พอดีวันนี้ได้คุยกับผู้ใหญ่ท่านหนึ่งแบบเรื่อยเปื่อยจนได้คุยเรื่องอุบัติเหตุข่าวดังแล้วก็เรื่องวินัยจราจรในบ้านเรา
ท่านบอกว่าใบขับขี่บ้านเรามันไม่ขลังได้มาง่ายเกินไป ก็เลยนั่งโม้กันไปจนได้ไอเดียออกมาประมาณนี้
ซึ่งท่านบอกว่าถ้ามีโอกาสได้เจอผู้ใหญ่ในสายงานขนส่งอาจจะลองแหย่ๆไอเดียนี้ดู
แล้วสมาชิกพันทิปล่ะครับ มีความเห็นไอเดียนี้อย่างไร ผมลองเอามาเผยแพร่ทางโซเชี่ยลดู
เผื่อเป็นการจุดประกายให้หน่วยงานที่เกี่ยว
- การอบรมและทดสอบร่างกายให้คงไว้เหมือนเดิม
- การอบรมต้องเปิดสถานที่อบรมให้พอเพียงโดยเพิ่มเจ้าหน้าที่
หรือเชิญตำรวจจราจรมาเป็นวิทยากรถ้าบุคลากรของกรมขนส่งฯไม่พอ
- หาสถานที่อบรมเพิ่มเช่นตามสถานศึกษาต่างๆมีเปิดอบรมในวันหยุดด้วย
ประชาชนจะได้ไม่ต้องลางานไปทำใบขับขี่หลายรอบ
- ยกเลิกสอบปฏิบัติแบบเดิมที่ให้ขับในสนามโชว์สกิลถอยรถ
- การสอบปฏิบัติ บังคับให้ทุกคนเรียนหลักสูตรขับรถออกถนนอย่างน้อย8ชั่วโมง
โดยเรียนที่โรงเรียนของขนส่งหรือโรงเรียนสอนขับรถทั่วไปที่ได้รับรองจากทางกรม
และเก็บค่าเรียนให้เหมาะสมไม่สูงเกินไป (เชื่อว่าคนที่ซื้อรถได้ต้องจ่ายค่าเรียนได้)
ถ้าคนที่ขับรถเป็นแล้วหรือมีพื้นฐานดีอยู่ให้มีหลักสูตรทบทวนออกถนนจริง2ชั่วโมง
- หลังจากจบหลักสูตรนี้จะได้วุฒิ"ผู้สำเร็จหลักสูตรขับขี่พื้นฐาน"
คนที่ไม่มีรถสามารถนำวุฒินี้ไปประกอบการซื้อรถได้ โดยมีกำหนด1ปี
- คนที่มีรถอยู่แล้วหรือเพิ่งซื้อรถนำวุฒิไปรับชุดสอบใบขับขี่ภาคปฏิบัติตัวจริงที่สถาบัน
ที่ออกวุฒิให้ โดยในชุดสอบประกอบด้วย บัตรประจำตัวผู้สอบ
ป้ายสติกเกอร์สำหรับติดหน้ารถ-ท้ายรถระบุว่า "ผู้ฝึกขับขี่" และเลขรหัส6ตัว
สามตัวแรกรหัสสถาบันสามตัวหลังรหัสผู้สอบ โดยสถาบันจะเป็นผู้ติดให้
ซึ่งจะมีสองชั้นพร้อมตราประทับป้องกันการลอกออกโดยพละการ
- หลังจากนั้นรถและผู้สอบสามารถออกไปใช้ถนนได้เลยโดยผู้ให้คะแนนคือ
เพื่อนร่วมทางและตำรวจจราจร
- หลักการให้คะแนนคือมีคะแนนในระบบ100คะแนน คะแนนจะถูกตัดเมื่อ...
