ข้อแตกต่างระหว่าง DC Comics กับ Marvel Comics คืออะไร ?
ถ้าไม่นับความจริงที่ว่า DC นั้นมีมาก่อน Marvel ประมาณ 5 ปี ซึ่งนั่นหมายถึงการได้บุกเบิกตลาดการ์ตูนของอเมริกาก่อน และได้เป็นขวัญใจนักอ่านอเมริกันชนก่อนหน้าที่ Marvel จะได้ลุยตลาดการ์ตูน Superhero อย่างจริงจัง ตัวละครของฝั่ง DC นั้นจึงมีตัวละครดังๆที่ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของซุปเปอร์ฮีโร่อย่าง Superman และ Batman ที่แค่พูดชื่อขึ้นมาก็เชื่อว่าคนเกือบทั้งโลกนั้นต่างรู้จักกันเป็นอย่างดี แต่ถ้าจะพูดถึงความแตกต่างในมุมมองของคอการ์ตูนแล้วนั้น สิ่งที่ต่างกันอย่างชัดเจนระหว่างตัวละครซุปเปอร์ฮีโร่ของ DC กับทางฝั่งของ Marvel นั่นคือ ตัวฮีโร่ของทางฝั่ง DC จะมีความเป็นฮีโร่อย่างสุดโต่งมากกว่า อาทิเช่น มีความเก่งแบบไร้ที่ติ มีพลังพิเศษที่เก่งกาจไร้เทียมทานประหนึ่งว่าเป็นพระเจ้าเลยก็ว่าได้ ทำให้ตัวละครฮีโร่ของ DC มักจะแตกต่างจากฮีโร่ของทางฝั่ง Marvel ที่จะมีความใกล้เคียงกับความเป็นคนมากกว่า คือมีชีวิตประจำวันที่ธรรมดา ต้องออกไปทำงานหาเงิน ฯลฯ อะไรอย่างนี้เป็นต้น ซึ่งทำให้ต่อมาทาง DC จึงพยายามเพิ่มข้อด้อยหรือจุดอ่อนลงไปในตัวละครฮีโร่ของตน ทำให้ฮีโร่ที่เก่งเสียทุกอย่าง กลายเป็นมีข้อบกพร่องและเพอร์เฟกต์ มีมุมที่อ่อนแอ และมีมิติความเป็นมนุษย์มากขึ้น ซึ่งนั่นคือแกนเนื้อเรื่องหลักของ Batman V Superman : Dawn of Justice
มนุษย์เราเป็นสิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอ ทั้งทางร่างกายและจิตใจ เรามีความลังเลที่สับสนระหว่างความศรัทธาและความกลัว มีความอ่อนแอที่จะยึดมั่นในความดีและความชั่ว หลังจากเหตุการณ์การรุกรานของ General Zod มนุษย์ทุกคนก็พากันยกย่อง Superman ว่าเปรียบเสมือนดั่งพระเจ้าของพวกเค้า ทุกคนพากันเชื่อว่า เขาคือคนที่แข็งแกร่งไร้เทียมทานที่และจะปกป้องมนุษย์เราจากทุกสิ่งที่มารุกราน สิ่งที่ Superman แบกรับนั้นย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย รวมไปถึงความลึกเกินกว่าจะหยั่งถึงของจิตใจมนุษย์ที่เขาต้องพบเจอในชีวิตแต่ละวัน แม้ว่าเราจะฝากความหวังไว้กับความแข็งแกร่ง แต่ในทางกลับกันเราก็มักจะเกรงกลัวในสิ่งที่เราไม่รู้ และรู้สึกถึงความไม่ไว้ใจในสิ่งที่เราไม่สามารถควบคุมมันเอาไว้ได้ ความโลภและความเห็นแก่ตัวเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับมนุษย์เรามานานและนั่นคือสิ่งที่ Superman ต้องยอมรับกับเฉดสีของมนุษย์ที่อยู่รอบๆตัวเขา Batman V Superman จึงนำเสนอมุมมองในด้านที่แสดงออกถึงความเป็นคนของ superhero 2 คนนี้ โดยเฉพาะ Superman ที่ต้องแบกรับความซับซ้อนทางอารมณ์ไว้มากมาย ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วชื่นชอบการถ่ายทอดมุมมองนี้ของ Superman มากๆ ส่วนทางด้านของ Batman ที่เป็นตัวแทนของด้านมืด ซึ่งต้องขอบอกไว้ก่อนว่านี่คือ Batman ในฉบับของ Frank Miller ที่เป็นคนเขียนเรื่อง 300 และ Sin City เพราะฉะนั้น Batman คนนี้จึงเป็นตัวตนที่ต่อยอดมาจาก Dark Knight ที่ปกคลุมไปด้วยความมืด ความหม่นหมอง และอารมณ์ที่กร้าวร้าวรุนแรง ที่สำคัญหนังเรื่องนี้ยังคงเสน่ห์ต้นแบบของ original design ในแบบของ Frank Miller ไว้ได้อย่างดี ไม่ว่าจะเป็นฉาก ชุด รวมไปถึงโทนของภาพและเนื้อเรื่อง ที่ทำให้เรารับรู้ได้ว่าท้องฟ้าบนโลกของเรานั้นปกคลุมไปด้วยเมฆสีเทาดำที่ทอดยาวปกคลุมไปทั่วทั้งฟ้าเสมอ และที่นี่ก็ไม่ได้มีที่ว่างพอสำหรับคนที่คิดฝันว่าโลกจะต้องปลอดภัยและท้องฟ้าจะแจ่มใสอยู่ตลอดเวลา
การดำเนินเรื่องของ Batman V Superman : Dawn of Justice เริ่มจากการให้คนดูค่อยๆรับรู้ถึงอารมณ์ที่หลากหลายภายในใจของมนุษย์ และความเป็นไปของตัวละคร ซึ่งแน่นอนว่าถ้าใจไม่รักจริงและไม่เปิดใจให้กว้าง การที่ต้องทนนั่งดูในตอนต้นของเรื่อง ก็อาจจะทำให้เบื่อเอาง่ายๆ แต่ถ้าหากเรามองว่า superhero นั้นไม่ใช่ god ไม่ใช่คนที่เกิดมาเพื่อแบกรับทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อเราโดยที่จะไม่รู้สึกอะไร เราก็จะได้เห็นอีกมิติหนึ่งของหนังที่ต้องการนำเสนอ เพราะว่านี่คือ DC ไม่ใช่ Marvel นี่ไม่ใช่หนังที่ขายความคูลและความตลกของ superhero ด้วยโทนหนังที่ออกแนวเทาๆหม่นๆและแทบจะไม่มีฉากอะไรที่ทำมาเพื่อให้เราได้หัวเราะบ้างเลย หนังเรื่องนี้ได้เทน้ำหนักแทบทั้งหมดไปกับการรชักจูงคนดูให้เข้าถึงตัวตนและอารมณ์ของตัวละครทีละตัวๆ ไปพร้อมๆกับความรุนแรงจะค่อยๆคืบคลานเข้ามา จนกระทั่งได้เริ่มต้นขึ้น จนก่อให้เกิดความสูญเสีย และความเสียหายอย่างประเมินค่าไม่ได้ หนังเรื่องนี้ยังมาพร้อมกับอารมณ์ดราม่าในระดับที่ไม่มากจนเกินไป เคียงคู่มากับฉาก CG ที่อลังการและยิ่งใหญ่ตามของ Zack Snyder จึงทำให้ 151 นาทีของ Batman V Superman : Dawn of Justice เป็นหนังที่คุ้มค่าสำหรับคนที่ “เข้าใจ” และรับรู้ได้ว่า “รุ่งอรุณของ DC ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว”
ฝาก blog รีวิวหนังแบบไม่สปอยล์เนื้อเรื่องด้วยครับ :
https://nospoil.wordpress.com/
ฺBatman V Superman และ รุ่งอรุณของ DC Comics
ข้อแตกต่างระหว่าง DC Comics กับ Marvel Comics คืออะไร ?
