ดูเหมือนว่าคนอีสาน และภาคอีสาน จะเป็นดินแดนที่ด้อยกว่าภาคอื่นๆ ในหลายๆ ด้าน แต่สิ่งหนึ่งที่คนอีสานและภาคอีสานร่ำรวยและเด่นมากมายกว่าภาคอื่นๆ เห็นจะเป็นเรื่อง “ศีลทาน” สังเกตุว่าหมู่บ้านในชนบทของภาคอีสานยากจนมาก แต่วัดประจำหมู่บ้านบางหมู่บ้านนั้นไม่น้อยหน้าวัดในเมืองบางวัดเลย พระสงฆ์ที่เพรียบพร้อมทั้งด้านปริยัติและปฏิบัติ ส่วนใหญ่ก็มาจากภาคอีสาน สายปฏิบัติก็ไ้ด้แก่ หลวงปู่มั่น หลวงปู่ฝั้น หลวงปู่ขาว หลวงปู่แหวน หลวงปู่เทสก์ หลวงปู่วัน หลวงพ่อชา หลวงตามหาบัว ฯลฯ สายปริยัติก็ได้แก่ พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์(อ้วน ติสโส) สมเด็จพระธีรญาณมุนี(ธีร์ ปุณณโก) สมเด็จพระพุฒาจารย์(อาจ อาสโภ)หรืออาจจะรวมไปถึงสามเณรเปรียญธรรม ๙ ประโยครูปแรกจากมหาสารคามอย่างอาจารย์เสฐียรพงษ์ วรรณปก และล่าสุดรวมไปถึงสามเณรเปรียญธรรม ๙ ประโยคที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์อย่างสามเณรสันติราษฏร์ พวงมะลิจากศรีษะเกษ
คนอีสานถูกมองว่าโง่และดักดานมาตลอด(ในสายตาของคนบางกลุ่มและหลายกลุ่ม) ทั้งๆ ที่ขึ้นชื่อว่า “มนุษย์” ย่อมมีการพัฒนาและปรับตัวสม่ำเสมอ แต่สำหรับคนอีสานในสายตาของคนบางกลุ่มแล้ว โง่อย่างไรก็ยังโง่อย่างนั้น แต่ก็ช่างเถอะนะ!...นั่นเป็นเรื่อง “ตีค่า” ของมนุษย์ต่อมนุษย์ใน
ทางโลกด้วยกัน แต่หากมองใน
ทางธรรมแล้ว คนอีสานส่วนใหญ่นี่แหละคือ “เศรษฐี” ของประเทศไทย เหมือนบทกวีของท่านพุทธทาสที่ว่า
คนจะงาม งามน้ำใจ ใช่ใบหน้า
คนจะสวย สวยจรรยา ใช่ตาหวาน
คนจะแก่ แก่ความรู้ ใช่อยู่นาน
คนจะรวย รวยศีลทาน ใช่บ้านโตฯ
คนอีสานแยบยลในการเรื่องทำศีลทำทานมาอย่างยาวนาน จนผูกพฤติกรรมของพวกเขาให้กลายเป็นประเพณีวัฒนธรรมสืบทอดกันมาอย่างยาวนาน ยาวนานที่แม้เทคโนโลยี่สมัยใหม่ก็ไม่อาจมาทดแทนได้ เช่นบุญประเพณีบั้งไฟ บุญประเพณีแห่นางแมว และงานบุญประเพณีที่ผมกำลังจะเล่าให้ฟังนี้เป็นบุญประเพณีที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน ทางอีสานเรียกว่า “บุญผะเหวด” คำว่า “ผะเหวด” กร่อนมาจากคำว่า “พระเวส” คือพระเวสสันดรนั่นเอง งานบุญผะเหวดเป็นงานบุญที่ระลึกถึงการบำเพ็ญเพียร “ทานภาวนา” ของพระเวสสันดรที่ถือว่าเป็น “ชาติสุดท้าย” ของพระโพธิสัตว์ก่อนที่จะตรัสรู้เป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
บุญผะเหวดคือความแยบยลในการทำบุญของคนอีสาน แม้พระชาติสุดท้ายของพระพุทธเจ้าก็ยังต้องนำมาทำเป็นงานบุญประเพณี เพื่อระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระเวสสันดรที่ยอมสละ ลูก(กัญหา ชาลี) เมีย(พระนางมัทรี)เพื่อบรรลุ “ทานบารมี” เพื่อที่จะได้เสวยชาติมาเป็นพระพุทธเจ้าของพวกเรา
