[CR] 2 Days in Porto :: ต้นกำเนิดไวน์พอร์ท เมืองท่าโปรตุเกส ริมชายฝั่งแอตแลนติก

สวัสดีค่ะ เมื่อไม่นานมานี้ จขกท ได้เดินทางไปพักผ่อนที่เมือง Porto (อ่านแบบโปรตุเกสว่า ปอรตู เสียง ร.เรือแรงมาก / อังกฤษเรียก ปอร์โต้) หรืออีกชื่อเรียก Oporto เมืองใหญ่เป็นอันดับสองรองจากลิสบอน ตั้งอยู่ทางเหนือของโปรตุเกส มีแม่น้ำดูโร Douro ไหลผ่านลงมหาสมุทรแอตแลนติก และที่นี่เองเป็นแหล่งกำเนิดของไวน์พอร์ทชื่อดัง ตามไปชมกันเลยค่ะ

เริ่มต้นวันแรก ที่สถานีรถไฟ São Bento ค่ะ สถานีรถไฟนี้ จุดเด่นอยู่ที่กระเบื้องเพนท์สีฟ้า ซึ่งถูกติดบนผนังของสถานีรถไฟ กระเบื้องเหล่านี้ไม่ได้สั่งทำสำเร็จรูปนะคะ แต่เป็นฝีมือของศิลปินกระเบื้องชื่อดังของโปรตุเกส ชื่อ Jorge Colaço โดยในแต่ละภาพกระเบื้องมีการถ่ายทอดเรื่องราวประวัติศาสตร์ที่สำคัญของเมืองในแต่ละยุคแต่ละสมัยในช่วง ค.ศ.ที่ 11-14  กระเบื้องชุดแรกถูกติดตั้งที่สถานีในปี 1905 ค่ะ ข้อมูลจากวิกิบอกว่า กระเบื้องที่ใช้ตกแต่งสถานีนี้มีถึงประมาณสองหมื่นแผ่นเลยทีเดียวค่ะ แต่ จขกท นับแล้วไม่ถึงนะ 555 นับได้ยี่สิบแผ่นก็ไม่นับต่อแล้ว

ภาพภายในสถานีค่ะ มีนักท่องเที่ยวเข้ามาถ่ายรูปอยู่ตลอด


ตัวอย่างภาพศิลปะฝาผนังค่ะ


เดินออกจากสถานี São Bento มองไปทางซ้ายมือจะเห็นโบสถ์ Sao Francisco ค่ะ หากจะเข้าชมภายในต้องเสียค่าเข้าชม 3 ยูโรค่ะ แต่ จขกท ไม่ได้เข้าไป บริเวณรอบนอกโบสถ์ จะเป็นเนินที่สามารถมองเห็นวิวของเมืองและวิวทางฝั่งแม่น้ำได้ค่ะแต่จะไม่สูงมาก จะเห็นในภาพรวมมากกว่า

ภาพลานด้านหน้าโบสถ์ค่ะ


ภาพวิวจากเนินหน้าโบสถ์ค่ะ ที่เห็นยอดไกลๆนั่นก็คือ หอคอยของโบสถ์ Clerigos ค่ะ หรือภาษาโปรตุเกส Igreja dos Clérigos (Igreja = โบสถ์) ตรงนั้นเป็นจุดชมวิวอีกแห่งของเมืองค่ะ เท่าที่ จขกท สังเกต น่าจะเป็นจุดที่สูงที่สุดของเมืองทางฝั่ง Ribeira ค่ะ


เดินออกจากหน้าโบสถ์ทะลุตรอกซอกซอยเล็กๆ ก็จะมาถึง Cais da Ribeira เป็นพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำดูโร มีร้านอาหาร ร้านค้าสีสันสดใส ไฮไลท์ของตรงนี้ อาจจะเป็นเพราะมันเป็นจุดที่มองเห็นสะพาน Ponte Dom Luís ได้ชัดเจน รวมถึงมีพื้นที่ให้ผู้คนออกมานั่งดูผู้คนเดินไปมา นั่งริมแม่น้ำดูผู้คน ฟังเสียงดนตรีจากนักดนตรีเปิดหมวก ได้อารมณ์พักผ่อนจริงๆค่ะ


