The Divergent Series: Allegiant
Director: Robert Schwentke
SCORE 5/10
ปัญหาของแฟรนชายส์หนัง Divergent นั้นประสบปัญหามาตั้งแต่ภาคแรกนั้นก็คือเรื่องราวเชิงโครงสร้างของหนัง ตัวเนื้อเรื่องโลกดิสโทเปียของมันไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไหร่ที่จะทำให้เราเชื่อในสภาพของการมีอยู่ของเหล่าประชากรและวิถีสภาพการปกครองที่ยาวนานในการจัดกลุ่มของคนออกเป็นก๊กเป็นเหล่าแบบนั้นตั้งแต่ภาคแรก (และแม้ว่ามันจะถูกอธิบายเพิ่มเติมในหนังภาคนี้ก็ตามที) พอหนังยิ่งถ่างช่องว่างให้เราเห็นว่า “สภาพแวดล้อม” ของแฟรนชายส์หนังเรื่องนี้ให้ยิ่งกว้างขึ้นเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งเห็นความไม่สมเหตุสมผลของหนัง(และนิยาย) มากขึ้นเท่านั้น
เราเคยพูดถึง Insurgent ว่ามันเป็นหนังที่พูดถึงการปฏิวัติได้จอมปลอม หลวมโพรกเรื่องหนึ่งของโลกภาพยนตร์ แต่สำหรับ The Divergent Series: Allegiant นั้นกลับทำให้เราเห็นว่า “โลกที่ถูกปกครองด้วยคนโง่ (คนไม่รู้)” นั้นจะมีสภาพเป็นอย่างไร และการทำรัฐประหารแบบที่ไม่มี “หลักการ” มันจะออกมามีสภาพเป็นอย่างไร หนังเรื่องนี้ก็พอจะสะท้อนภาพให้เราเห็นได้อยู่ เพียงแต่ความขัดอกขัดใจของหนังภาคนี้ก็คือบรรดาตัวร้ายที่ดูยังไง้ยังไงก็ร้ายแบบแข็งทื่อดื้อด้านและดูปราศจากความน่าเกรงขามแบบเจนีน (เคต วินสเลต) ในภาคก่อนๆ จนทำให้เราไม่ต้องลุ้นเลยสักนิดว่าแต้มต่อของตัวละครในหนังภาคนี้อยู่กับใคร
ยิ่งไปกว่านั้นความน่ารำคาญขั้นพีคสุดคือทริซและโฟร์เหมือนจะ “ติดสัด” กันตอนเวลา เพราะทุกครั้งที่สองตัวละครนี้ร่วมซีนกันหนังก็ทำตัวเป็น Soft Porn ตลอดเวลาด้วยการให้พวกเขา “เอะอะดูดปาก” และพาลให้เราแทบอยากจะเชียร์ให้ทั้งคู่ขึ้นเตียงกันไปให้รู้แล้วรู้รอดซักที (ขัดตาขัดใจ)
ปัญหาที่รู้สึกมาโดยตลอดสำหรับผู้กำกับโรเบิร์ต ชเวนเก้ก็คือ เวลาเขากำกับนักแสดง “EXTRA” เขามักจะปล่อยให้นักแสดงเล่นแบบผ่านๆเสมอๆ โดยไม่เก็บรายละเอียดเลยว่าอารมณ์ของฉากนั้นๆควรออกมาในทิศทางไหน ไม่ว่าจะเป็นฉากพวกตัดสินโทษตอนต้นเรื่องที่ดูโหวกเหวกโวยวายเล่นใหญ่เว่อร์ไปหน่อย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้หรือฉากหลังไคลแมกซ์ที่ตัวละครจะดันยิ้มหน้าตาแช่มชื่น เกินเบอร์ที่ควรจะเป็น แถมก็เป็นฉากที่ดูผิดที่ผิดทางไม่น้อยตรงที่ว่า เหตุการณ์ก่อนหน้ามีก๊าซชนิดหนึ่งที่เป็นอันตรายกับผู้คน ที่ควันยังไม่ทั้งจะไม่จางหายไปหมดดีบรรดาตัวละครก็วิ่งเปิดประตูออกมาสูดอากาศกันราวกับเป็นก๊าซบริสุทธิ์ช่วยยืดชีวิต!! แถมก๊าซในหนังเรื่องนี้มีความพิเศษแบบประหลาดมาก (อยากจะให้ไปติดตามชมในหนังกันเอาเองว่ามันประหลาดยังไง และล้มล้างแนวคิดที่เราเรียน วิทย์สมัยม.ปลายจนเหี้ยนเตียน)