จริงๆ แล้ว “บุญผะเหวด” เป็นบุญเดือนสี่(ภาคอีสานจะมีประเพณีทำบุญต่างๆ ทุกเดือน) บางจังหวัดบางหมู่บ้านในภาคอีสานจะเริ่มทำกันตั้งแต่วันเสาร์แรกของเดือนมีนาคมคือวันนี้ก็มี และสามารถทำกันได้ไปจนถึงปลายเดือนห้า
ประเพณี “บุญผะเหวด” ถือว่าเป็นงานบุญที่สำคัญมากสำหรับชาวบ้าน สำคัญถึงขนาดต้องมีการอาราธนารูปปั้นพระอุปคุตมาให้ช่วยคุ้มครองดูแลงานให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดีโดยไม่มีอุปสรรค ขออนุญาตเล่าตำนานของพระอุปคุตแบบย่อๆ พระอุปคุตเป็นพระเถระที่เกิดหลังพระพุทธเจ้าสองร้อยกว่า สำเร็จอรหันต์ทรงอภิญญาชั้นสูง ท่านปลีกวิเวกโดยไปนั่งสมาธิที่สะดือทะเล เมื่อพระเจ้าอโศกมหาราช ทรงเริ่มฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในอินเดียขึ้นมาใหม่(หลังถูกมุสลิมรุกราน) พระเจ้าอโศกทรงรวบรวมพระบรมสารีริกธาตุไว้เกือบทั้งหมด จากนั้นก็จะจัดงานพิธีสมโภชน์พระบรมสารีริกธาตุเป็นเวลา ๗วัน ๗คืน แต่พระองค์ทรงกลัวว่างานจะไม่ราบรื่นเพราะเกรงว่า “พญามารวัสสวดี”(อ่านว่า วัด-สะ-วะ-ดี) จะมาก่อกวน จริงๆ แล้วมารวัสสวดีตนนี้เป็นจอมเทพแห่งสวรรค์ชั้น ปรนิมมิตวสวัตตี แต่มีนิสัยชอบไประรานคนอื่นกำลังทำความดี ตอนที่พระพุทธเจ้ากำลังจะตรัสรู้...ก็พญามารตนนี้แหละที่พยายามเข้าไปขัดขวางการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า มิหนำซ้ำยังส่งลูกสาวหรือที่เรียกว่า “ธิดาพญามาร” ทั้งสามคนมาเต้นรำยั่วยวนพระพุทธเจ้าตอนบำเพ็ญเพียรเพื่อไม่ให้พระองค์ตรัสรู้ด้วย
ข่าวงานสมโภชน์เฉลิมฉลองพระบรมสารีริกธาตุของพระเจ้าอโศก ล่วงไปถึงหูของพญามารถึงชั้นสวรรค์ พญามารสวัสสวดีจึงรีบรุดลงจากสวรรค์ลงมาเพื่อจะ “ป่วน” ทางด้านพระเจ้าอโศกก็ขอให้พระภิกษุเมืองปาฏลีบุตรแหวกน้ำทะเลลงไปนิมนต์พระอุปคุตเถระมาช่วยปราบพญามาร พญามารพยายามป่วนงาน เป่าลมเป็นพายุใหญ่หวังจะพัดให้งานกระจุยกระจาย แต่พระอุปคุตก็ปราบไว้ได้หมด สุดท้ายพระอุปคุตก็เอาหมาเน่าผูกติดไว้กับคอพญามาร โดยใช้สายปะคตเอวเป็นเชือกคล้องเอาไว้ สั่งเอาไว้ว่าถ้าไม่ใช่พระอุปคุตแล้วก็ไม่มีใครเอาหมาเน่าตัวนี้ออกจากคอพญามารได้ พญามารอับอายเหลือคณา จึงหลีกหนีไป ขอให้จอมเทพในสวรรค์ชั้นต่างๆ ให้เอาหมาเน่าออกจากคอให้ แต่ไม่มีใครเอาออกได้ แม้แต่ท้าวสหัสพรมที่ชื่อได้ว่าเป็นเทวดาชั้นสูงสุดในสวรรค์ สุดท้ายพญามารก็ต้องไปขอขมากับพระอุปคุตและสำนึกบาปที่เคยทำไว้กับพระพุทธเจ้าตอนพระองค์กำลังตรัสรู้ใหม่ๆ
ดังนั้น ก่อนที่ประเพณีงาน “บุญผะเหวด” จะเริ่มขึ้น จะมีการ “แห่พระอุปคุต” เป็นนิมิตหมายอารารธนานิมนต์พระอุปคุตก่อน โดยชาวบ้านจะจำลองเหตุการณ์ที่พระภิกษุเมืองปาฏลีบุตรแหวกน้ำทะเลลงไปนิมนต์พระอุปคุตที่สะดือทะเล ชาวบ้านจะนำรูปปั้นของพระอุปคุตไปประดิษฐ์ไว้ในน้ำที่หนองหรือบึงในหมู่บ้าน จากนั้นชาวบ้านก็จะดำน้ำลงไปนิมนต์รูปปั้นพระอุปคุตขึ้นมาแล้วแห่แหนเข้าไปประดิษฐานบนปะรัมพิธีที่จัดตั้งไว้ นั่นแหละ....งานประเพณีบุญผะเหวดถึงจะเริ่มขึ้นได้ในวันถัดมา
งานวันถัดมาก็จะมีการแห่ “กัญหา ชาลี” ตรงนี้ชาวบ้านจะจำลองเหตุการณ์หลังจากที่ขอทานชูชกได้ไปขอ กัญหาและชาลีกับพระเวสสันดรได้แล้ว โดยคนในหมู่บ้านจะเลือกเด็กหญิงและเด็กชายแสดงเป็นกัญหาและชาลี และชาวบ้านสูงอายุเป็นชูชกใช้เชือกผูกแขนและแส้เฆียนกัญหาและชาลีตระเวณรอบๆ หมู่บ้าน ชาวบ้านที่เห็นก็จะเกิดสงสารให้น้ำบ้าง ให้ข้าวบ้าง ให้เงินแก่กัญหาและชาลี แล้วสุดท้ายชูชกก็ต้องปล่อยกัญหาชาลีไป
งานวันถัดมาก็จะเป็นวันสุดท้ายคือการแห่ “พระเวสสันดรเข้าเมือง” ตรงนี้ก็จะจำลองเหตุการณ์ตอนชาวบ้านชาวเมืองแห่พระเวสสันดรขึ้นช้างกลับเข้าสู่พระนคร โดยให้ชาวบ้านแสดงเป็นพระเวสสันดร และตั้งขบวนแห่กันรอบๆ หมู่บ้าน ให้ชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์ได้ยกมืออนุโมทนากับการบำเพ็ญเพียรชาติสุดท้ายของพระพุทธเจ้า จากนั้นก็จะไปรวมตัวกันที่วัด แล้วฟังเทศน์ที่เรียกกันว่า “เทศน์มหาชาติ” ที่พวกเรารู้จักดีกันนั่นเอง
ปล. นี่เป็นประเพณีความเชื่อนะครับ หากบางเหตุการณ์อาจจะดูพิสดารเหนือโลกไม่เข้ากับวิทยาศาสตร์หรือโลกปัจจุบัน ก็ปล่อยผ่านไปก็ได้นะครับ
.....คนรวยจริง ส่วนใหญ่อยู่อีสานจริงหรือไม่???..... วัชรานนท์
คนอีสานถูกมองว่าโง่และดักดานมาตลอด(ในสายตาของคนบางกลุ่มและหลายกลุ่ม) ทั้งๆ ที่ขึ้นชื่อว่า “มนุษย์” ย่อมมีการพัฒนาและปรับตัวสม่ำเสมอ แต่สำหรับคนอีสานในสายตาของคนบางกลุ่มแล้ว โง่อย่างไรก็ยังโง่อย่างนั้น แต่ก็ช่างเถอะนะ!...นั่นเป็นเรื่อง “ตีค่า” ของมนุษย์ต่อมนุษย์ในทางโลกด้วยกัน แต่หากมองในทางธรรมแล้ว คนอีสานส่วนใหญ่นี่แหละคือ “เศรษฐี” ของประเทศไทย เหมือนบทกวีของท่านพุทธทาสที่ว่า
คนจะงาม งามน้ำใจ ใช่ใบหน้า
คนจะสวย สวยจรรยา ใช่ตาหวาน
คนจะแก่ แก่ความรู้ ใช่อยู่นาน
คนจะรวย รวยศีลทาน ใช่บ้านโตฯ