Cais de Ribeira ถ่ายจากฝั่งตรงข้ามค่ะ โบสถ์คู่ทางขวามือเป็นโบสถ์  Sao Francisco ที่เราเดินลงมาค่ะ


จากนั้นเราก็เดินไปชมสะพาน Ponte Dom Luís สะพานแห่งนี้เป็นสัญลักษณ์ของเมืองก็ว่าได้ค่ะ จุดเด่นอยู่ที่การเป็นสะพานสองชั้น ข้างล่างเป็นถนนสำหรับรถวิ่งปกติค่ะ ส่วนข้างบนสร้างไว้เป็นทางสำหรับรถราง ทั้งข้างบนและข้างล่างจะมีขอบทางเดิน ดังนั้น สามารถเดินไปชมวิวจากบนสะพานได้ ไม่มีปัญหาแต่อย่างใดค่ะ สะพานนี้สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1881 เปิดใช้ในปี 1886 โดยวิศวกรผู้สร้างคือ Théophile Seyrig  เป็นวิศวกรที่เคยเปิดบริษัทร่วมกับ Gustav Eiffel ผู้ออกแบบหอไอเฟลนั่นเอง ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่สะพานแห่งนี้จะมีโครงสร้างเหล็กที่ออกมาในรูปแบบเดียวกัน


วิวสะพานถ่ายจากชั้นบนย่อมสวยกว่าชั้นล่างแน่นอนค่ะ แต่อาจจะเสียวนิดนึงสำหรับคนที่กลัวความสูงค่ะ บางช่วงสะพานเกิดการสั่นเบาๆจากแรงลมและรถรางที่วิ่งมา


สะพานนี้เชื่อมต่อท่าเรือฝั่ง Ribeira กับฝั่งตรงกันข้าม Cais de Gaia ที่เป็นโซนที่ตั้งของโรงบ่มไวน์พอร์ทชื่อดังของปอร์โต้ค่ะ
มาถึงปอร์โต้ทั้งที่จะไม่ชิมไวน์พอร์ทก็กระไรอยู่ เดินลงจากสะพานเลียบแม่น้ำไปทางขวามือ นอกจากจะเห็นวิวริมแม่น้ำสวยๆแล้วยังมีโรงบ่มไวน์หลากหลายเจ้าให้เราเลือกด้วยค่ะ

เราสามารถเลือกโรงบ่มที่สนใจแล้วเข้าไปเยี่ยมชม + ทดลองไวน์ได้ค่ะ แต่ทั้งนี้ถ้าอยากได้ทัวร์ภาษาอังกฤษควรจะนัดล่วงหน้าเพราะวันนึงจะมีไม่กี่รอบ เนื่องจาก จขกท มีเวลาเที่ยวสองวัน วันแรกที่ไปถึงเราเลยไปจอง Wine test นัดชิม+ชมโรงบ่มไวน์ ไว้สำหรับอีกวันค่ะ
โรงบ่มไวน์ที่เราได้ไปเยี่ยมชมเป็นของ Sandeman ค่ะ จริงๆอีกเจ้าที่มีชื่อเสียง คือ Celem, Taylor ทั้งสองที่อยู่ริมฝั่งแม่น้ำเลย เดินลงจากสะพานไปทางซ้ายมือริมแม่น้ำไปเรื่อยๆก็จะพบค่ะ ป้ายขนาดใหญ่เลย
สำหรับแพคเก็จไวน์เทส มีให้เลือกหลายรูปแบบค่ะ ที่เราเลือกเป็นแบบชมโรงบ่ม ชิมไวน์พอร์ท 2 ชนิด ใช้เวลาทั้งประมาณ 45 นาที ราคาคนละ 6 ยูโรค่ะ
จขกท ไม่มีความรู้เรื่องไวน์พอร์ทมาก่อน ไกด์ทัวร์จะอธิบายที่มา ชนิดของไวน์พอร์ทแบบต่างๆได้ดีเลยค่ะ และพาไปชมส่วนที่เป็นโรงบ่ม กรรมวิธีในการบ่มไวน์พอร์ทที่แตกต่างจากไวน์ตัวอื่นๆ น่าสนใจมากค่ะ
ไวน์พอร์ทจะเป็นไวน์ที่มีความหวานและมีแอลกอฮอล์มากกว่าไวน์ทั่วไป เริ่มจากการที่ในสมัยเมื่อ 400 กว่าปีก่อนฝรั่งเศสกับอังกฤษมีปัญหาทำสงครามกัน อังกฤษเลยหันมานำเข้าไวน์จากโปรตุเกสแทนฝรั่งเศส แต่เกิดปัญหาตรงที่ว่า ไวน์โปรตุเกสเกิดเสียขึ้นมาระหว่างทาง ทีนี้ก็เลยมีการแก้ปัญหาโดยการนำเหล้าบรั่นดีมาผสมกับไวน์เพื่อยืดอายุของไวน์ นั่นเป็นที่มาแบบสรุปของไวน์พอร์ทค่ะ


