สวัสดีค่ะ อยากจะมาเล่าเรื่องของการเรียน ม.ปลายสายศิลป์-ญี่ปุ่นของเรา เพราะมันทั้ง โหด มัน ฮา แล้วก็มีเรื่องประทับใจเยอะมาก เผื่อน้องๆคนไหนสนใจอยากจะเข้าศิลป์-ญี่ปุ่นด้วย เราจะขอพูดถึงเฉพาะโรงเรียนเรานะคะ เพราะเราไม่รู้ว่าโรงเรียนอื่นเป็นยังไง 5555
*ผิดพลาดตรงไหนก็ขออภัยด้วยนะคะ
ปล.เราเรียนอยู่โรงเรียนสุรนารีวิทยา ศิลป์ญี่ปุ่นรุ่น 13 เพิ่งจบปีนี้เลย
เริ่มจากห้องเรียนศิลป์-ญี่ปุ่นของเรานะคะ จะเป็นแบบโต๊ะญี่ปุ่น นั่งพื้น มีฟุตงให้ ได้บรรยากาศแบบญี่ปุ๊นญี่ปุ่น เหมาะแก่การเรียนภาษาญี่ปุ่นอย่างมาก 555 เวลาว่างๆ ไม่มีไรทำ ก็จะมานอนเล่นกันที่ห้องญี่ปุ่นนี่แหละ
อย่างแรกพูดเรื่องการเรียนกันก่อน
อยู่ที่นี่เราจะเรียกคุณครูสอนภาษาญี่ปุ่นทุกคนว่า เซ ย่อมาจาก เซนเซ ซึ่งจะมีเซคนไทยที่สอนรุ่นเรา (รุ่นอื่นก็จะเป็นเซคนอื่น) 1 คน ค่อนข้างจะเข้มงวดมาก แต่ก็ใจดีมากๆเช่นกัน เซคนญี่ปุ่น 1 คน (มาใหม่ทุกๆ2ปี) และเซ ฝึกสอน อีก 2 คน (มาใหม่ทุกปี) ซึ่งหลายครั้งที่จะเข้าสอนพร้อมกันทั้ง 4 คน ใครคิดจะแอบหลับ ฝันไปได้เลย 555(แต่ปกติก็ไม่มีใครกล้าหลับนะ) เราเรียนญี่ปุ่น 3 วัน/อาทิตย์ หรือ 6ชม./อาทิตย์นั่นเอง
ตอนเริ่มแรกศิลป์ญี่ปุ่นรุ่นเรามีทั้งหมด 41 คน แต่พอเรียนๆไป ก็ลดมาเหลือแค่ 20 คนเท่านั้น 555 ถ้าถามว่าหายไปไหน ก็คือย้ายไปเรียนศิลป์อื่น ถ้าถามว่าทำไม ไม่ดีหรอ อยากจะบอกว่าไม่ใช่ว่าไม่ดี แต่ว่ามันโหดเกินไปต่างหาก 555 หรือจะเรียกให้ถูก เรียกว่า เข้มงวดมากจะดีกว่า (บางคนอาจจะชิวๆ) มันโหดยังไง? คือถ้าใครเคยเรียนภาษาญี่ปุ่นมาบ้างก็จะรู้ว่าตัวอักษรญี่ปุ่นมี 3 แบบ คือ Hiragana 46 ตัว Katakana 46 ตัว แล้วก็ Kanji อีกเยอะมากกก ความโหดแรกก็คือเราใช้เวลาเรียน Hiragana แค่ประมาณไม่กี่เดือน แล้วก็เรียน Katakana อีกแค่อาทิตย์เดียว! (คิดดูดิตัวอักษรไทย 44 ตัว ยังใช้เวลาตั้งนาน) ซึ่งเราจะต้องจำให้ได้ทั้งหมด เพราะเราจะต้องสอบเรียงตัวอักษร ภายใน 30 วินาที ฟังเหมือนจะง่ายนะ แต่จริงๆมันยากมากกก แต่สุดท้ายทุกคนก็ผ่านมันมาได้(อย่างทุลักทุเล 555) แล้วพอได้ตัวอักษรเราก็จะเริ่มเรียนบทที่ 1 กัน เราใช้แบบเรียน Akiko to tomodachi จะมีทั้งหมด 6 เล่ม ประมาณ 30 บท แต่เวลาเรียน จะไม่ใช้หนังสือ เพราะ จะมีสื่อการสอนอื่นแทน แล้วก็ห้ามจดด้วย ต้องตั้งใจฟัง แล้วก็จำ ซึ่งความโหดของมันก็คือเราจะมีการสอบเขียนตามคำบอกทุกวัน! บางครั้งจะไม่บอกล่วงหน้า แต่ทุกคนต้องรู้ว่ามันเป็นหน้าที่ที่ต้องท่องมา ถ้าจบบทนี้แล้ว ก็ต้องท่องบทหน้าเผื่อไว้เลย ตอนแรกๆก็เครียดกัน บางทีก็ไม่รู้ว่าต้องสอบ ไม่ได้ท่องมาก็บ่อย แต่หลังๆก็ชิน 555 ตอนแรกๆก็เขียนแค่คำศัพท์ หลังๆก็จะมาเป็นประโยค เริ่มยาวขึ้นเรื่อยๆ และเพราะต้องมีเขียนตามคำบอกทุกวันนี่แหละ ทำให้เด็กศิลป์ญี่ปุ่น เกือบทุกคน จะพกหนังสือภาษาญี่ปุ่นมาโรงเรียนทั้งๆที่วันนั้นไม่มีเรียน แล้วว่างเมื่อไรก็จะหยิบขึ้นมาท่องตลอด 555 แล้วบางช่วงก็จะเรียนเร็วมากๆ ทุกคนต้องทบทวนเอง เพราะเซเคยบอกว่า เวลาในห้องเรียนมันมีน้อย ดังนั้นเราต้องอ่านเองด้วย ต้องพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา แล้วก็ต้องตั้งใจท่องทุกวัน เขียนตามคำบอกให้ได้คะแนนดีๆด้วย เขียนผิด ก็ต้องคัดมาส่ง คือเรียนญี่ปุ่นนี่ต้องตั้งใจมากๆๆๆๆๆๆ เรียกง่ายๆก็คือต้องทุ่มเท ถ้าคิดจะมาเรียนเล่นๆ เอาเกรดง่ายๆ นี่ฝันไปเลย และที่โหดที่สุดก็คือเวลามีคนได้คะแนนน้อยมากๆ เซจะพูดเสมอว่า ภาษาญี่ปุ่นมันยาก ตัวคันจิญี่ปุ่นก็มีเป็นพันๆตัว กริยาก็ผันตั้งหลายแบบ ญี่ปุ่นยิ่งเรียนมันก็ยิ่งยาก ถ้าง่ายๆแค่นี้ยังไม่ตั้งใจ ก็ย้ายไปเรียนสายอื่นค่ะ ที่เซพูดแบบนี้เพราะต้องการแค่คนที่อยากเรียนภาษาญี่ปุ่นจริงๆ ซึ่งมันก็ได้ผล เพราะพอเทอมต่อมาก็ย้ายสายกันไปถึง 21 คน เหลือผู้รอดชีวิตแค่ 20 คนอย่างเช่นทุกวันนี้ 5555
อ่านมาถึงตอนนี้หลายคนอาจจะบอกว่า ไม่เห็นน่าเรียนตรงไหนเลย 5555 จริงๆศิลป์ญี่ปุ่นเราน่าเรียนมากนะคะ ถึงแม้ว่าการเรียนอาจจะโหดสักหน่อย แต่เวลาเรียนก็ไม่น่าเบื่อนะ จะมีกิจกรรม มีเกมให้เล่นทุกคาบ ไม่มีคาบไหนที่ได้นั่งเฉยๆเลย บางทีก็จะมีเปิดการ์ตูนให้ดูด้วย แล้วอย่างที่บอกว่ามีเซเข้าสอนพร้อมกันหลายคน ครูก็จะเข้าถึงนักเรียนได้ทุกคน เวลามีอะไรไม่เข้าใจก็ถามได้ เซพร้อมจะอธิบายให้ฟังเสมอ เซจะใจดีมากๆๆๆ เวลาที่เด็กตั้งใจเรียน ตอนม.4 อาจจะกดดันหน่อย แต่พอขึ้น ม.5 ก็หายแล้ว และที่นี่เซนเซกับนักเรียนก็จะสนิทกันมาก เซจะจำชื่อเล่นนักเรียนได้ทุกคน คือจำได้ ตอนม.4 วันแรก เซจะถ่ายรูปหน้าทุกคน เอาไปเขียนชื่อใส่ แล้วก็นั่งท่อง เซคนญี่ปุ่นก็ยังท่องด้วย ประทับใจมาก 555 แล้วการบ้านส่วนมากก็จะเป็นอะไรที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ซะส่วนใหญ่ เช่นการแต่งเรื่อง แต่งเพลง หรือไม่ก็ถ่ายวิดีโอ มีแสดงละครบ่อยด้วย สนุกดี จนบางคนก็ถามว่านี่เรียนญี่ปุ่น หรือเรียนการแสดง 555 แล้วก็ข้อสอบภาษาญี่ปุ่นที่นี่ จะเป็น ‘ข้อเขียน’ ทั้งหมด ไม่ต้องหวังว่าจะเดา เพราะมันเดาไม่ได้ 55555