ถ้าไม่นับความจริงที่ว่า DC นั้นมีมาก่อน Marvel ประมาณ 5 ปี ซึ่งนั่นหมายถึงการได้บุกเบิกตลาดการ์ตูนของอเมริกาก่อน และได้เป็นขวัญใจนักอ่านอเมริกันชนก่อนหน้าที่ Marvel จะได้ลุยตลาดการ์ตูน Superhero อย่างจริงจัง ตัวละครของฝั่ง DC นั้นจึงมีตัวละครดังๆที่ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของซุปเปอร์ฮีโร่อย่าง Superman และ Batman ที่แค่พูดชื่อขึ้นมาก็เชื่อว่าคนเกือบทั้งโลกนั้นต่างรู้จักกันเป็นอย่างดี แต่ถ้าจะพูดถึงความแตกต่างในมุมมองของคอการ์ตูนแล้วนั้น สิ่งที่ต่างกันอย่างชัดเจนระหว่างตัวละครซุปเปอร์ฮีโร่ของ DC กับทางฝั่งของ Marvel นั่นคือ ตัวฮีโร่ของทางฝั่ง DC จะมีความเป็นฮีโร่อย่างสุดโต่งมากกว่า อาทิเช่น มีความเก่งแบบไร้ที่ติ มีพลังพิเศษที่เก่งกาจไร้เทียมทานประหนึ่งว่าเป็นพระเจ้าเลยก็ว่าได้ ทำให้ตัวละครฮีโร่ของ DC มักจะแตกต่างจากฮีโร่ของทางฝั่ง Marvel ที่จะมีความใกล้เคียงกับความเป็นคนมากกว่า คือมีชีวิตประจำวันที่ธรรมดา ต้องออกไปทำงานหาเงิน ฯลฯ อะไรอย่างนี้เป็นต้น ซึ่งทำให้ต่อมาทาง DC จึงพยายามเพิ่มข้อด้อยหรือจุดอ่อนลงไปในตัวละครฮีโร่ของตน ทำให้ฮีโร่ที่เก่งเสียทุกอย่าง กลายเป็นมีข้อบกพร่องและเพอร์เฟกต์ มีมุมที่อ่อนแอ และมีมิติความเป็นมนุษย์มากขึ้น ซึ่งนั่นคือแกนเนื้อเรื่องหลักของ Batman V Superman : Dawn of Justice
มนุษย์เราเป็นสิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอ ทั้งทางร่างกายและจิตใจ เรามีความลังเลที่สับสนระหว่างความศรัทธาและความกลัว มีความอ่อนแอที่จะยึดมั่นในความดีและความชั่ว หลังจากเหตุการณ์การรุกรานของ General Zod มนุษย์ทุกคนก็พากันยกย่อง Superman ว่าเปรียบเสมือนดั่งพระเจ้าของพวกเค้า ทุกคนพากันเชื่อว่า เขาคือคนที่แข็งแกร่งไร้เทียมทานที่และจะปกป้องมนุษย์เราจากทุกสิ่งที่มารุกราน สิ่งที่ Superman แบกรับนั้นย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย รวมไปถึงความลึกเกินกว่าจะหยั่งถึงของจิตใจมนุษย์ที่เขาต้องพบเจอในชีวิตแต่ละวัน แม้ว่าเราจะฝากความหวังไว้กับความแข็งแกร่ง แต่ในทางกลับกันเราก็มักจะเกรงกลัวในสิ่งที่เราไม่รู้ และรู้สึกถึงความไม่ไว้ใจในสิ่งที่เราไม่สามารถควบคุมมันเอาไว้ได้ ความโลภและความเห็นแก่ตัวเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับมนุษย์เรามานานและนั่นคือสิ่งที่ Superman ต้องยอมรับกับเฉดสีของมนุษย์ที่อยู่รอบๆตัวเขา Batman V Superman