คนอีสานแยบยลในการเรื่องทำศีลทำทานมาอย่างยาวนาน จนผูกพฤติกรรมของพวกเขาให้กลายเป็นประเพณีวัฒนธรรมสืบทอดกันมาอย่างยาวนาน ยาวนานที่แม้เทคโนโลยี่สมัยใหม่ก็ไม่อาจมาทดแทนได้ เช่นบุญประเพณีบั้งไฟ บุญประเพณีแห่นางแมว และงานบุญประเพณีที่ผมกำลังจะเล่าให้ฟังนี้เป็นบุญประเพณีที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน ทางอีสานเรียกว่า “บุญผะเหวด” คำว่า “ผะเหวด” กร่อนมาจากคำว่า “พระเวส” คือพระเวสสันดรนั่นเอง งานบุญผะเหวดเป็นงานบุญที่ระลึกถึงการบำเพ็ญเพียร “ทานภาวนา” ของพระเวสสันดรที่ถือว่าเป็น “ชาติสุดท้าย” ของพระโพธิสัตว์ก่อนที่จะตรัสรู้เป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
บุญผะเหวดคือความแยบยลในการทำบุญของคนอีสาน แม้พระชาติสุดท้ายของพระพุทธเจ้าก็ยังต้องนำมาทำเป็นงานบุญประเพณี เพื่อระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระเวสสันดรที่ยอมสละ ลูก(กัญหา ชาลี) เมีย(พระนางมัทรี)เพื่อบรรลุ “ทานบารมี” เพื่อที่จะได้เสวยชาติมาเป็นพระพุทธเจ้าของพวกเรา
จริงๆ แล้ว “บุญผะเหวด” เป็นบุญเดือนสี่(ภาคอีสานจะมีประเพณีทำบุญต่างๆ ทุกเดือน) บางจังหวัดบางหมู่บ้านในภาคอีสานจะเริ่มทำกันตั้งแต่วันเสาร์แรกของเดือนมีนาคมคือวันนี้ก็มี และสามารถทำกันได้ไปจนถึงปลายเดือนห้า
ประเพณี “บุญผะเหวด” ถือว่าเป็นงานบุญที่สำคัญมากสำหรับชาวบ้าน สำคัญถึงขนาดต้องมีการอาราธนารูปปั้นพระอุปคุตมาให้ช่วยคุ้มครองดูแลงานให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดีโดยไม่มีอุปสรรค ขออนุญาตเล่าตำนานของพระอุปคุตแบบย่อๆ พระอุปคุตเป็นพระเถระที่เกิดหลังพระพุทธเจ้าสองร้อยกว่า สำเร็จอรหันต์ทรงอภิญญาชั้นสูง ท่านปลีกวิเวกโดยไปนั่งสมาธิที่สะดือทะเล เมื่อพระเจ้าอโศกมหาราช ทรงเริ่มฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในอินเดียขึ้นมาใหม่(หลังถูกมุสลิมรุกราน) พระเจ้าอโศกทรงรวบรวมพระบรมสารีริกธาตุไว้เกือบทั้งหมด จากนั้นก็จะจัดงานพิธีสมโภชน์พระบรมสารีริกธาตุเป็นเวลา ๗วัน ๗คืน แต่พระองค์ทรงกลัวว่างานจะไม่ราบรื่นเพราะเกรงว่า “พญามารวัสสวดี”(อ่านว่า วัด-สะ-วะ-ดี) จะมาก่อกวน จริงๆ แล้วมารวัสสวดีตนนี้เป็นจอมเทพแห่งสวรรค์ชั้น ปรนิมมิตวสวัตตี แต่มีนิสัยชอบไประรานคนอื่นกำลังทำความดี ตอนที่พระพุทธเจ้ากำลังจะตรัสรู้...ก็พญามารตนนี้แหละที่พยายามเข้าไปขัดขวางการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า มิหนำซ้ำยังส่งลูกสาวหรือที่เรียกว่า “ธิดาพญามาร” ทั้งสามคนมาเต้นรำยั่วยวนพระพุทธเจ้าตอนบำเพ็ญเพียรเพื่อไม่ให้พระองค์ตรัสรู้ด้วย
