกระทำลงไปนี้ เพราะห่วงพ่อจะถูกเขาดูถูก ไม่ได้หวังว่าลูกช้างจะได้หน้าได้ตาเลยจริงๆ”

และไม่รู้ว่าเพราะองค์เทวาแห่งชั้นมหาราชิกาสวรรค์ จะเชื่อคำกล่าวนั้นหรือไม่ก็ตาม อยู่ๆ ก็มีเสียงฟ้าลั่นคำรามครืน ก่อนสายฝนจะสายลงมากะทันหัน ทำให้สุธีร์ลืมเรื่องน้ำหนักของเทวรูปโลหะได้ชั่วคราว ตอนที่แบกท่านวิ่งหนีฝน ลัดผ่านท้ายตรอก กลับมายังห้องเขียนหนังสือ


(มีต่อความคิดเห็นที่ 1)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ  แต่งนิยาย นิยายออนไลน์
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่