ทำผิดกฏจราจรในความผิดต่างๆ หรือทำผิดต่อเพื่อนร่วมทางทำให้เกิดหรืออาจเกิดอันตราย
ต่อเพื่อนร่วมทางซึ่งเพื่อนร่วมทางสามารถส่งข้อมูลหลักฐานการทำผิดเช่นไฟล์ภาพหรือคลิปไปยังขนส่งฯ
หรือสถาบันที่ผู้สอบสังกัดเพื่อตัดคะแนนย้อนหลัง
- หากถูกตำรวจจราจรจับต้องเสียค่าปรับตามปกติและถูกตัดคะแนน
- ระยะในการสอบคือ5สัปดาห์หรือ35วัน
- หลังครบกำหนดนำบัตรประจำตัวไปประเมินผลการสอบที่สถาบันต้นสังกัด
- สมมุติเกณฑ์ผ่านคือ70คะแนน ถ้าไม่ผ่านต้องสอบใหม่ ถ้าผ่านสถาบันออกใบรับรองให้
- นำใบรับรองไปทำใบขับขี่ตัวจริงที่ขนส่งฯได้เลย
- การต่ออายุใบขับขี่ครั้งแรก2ปีครั้งต่อไปคราวละ5ปี ให้อบรมครั้งละ3ชั่วโมง
เพื่ออัพเดตความรู้ทบทวนกฏจราจรและกระตุ้นจิตสำนึก
- ภาครัฐต้องทำให้การใช้ใบขับขี่มีความสำคัญมากขึ้นเช่นขับรถเข้าสถานที่ราชการ
ต้องมีใบขับขี่แสดง บาดเจ็บจากอุบัติเหตุขับขี่หากไม่มีใบขับขี่นอกจากประกันไม่คุ้มครอง
ยังไม่สามารถใช้สิทธ์เบิกค่ารักษาใดๆจากภาครัฐได้
ข้อดีของการสอบใบขับขี่แบบใหม่
- ยากขึ้นใช้เวลานานขึ้น คัดกรองผู้ขับขี่หน้าใหม่ได้ดีเข้มงวดมากขึ้น
- ช่วยลดความแออัดของประชาชนที่ไปติดต่อขอทำใบขับขี่ที่ขนส่งฯ
เพราะคนที่ไปติดต่อคือคนที่ไปขอทำบัตรเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องไปตั้งแต่ขั้นตอนแรก
- ผู้ที่ได้ใบขับขี่คือคนที่มีพื้นฐานการขับดีในระดับหนึ่ง ไม่ใช่พวกที่ไปหัดถอยเข้าถอยออก
ตามริมถนนแล้วไปสอบผลคือได้ผู้ขับขี่ที่ไม่ค่อยมีจิตสำนึกและไม่มีทักษะดีพอแต่ดันมีใบขับขี่ซะงั้น
- น่าจะช่วยลดอุบัติเหตุทางถนนลงได้บ้าง
- ปลูกจิตสำนึกและปลูกฝังวินัยได้ดีกว่าการทดสอบแบบเดิม
ผมคิดว่าเราควรเปลี่ยนระบบการสอบใบขับขี่ได้หรือยังครับ
ท่านบอกว่าใบขับขี่บ้านเรามันไม่ขลังได้มาง่ายเกินไป ก็เลยนั่งโม้กันไปจนได้ไอเดียออกมาประมาณนี้
ซึ่งท่านบอกว่าถ้ามีโอกาสได้เจอผู้ใหญ่ในสายงานขนส่งอาจจะลองแหย่ๆไอเดียนี้ดู
แล้วสมาชิกพันทิปล่ะครับ มีความเห็นไอเดียนี้อย่างไร ผมลองเอามาเผยแพร่ทางโซเชี่ยลดู
เผื่อเป็นการจุดประกายให้หน่วยงานที่เกี่ยว
- การอบรมและทดสอบร่างกายให้คงไว้เหมือนเดิม
- การอบรมต้องเปิดสถานที่อบรมให้พอเพียงโดยเพิ่มเจ้าหน้าที่
หรือเชิญตำรวจจราจรมาเป็นวิทยากรถ้าบุคลากรของกรมขนส่งฯไม่พอ
- หาสถานที่อบรมเพิ่มเช่นตามสถานศึกษาต่างๆมีเปิดอบรมในวันหยุดด้วย
ประชาชนจะได้ไม่ต้องลางานไปทำใบขับขี่หลายรอบ
- ยกเลิกสอบปฏิบัติแบบเดิมที่ให้ขับในสนามโชว์สกิลถอยรถ
- การสอบปฏิบัติ บังคับให้ทุกคนเรียนหลักสูตรขับรถออกถนนอย่างน้อย8ชั่วโมง
โดยเรียนที่โรงเรียนของขนส่งหรือโรงเรียนสอนขับรถทั่วไปที่ได้รับรองจากทางกรม
และเก็บค่าเรียนให้เหมาะสมไม่สูงเกินไป (เชื่อว่าคนที่ซื้อรถได้ต้องจ่ายค่าเรียนได้)
ถ้าคนที่ขับรถเป็นแล้วหรือมีพื้นฐานดีอยู่ให้มีหลักสูตรทบทวนออกถนนจริง2ชั่วโมง
- หลังจากจบหลักสูตรนี้จะได้วุฒิ"ผู้สำเร็จหลักสูตรขับขี่พื้นฐาน"
คนที่ไม่มีรถสามารถนำวุฒินี้ไปประกอบการซื้อรถได้ โดยมีกำหนด1ปี
- คนที่มีรถอยู่แล้วหรือเพิ่งซื้อรถนำวุฒิไปรับชุดสอบใบขับขี่ภาคปฏิบัติตัวจริงที่สถาบัน
ที่ออกวุฒิให้ โดยในชุดสอบประกอบด้วย บัตรประจำตัวผู้สอบ
ป้ายสติกเกอร์สำหรับติดหน้ารถ-ท้ายรถระบุว่า "ผู้ฝึกขับขี่" และเลขรหัส6ตัว
สามตัวแรกรหัสสถาบันสามตัวหลังรหัสผู้สอบ โดยสถาบันจะเป็นผู้ติดให้
ซึ่งจะมีสองชั้นพร้อมตราประทับป้องกันการลอกออกโดยพละการ
- หลังจากนั้นรถและผู้สอบสามารถออกไปใช้ถนนได้เลยโดยผู้ให้คะแนนคือ
เพื่อนร่วมทางและตำรวจจราจร
- หลักการให้คะแนนคือมีคะแนนในระบบ100คะแนน คะแนนจะถูกตัดเมื่อ...
ทำผิดกฏจราจรในความผิดต่างๆ หรือทำผิดต่อเพื่อนร่วมทางทำให้เกิดหรืออาจเกิดอันตราย
ต่อเพื่อนร่วมทางซึ่งเพื่อนร่วมทางสามารถส่งข้อมูลหลักฐานการทำผิดเช่นไฟล์ภาพหรือคลิปไปยังขนส่งฯ
หรือสถาบันที่ผู้สอบสังกัดเพื่อตัดคะแนนย้อนหลัง
- หากถูกตำรวจจราจรจับต้องเสียค่าปรับตามปกติและถูกตัดคะแนน
- ระยะในการสอบคือ5สัปดาห์หรือ35วัน
- หลังครบกำหนดนำบัตรประจำตัวไปประเมินผลการสอบที่สถาบันต้นสังกัด
- สมมุติเกณฑ์ผ่านคือ70คะแนน ถ้าไม่ผ่านต้องสอบใหม่ ถ้าผ่านสถาบันออกใบรับรองให้
- นำใบรับรองไปทำใบขับขี่ตัวจริงที่ขนส่งฯได้เลย
- การต่ออายุใบขับขี่ครั้งแรก2ปีครั้งต่อไปคราวละ5ปี ให้อบรมครั้งละ3ชั่วโมง
เพื่ออัพเดตความรู้ทบทวนกฏจราจรและกระตุ้นจิตสำนึก
- ภาครัฐต้องทำให้การใช้ใบขับขี่มีความสำคัญมากขึ้นเช่นขับรถเข้าสถานที่ราชการ
ต้องมีใบขับขี่แสดง บาดเจ็บจากอุบัติเหตุขับขี่หากไม่มีใบขับขี่นอกจากประกันไม่คุ้มครอง
ยังไม่สามารถใช้สิทธ์เบิกค่ารักษาใดๆจากภาครัฐได้
ข้อดีของการสอบใบขับขี่แบบใหม่
- ยากขึ้นใช้เวลานานขึ้น คัดกรองผู้ขับขี่หน้าใหม่ได้ดีเข้มงวดมากขึ้น
- ช่วยลดความแออัดของประชาชนที่ไปติดต่อขอทำใบขับขี่ที่ขนส่งฯ
เพราะคนที่ไปติดต่อคือคนที่ไปขอทำบัตรเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องไปตั้งแต่ขั้นตอนแรก
- ผู้ที่ได้ใบขับขี่คือคนที่มีพื้นฐานการขับดีในระดับหนึ่ง ไม่ใช่พวกที่ไปหัดถอยเข้าถอยออก
ตามริมถนนแล้วไปสอบผลคือได้ผู้ขับขี่ที่ไม่ค่อยมีจิตสำนึกและไม่มีทักษะดีพอแต่ดันมีใบขับขี่ซะงั้น
- น่าจะช่วยลดอุบัติเหตุทางถนนลงได้บ้าง
- ปลูกจิตสำนึกและปลูกฝังวินัยได้ดีกว่าการทดสอบแบบเดิม