ข่าวงานสมโภชน์เฉลิมฉลองพระบรมสารีริกธาตุของพระเจ้าอโศก ล่วงไปถึงหูของพญามารถึงชั้นสวรรค์ พญามารสวัสสวดีจึงรีบรุดลงจากสวรรค์ลงมาเพื่อจะ “ป่วน” ทางด้านพระเจ้าอโศกก็ขอให้พระภิกษุเมืองปาฏลีบุตรแหวกน้ำทะเลลงไปนิมนต์พระอุปคุตเถระมาช่วยปราบพญามาร พญามารพยายามป่วนงาน เป่าลมเป็นพายุใหญ่หวังจะพัดให้งานกระจุยกระจาย แต่พระอุปคุตก็ปราบไว้ได้หมด สุดท้ายพระอุปคุตก็เอาหมาเน่าผูกติดไว้กับคอพญามาร โดยใช้สายปะคตเอวเป็นเชือกคล้องเอาไว้ สั่งเอาไว้ว่าถ้าไม่ใช่พระอุปคุตแล้วก็ไม่มีใครเอาหมาเน่าตัวนี้ออกจากคอพญามารได้ พญามารอับอายเหลือคณา จึงหลีกหนีไป ขอให้จอมเทพในสวรรค์ชั้นต่างๆ ให้เอาหมาเน่าออกจากคอให้ แต่ไม่มีใครเอาออกได้ แม้แต่ท้าวสหัสพรมที่ชื่อได้ว่าเป็นเทวดาชั้นสูงสุดในสวรรค์ สุดท้ายพญามารก็ต้องไปขอขมากับพระอุปคุตและสำนึกบาปที่เคยทำไว้กับพระพุทธเจ้าตอนพระองค์กำลังตรัสรู้ใหม่ๆ
ดังนั้น ก่อนที่ประเพณีงาน “บุญผะเหวด” จะเริ่มขึ้น จะมีการ “แห่พระอุปคุต” เป็นนิมิตหมายอารารธนานิมนต์พระอุปคุตก่อน โดยชาวบ้านจะจำลองเหตุการณ์ที่พระภิกษุเมืองปาฏลีบุตรแหวกน้ำทะเลลงไปนิมนต์พระอุปคุตที่สะดือทะเล ชาวบ้านจะนำรูปปั้นของพระอุปคุตไปประดิษฐ์ไว้ในน้ำที่หนองหรือบึงในหมู่บ้าน จากนั้นชาวบ้านก็จะดำน้ำลงไปนิมนต์รูปปั้นพระอุปคุตขึ้นมาแล้วแห่แหนเข้าไปประดิษฐานบนปะรัมพิธีที่จัดตั้งไว้ นั่นแหละ....งานประเพณีบุญผะเหวดถึงจะเริ่มขึ้นได้ในวันถัดมา
งานวันถัดมาก็จะมีการแห่ “กัญหา ชาลี” ตรงนี้ชาวบ้านจะจำลองเหตุการณ์หลังจากที่ขอทานชูชกได้ไปขอ กัญหาและชาลีกับพระเวสสันดรได้แล้ว โดยคนในหมู่บ้านจะเลือกเด็กหญิงและเด็กชายแสดงเป็นกัญหาและชาลี และชาวบ้านสูงอายุเป็นชูชกใช้เชือกผูกแขนและแส้เฆียนกัญหาและชาลีตระเวณรอบๆ หมู่บ้าน ชาวบ้านที่เห็นก็จะเกิดสงสารให้น้ำบ้าง ให้ข้าวบ้าง ให้เงินแก่กัญหาและชาลี แล้วสุดท้ายชูชกก็ต้องปล่อยกัญหาชาลีไป
งานวันถัดมาก็จะเป็นวันสุดท้ายคือการแห่ “พระเวสสันดรเข้าเมือง” ตรงนี้ก็จะจำลองเหตุการณ์ตอนชาวบ้านชาวเมืองแห่พระเวสสันดรขึ้นช้างกลับเข้าสู่พระนคร โดยให้ชาวบ้านแสดงเป็นพระเวสสันดร และตั้งขบวนแห่กันรอบๆ หมู่บ้าน ให้ชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์ได้ยกมืออนุโมทนากับการบำเพ็ญเพียรชาติสุดท้ายของพระพุทธเจ้า จากนั้นก็จะไปรวมตัวกันที่วัด แล้วฟังเทศน์ที่เรียกกันว่า “เทศน์มหาชาติ” ที่พวกเรารู้จักดีกันนั่นเอง
ปล. นี่เป็นประเพณีความเชื่อนะครับ หากบางเหตุการณ์อาจจะดูพิสดารเหนือโลกไม่เข้ากับวิทยาศาสตร์หรือโลกปัจจุบัน ก็ปล่อยผ่านไปก็ได้นะครับ