ไม่เพียงแต่หลักการที่อิหลักอิเหลื่อไปหมด บรรดาสถานการณ์ในหนังเรื่องนี้ยิ่งดูไปแล้วก็ยิ่งตลกมากว่า การที่ “เด็กสาว” คนหนึ่งลุกขึ้นมาเป็นผู้นำในการเปลี่ยนระบบการปกครองที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งมากมาย มันถึงง่ายดายไปหมด เช่น การปีนออกนอกรั้วเมืองชิคาโก้, การขับยานที่เธอไม่เคยขับมาก่อน หรือกระทั่งการหยุดยั้งก๊าซพิษ คำตอบง่ายๆแบบไม่ต้องคิดเยอะก็คือ ก็นังทริซมันเป็นนางเอกไงครับ เป็นนางเอกที่ต้องเก่งไปหมดและนางมียีนส์บริสุทธิ์ 100%
ถ้าเราจะเปรียบเทียบตัวละครระหว่างหนังสองเรื่องอย่าง DIVERGENT และ THE HUNGER GAME จะเห็นได้ว่า ทริซและแคตนิสนั้น คนหลังมีความเข้าใจในความ “ลำบาก” ของชนชั้นอย่างแท้จริงและการลุกขึ้นปฏิวัตินั้นเป็นแรงขับของตัวละครอย่างแท้จริง แต่สำหรับเคสของทริซนั้น เธอเหมือนเป็นเด็กที่ไม่เข้าใจพ่อแม่แล้วเลือกจะปาของเล่นทิ้งแล้วงองแงมากกว่า
ติดตามอ่านงานรีวิวหนัง เพลง คอนเสิร์ต ละครเวที อีเวนท์แซ่บๆได้ที่ >>
https://www.facebook.com/EntertainmentBite
[SR] [กระทู้แจกเกรด] The Divergent Series: Allegiant – โลกที่ปกครองโดยคนโง่ SPOIL ALERT
The Divergent Series: Allegiant
Director: Robert Schwentke
SCORE 5/10
ปัญหาของแฟรนชายส์หนัง Divergent นั้นประสบปัญหามาตั้งแต่ภาคแรกนั้นก็คือเรื่องราวเชิงโครงสร้างของหนัง ตัวเนื้อเรื่องโลกดิสโทเปียของมันไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไหร่ที่จะทำให้เราเชื่อในสภาพของการมีอยู่ของเหล่าประชากรและวิถีสภาพการปกครองที่ยาวนานในการจัดกลุ่มของคนออกเป็นก๊กเป็นเหล่าแบบนั้นตั้งแต่ภาคแรก (และแม้ว่ามันจะถูกอธิบายเพิ่มเติมในหนังภาคนี้ก็ตามที) พอหนังยิ่งถ่างช่องว่างให้เราเห็นว่า “สภาพแวดล้อม” ของแฟรนชายส์หนังเรื่องนี้ให้ยิ่งกว้างขึ้นเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งเห็นความไม่สมเหตุสมผลของหนัง(และนิยาย) มากขึ้นเท่านั้น