จึงนำเสนอมุมมองในด้านที่แสดงออกถึงความเป็นคนของ superhero 2 คนนี้ โดยเฉพาะ Superman ที่ต้องแบกรับความซับซ้อนทางอารมณ์ไว้มากมาย ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วชื่นชอบการถ่ายทอดมุมมองนี้ของ Superman มากๆ ส่วนทางด้านของ Batman ที่เป็นตัวแทนของด้านมืด ซึ่งต้องขอบอกไว้ก่อนว่านี่คือ Batman ในฉบับของ Frank Miller ที่เป็นคนเขียนเรื่อง 300 และ Sin City เพราะฉะนั้น Batman คนนี้จึงเป็นตัวตนที่ต่อยอดมาจาก Dark Knight ที่ปกคลุมไปด้วยความมืด ความหม่นหมอง และอารมณ์ที่กร้าวร้าวรุนแรง ที่สำคัญหนังเรื่องนี้ยังคงเสน่ห์ต้นแบบของ original design ในแบบของ Frank Miller ไว้ได้อย่างดี ไม่ว่าจะเป็นฉาก ชุด รวมไปถึงโทนของภาพและเนื้อเรื่อง ที่ทำให้เรารับรู้ได้ว่าท้องฟ้าบนโลกของเรานั้นปกคลุมไปด้วยเมฆสีเทาดำที่ทอดยาวปกคลุมไปทั่วทั้งฟ้าเสมอ และที่นี่ก็ไม่ได้มีที่ว่างพอสำหรับคนที่คิดฝันว่าโลกจะต้องปลอดภัยและท้องฟ้าจะแจ่มใสอยู่ตลอดเวลา
การดำเนินเรื่องของ Batman V Superman : Dawn of Justice เริ่มจากการให้คนดูค่อยๆรับรู้ถึงอารมณ์ที่หลากหลายภายในใจของมนุษย์ และความเป็นไปของตัวละคร ซึ่งแน่นอนว่าถ้าใจไม่รักจริงและไม่เปิดใจให้กว้าง การที่ต้องทนนั่งดูในตอนต้นของเรื่อง ก็อาจจะทำให้เบื่อเอาง่ายๆ แต่ถ้าหากเรามองว่า superhero นั้นไม่ใช่ god ไม่ใช่คนที่เกิดมาเพื่อแบกรับทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อเราโดยที่จะไม่รู้สึกอะไร เราก็จะได้เห็นอีกมิติหนึ่งของหนังที่ต้องการนำเสนอ เพราะว่านี่คือ DC ไม่ใช่ Marvel นี่ไม่ใช่หนังที่ขายความคูลและความตลกของ superhero ด้วยโทนหนังที่ออกแนวเทาๆหม่นๆและแทบจะไม่มีฉากอะไรที่ทำมาเพื่อให้เราได้หัวเราะบ้างเลย หนังเรื่องนี้ได้เทน้ำหนักแทบทั้งหมดไปกับการรชักจูงคนดูให้เข้าถึงตัวตนและอารมณ์ของตัวละครทีละตัวๆ ไปพร้อมๆกับความรุนแรงจะค่อยๆคืบคลานเข้ามา จนกระทั่งได้เริ่มต้นขึ้น จนก่อให้เกิดความสูญเสีย และความเสียหายอย่างประเมินค่าไม่ได้ หนังเรื่องนี้ยังมาพร้อมกับอารมณ์ดราม่าในระดับที่ไม่มากจนเกินไป เคียงคู่มากับฉาก CG ที่อลังการและยิ่งใหญ่ตามของ Zack Snyder จึงทำให้ 151 นาทีของ Batman V Superman : Dawn of Justice เป็นหนังที่คุ้มค่าสำหรับคนที่ “เข้าใจ” และรับรู้ได้ว่า “รุ่งอรุณของ DC ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว”
ฝาก blog รีวิวหนังแบบไม่สปอยล์เนื้อเรื่องด้วยครับ :
https://nospoil.wordpress.com/