ทิปเล็กๆ:: ควรเลือกทำไวน์เทสโรงบ่มไวน์ที่ใหญ่และมีชื่อเสียงไปเลยค่ะ จขกท ได้บัตรฟรีไปชิมไวน์จากโรงบ่มเล็กๆอีกแห่ง (บัตรฟรีจากการซื้อตั๋วขึ้น Cable car ไปกลับริมฝั่งแม่น้ำ) เทียบกับของที่นี่ รสชาติมันเหมือนน้ำเชื่อมมากๆแล้วก็หวานแสบคอค่ะ ส่วนตัวเป็นคนไม่ถนัดชิมไวน์ แต่ก็ยังแยกแยะความแตกต่างได้ชัดเจนมาก

ภาพวิวจากกระเช้าริมแม่น้ำ พระอาทิตย์กำลังจะตกดินค่ะ





วันรุ่งขึ้นเราก็เที่ยวกันแบบสบายๆ เดินเล่นชมเมืองค่ะ เมืองปอร์โต้ เหมือนกับลิสบอนตรงที่เป็นสภาพเมืองเป็นเนินเขา ดังนั้นควรเตรียมรองเท้าที่คิดว่า ใส่แล้วเดินสบายที่สุด เท่าที่เห็นนักท่องเที่ยวใส่ผ้าใบกันทุกคนค่ะ รองเท้ากัดจะหมดสนุกเอาเนอะ
เริ่มต้นวันใหม่ด้วยอาหารเช้าค่ะ เดินไปมาก็มาจบลงที่ร้านเบเกอรี่หน้าโบสถ์
ลืมบอกไปว่า โปรตุเกสนี่เป็นสวรรค์ของคนรักทาร์ตไข่เลยค่ะ หรือที่นี่เรียกกันว่า Nata (Pastel de Nata) มีขายทุกที่ที่ถนนตรอกซอกซอย ชิ้นละ 1-1.20 ยูโร ความกรอบของแป้งพายแล้วแต่ร้าน ที่เหมือนกันคือหอมไข่แดงมากค่ะ นอกจากนั้นในร้านเบเกอรี่ก็จะมีขนมชนิดอื่นที่ทำจากใส่ครีมจากไข่แดง น่าลิ้มลองไปหมดค่ะ



โบสถ์นี้ ดูเผินๆ อาจจะดูเป็นโบสถ์ธรรมดานะคะ แต่ความจริงมันคือโบสถ์สองหลังที่สร้างติดกัน ถูกกันกลางด้วยบ้านที่มีความแคบที่สุดในโลก (ตรงที่ลูกศรมาร์คไว้) ซึ่งบ้านนี้มีหน้าที่ในการปิดกั้นการติดต่อระหว่างพระกับแม่ชี ถ้าเป็นสมัยนี้กำแพงแค่นี้อาจจะปิดกั้นอะไรไม่ได้ อาจจะต้องใช้การริบมือถือแทน 55 ทางขวาคือโบสถ์ Carmo ซ้ายคือโบสถ์ Carmelitas ค่ะ

ถ่ายมุมข้างกันบ้าง ติดรถรางด้วย รถรางที่นี่ยังเหมือนสมัยก่อนอยู่ค่ะ มองใกล้ๆเก่ามาก แต่ก็เป็นเอกลักษณ์และช่วยคงเสน่ห์ของเมืองไว้ได้ดี


ไม่ไกลจากโบสถ์คู่ เดินผ่านลานตรงหน้า ตัดมาทางซ้ายมือ จะเห็นป้อมสีแดงๆ ที่เป็นที่ขายตั๋วเข้าชมร้านหนังสือ Lello & Irmão
ร้านหนังสือนี้โดดเด่น มีชื่อเสียงยังไง ให้ดูภาพประกอบเลยค่ะ