เราเคยพูดถึง Insurgent ว่ามันเป็นหนังที่พูดถึงการปฏิวัติได้จอมปลอม หลวมโพรกเรื่องหนึ่งของโลกภาพยนตร์ แต่สำหรับ The Divergent Series: Allegiant นั้นกลับทำให้เราเห็นว่า “โลกที่ถูกปกครองด้วยคนโง่ (คนไม่รู้)” นั้นจะมีสภาพเป็นอย่างไร และการทำรัฐประหารแบบที่ไม่มี “หลักการ” มันจะออกมามีสภาพเป็นอย่างไร หนังเรื่องนี้ก็พอจะสะท้อนภาพให้เราเห็นได้อยู่ เพียงแต่ความขัดอกขัดใจของหนังภาคนี้ก็คือบรรดาตัวร้ายที่ดูยังไง้ยังไงก็ร้ายแบบแข็งทื่อดื้อด้านและดูปราศจากความน่าเกรงขามแบบเจนีน (เคต วินสเลต) ในภาคก่อนๆ จนทำให้เราไม่ต้องลุ้นเลยสักนิดว่าแต้มต่อของตัวละครในหนังภาคนี้อยู่กับใคร
ยิ่งไปกว่านั้นความน่ารำคาญขั้นพีคสุดคือทริซและโฟร์เหมือนจะ “ติดสัด” กันตอนเวลา เพราะทุกครั้งที่สองตัวละครนี้ร่วมซีนกันหนังก็ทำตัวเป็น Soft Porn ตลอดเวลาด้วยการให้พวกเขา “เอะอะดูดปาก” และพาลให้เราแทบอยากจะเชียร์ให้ทั้งคู่ขึ้นเตียงกันไปให้รู้แล้วรู้รอดซักที (ขัดตาขัดใจ)
ปัญหาที่รู้สึกมาโดยตลอดสำหรับผู้กำกับโรเบิร์ต ชเวนเก้ก็คือ เวลาเขากำกับนักแสดง “EXTRA” เขามักจะปล่อยให้นักแสดงเล่นแบบผ่านๆเสมอๆ โดยไม่เก็บรายละเอียดเลยว่าอารมณ์ของฉากนั้นๆควรออกมาในทิศทางไหน ไม่ว่าจะเป็นฉากพวกตัดสินโทษตอนต้นเรื่องที่ดูโหวกเหวกโวยวายเล่นใหญ่เว่อร์ไปหน่อย [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ไม่เพียงแต่หลักการที่อิหลักอิเหลื่อไปหมด บรรดาสถานการณ์ในหนังเรื่องนี้ยิ่งดูไปแล้วก็ยิ่งตลกมากว่า การที่ “เด็กสาว” คนหนึ่งลุกขึ้นมาเป็นผู้นำในการเปลี่ยนระบบการปกครองที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งมากมาย มันถึงง่ายดายไปหมด เช่น การปีนออกนอกรั้วเมืองชิคาโก้, การขับยานที่เธอไม่เคยขับมาก่อน หรือกระทั่งการหยุดยั้งก๊าซพิษ คำตอบง่ายๆแบบไม่ต้องคิดเยอะก็คือ ก็นังทริซมันเป็นนางเอกไงครับ เป็นนางเอกที่ต้องเก่งไปหมดและนางมียีนส์บริสุทธิ์ 100%
ถ้าเราจะเปรียบเทียบตัวละครระหว่างหนังสองเรื่องอย่าง DIVERGENT และ THE HUNGER GAME จะเห็นได้ว่า ทริซและแคตนิสนั้น คนหลังมีความเข้าใจในความ “ลำบาก” ของชนชั้นอย่างแท้จริงและการลุกขึ้นปฏิวัตินั้นเป็นแรงขับของตัวละครอย่างแท้จริง แต่สำหรับเคสของทริซนั้น เธอเหมือนเป็นเด็กที่ไม่เข้าใจพ่อแม่แล้วเลือกจะปาของเล่นทิ้งแล้วงองแงมากกว่า
ติดตามอ่านงานรีวิวหนัง เพลง คอนเสิร์ต ละครเวที อีเวนท์แซ่บๆได้ที่ >> https://www.facebook.com/EntertainmentBite