แม่เป็นแม่คนหนึ่งที่ไม่เคยรู้มาก่อนว่าลูกชายตาบอดสี ตลอดเวลาที่ลูกเรียนมาจนจบชั้นม.3 ลูกไม่เคยมีปัญหาในการเรียนเลย การเรียนอยู่ในเกณฑ์ดีเกรด3.60 ความฝันของแม่คืออยากให้ลูกชายเป็นทหารแม้ว่าตัวลูกจะไม่ชอบไม่อยากเป็นแต่เพื่อแม่เขาทำได้ แม่และลูกชายได้ไปสมัครสอบเข้ารร.ช่างฝีมือทหาร ลูกสามารถสอบผ่านข้อเขียนมาได้ทั้งๆที่ปีนี้มีแต่เด็กหัวดีๆเพราะรร.เตรียมทหารไม่เปิดสอบ เด็กผู้ชายส่วนใหญ่จึงมาสมัครสอบกัน จนถึงวันตรวจร่างกายและทดสอบร่างพร้อมสัมภาษณ์วันที่14-16 มี.ค. วันแรกผ่านไปด้วยดีเพราะลูกชายฟิตร่างกายมาเป็นปี พอมาวันที่สองวันที่15 มี.ค.ตรวจร่างกายแบบละเอียดตามแบบทหารปรากฎว่าลูกชาย เป็นตาบอดสี หัวใจทั้งแม่และลูกสลายเลย หมดทุกอย่างเราเตรียมความพร้อมมาเป็นปีๆ แม่พาลูกไปทำ PRK.รักษาสายตาสั้น หมดเกือบแสนนั่นไม่สำคัญ แต่ความหวังของลูก อ่านหนังสือเอง ฟิตร่างกายเองเป็นปีๆ มันจบลงเพราะคำว่า "ตาบอดสี" เท่ากับว่าเราตกแล้วหมดโอกาสแล้ว แม่บอกลูกทั้งน้ำตาว่าวันพรุ่งนี้ลูกไม่ต้องมาก็ได้เพราะยังงัยเราก็ไม่ได้ แต่ลูกบอกว่าจะไปทดสอบร่างกาย เพื่อดูว่าที่ฟิตมาเป็นปีๆผลเป็นยังงัย ลูกทำได้เต็มเกือบทุกสถานีพลาดแค่สถานีวิ่งที่คะแนนไม่เต็มเท่านั้น ลูกชายบอกแม่ว่า "ถ้าตาไม่บอดสีเราคงมีหวังนะ ขอโทษที่ทำความฝันของแม่ให้เป็นจริงไม่ได้" จริงๆแล้วลูกไม่ผิดไม่พลาดเลย แม่เองที่ผิดที่เป็นพาหะพายีนไม่ดีมาให้ลูก จากแม่คนนึงซึ่งตอนนี้ยังเสียใจอยู่จากผลสอบที่ประกาศวันนี้ 21มี.ค. ว่าไม่มีชื่อลูกที่แม่ยังดันทุรังไปดูทั้งๆที่รู้ว่ามีมีสิทธิ์ อยากถามว่าคนตาบอดสีมันผิดมากไหม คนตาบอดสีไม่ได้เป็นคนพิการ เขาสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ดีเท่าๆกับคนปกติ คุณทำร้ายจิตใจคนๆนึงด้วยคำว่า ตาบอดสี ไม่มีโอกาสในสังคมให้คนตาบอดสีเลยใช่ไหม ตาบอดสีไม่สามารถสอบเข้าเป็นทหารได้เลยในทุกกรณีเลยใช่ไหม แล้วทหารเกณฑ์รับคนเป็นตาบอดสีด้วยหรือเปล่า สุดท้ายเด็กคนนึงที่เป็นตาบอดสีเขาไม่มีโอกาสที่จะสานฝันของเขาแล้วเพราะคำว่า "ตาบอดสี"
หัวอกของแม่ที่มีลูกชายตาบอดสี