ร้านหนังสือ Livraria Lello & Irmão เป็นร้านหนังสือเก่าแก่ของปอร์โต้ค่ะ สาวกนิยายแฮร์รี่ พอตเตอร์อาจจะคุ้นหน้าคุ้นตากับลักษณะภายในร้าน เพราะว่ากันว่า สมัยที่ J.K.Rowling เคยมาเป็นครูสอนภาษาที่เมืองปอร์โต้ เธอได้แวะเวียนมาร้านหนังสือนี้อยู่บ่อยครั้ง จนเก็บมาเป็นแรงบันดาลใจในการเขียนนิยายของเธอ เป็นยังไงบ้างคะ ร้านนี้คล้ายกับร้านหม้อใหญ่แห่งตรอกไดเอกอนรึป่าว อ่อลืมบอกว่าร้านนี้เก็บเงินค่าเข้า คนละ 3 ยูโรนะคะ ร้านเล็กๆแต่คนแน่นหน่อย อาจจะถ่ายรูปยากนิดนึง ต้องหาจังหวะดีดีค่ะ

สิ่งที่พลาดไม่ได้ คือการนั่งรถบัส/รถรางไปทางทิศตะวันตกของเมืองทางปากแม่น้ำค่ะ ตรงนั้นเป็นส่วนที่เป็นพื้นที่ปากแม่น้ำออกทางทะเล มีชายหาด จขกท ตั้งใจไปชมพระอาทิตย์ตกในส่วนนี้โดยไม่มีการวางแผนล่วงหน้า ดูจากแผนที่เอาเดาว่าน่าจะสวยที่สุด อาศัยถามนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ ที่เจอระหว่างรอรถบัส ปรากฏว่า สวยงามกว่าที่คาดไว้มากค่ะ เพราะได้ไปเจอประภาคารเก่าที่ยื่นไปในทะเล ชื่อว่า farol de felgueiras (Lighthouse lady of light) จากจุดนั้นมองพระอาทิตย์ตกไปในทะเลสวยงามมากค่ะ มีคลื่นสาดซัดหินมาเป็นระยะๆ ฟินระดับสิบ เจอนักท่องเที่ยวเกาหลีมาเที่ยวคนเดียวซื้อไวน์มาดื่ม ระหว่างพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าด้วย อะไรจะมีความสุขขนาดนั้น


สำหรับเมืองปอร์โต้ขอจบการรีวิวไว้เพียงเท่านี้ค่ะ ไว้มีเวลาจะมารีวิวเมืองอื่นอีกนะคะ

บทสรุปของการเดินทางครั้งนี้

ปอร์โต้เป็นเมืองพักผ่อนชิวๆ เน้นเดินเล่น ชมเมือง ในโซนเมืองสถานที่สำคัญเดินเท้าถึงกันหมด อาหารการกินหาง่ายและถูกปากคนไทย ร้านที่ตั้งอยู่ใกล้สถานที่ท่องเที่ยวโดยเฉพาะ Cais de Ribeira อาจจะมีราคาสูงหน่อย ถูกกว่านั้นควรไปหาทานใกล้ๆโซนเมืองที่ติดมหาลัยปอร์โต้จะดีกว่า หรือทานอะไรง่ายๆพวกแซนวิช  รู้สึกปลอดภัยมากกว่าอิตาลี (คหสต) ผู้คนเป็นมิตร นักท่องเที่ยวยังน้อยอยู่ค่ะ เนื่องจากเวลาที่ไปเป็นช่วง low season โดยเฉพาะ นทท ชาวเอเชียมีน้อยมาก คนโปรตุเกสชอบเดินมาถามว่า เรามาจากประเทศอะไร นักท่องเที่ยวสาวๆเอเชียที่ไปอาจจะโดนผู้ชายแซวบ้าง แต่ดูไม่คุกคามมาก ก็ขำๆไปค่ะ ไม่ต้องไปสนใจ ถือเป็นอีกหนึ่งเมืองที่น่าสนใจสำหรับใครที่มองหาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ในยุโรปใต้นอกเหนือจากอิตาลี และสเปนค่ะ
ชื่อสินค้า:   Portugal
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่