พูดเรื่องเรียนพอละมาพูดถึงเรื่องกิจกรรมกันบ้าง
กิจกรรมของศิลป์ญี่ปุ่นนี่ถือว่ามีเยอะมาก คือเราเรียนศิลป์ญี่ปุ่นก็ไม่ใช่เรียนแค่ภาษาญี่ปุ่นนะ ก็จะมีกิจกรรมอื่นๆ เช่น พับกระดาษ ใส่ชุดยูกาตะ พับตุ๊กตา ทำโอมาโมริ ทำอาหาร ปั้นโอนิกิริ ทำแกงกะหรี่ ทำทาโกยากิ และที่ ม.4 ทุกคนต้องทำ คือตัดเสื้อฮัปปิ เป็นเสื้อเทศกาลญี่ปุ่น ซึ่งจะต้องมีทุกคน แต่ละรุ่นสีก็จะแตกต่างกันไป ของรุ่นเราสีเหลือง ไว้ใส่วันวันวัฒนธรรม คือทำหลายอย่างมาก ทั้ง เย็บ ปัก ถัก ร้อย 555 แล้วช่วงวันทานาบาตะ เราก็จะจัดห้องญี่ปุ่นเป็นวันทานาบาตะ ให้คนอื่นๆมาเขียนคำอวยพร แล้วก็มีกิจกรรมให้ใส่ชุดยูกาตะถ่ายรูป ซึ่งวันพวกนี้ก็ทำเงินให้ศิลป์ญี่ปุ่นได้มากมาย 555 แล้ววันวัฒนธรรมเราก็จะมีการเต้นของศิลป์ญี่ปุ่น ทั้ง ม.4 ม.5 ม.6 รวมทั้งเซนเซทุกคนด้วย ตอนม .4 นี่เต้น Yosakoi ใครไม่รู้ว่าเป็นยังไง ก็ลองเปิดยูทูปดูนะ ตอนเต้นเหนื่อยมาก 555 พอม.5 ก็เต้น Kinoko น่ารักๆ พอ ม.6 เต้น Yokai Taiso น่ารักไปอีก 5555 วันวัฒนธรรม นอกจากจะเต้นก็จะมีการจัดซุ้ม ขายของ ขายอาหารด้วยสนุกมาก เหนื่อยมาก แล้วตอน ม.5 ก็จะมีจัดกิจกรรมทัศนศึกษาที่ประเทศญี่ปุ่นด้วย ประมาณ 5 วัน รับเฉพาะคนที่ได้เกรดวิชาญี่ปุ่น 3 ขึ้นไป เพราะเป็นการไปฝึกใช้ภาษาที่ญี่ปุ่นจริงๆ แล้วก็จะได้ลงออนเซ็นด้วย เป็นประสบการณ์ที่ดีมาก 555 ก่อนไปก็จะมีคอร์สระยะสั้นตอนปิดเทอม สอนโดยครูญี่ปุ่น เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนไปญี่ปุ่นด้วย คนไม่ไปก็มาเรียนได้ สอนฟรี
จบแล้วค่า โดยรวมก็จะมีประมาณนี้ เกี่ยวกับศิลป์-ญี่ปุ่นของเรา อาจจะมีช่วงที่เรียนเหนื่อยบ้าง ท้อบ้าง แต่มันก็ทำให้เราเป็นคนที่มีความพยายามแล้วก็อดทนมากขึ้น จริงๆเรียนอะไรก็ต้องใช้ความตั้งใจหมดแหละเนอะ แต่โดยรวมแล้วศิลป์ญี่ปุ่นของเราก็เฮฮาสนุกสนานกันนะคะ
แล้วก็อยากฝากถึงคนที่สนใจนะคะ ถ้าจะเรียนศิลป์-ญี่ปุ่นอยากให้เรียนเพราะว่าชอบภาษาญี่ปุ่นจริงๆ เพราะว่าอย่างที่บอกค่ะว่ามันยากมากแล้วก็หนักมากจริงๆ หลายคนเรียนแล้วท้อก็มีเหมือนกัน แต่ถ้าชอบและก็ตั้งใจจริงๆไม่ว่ายากแค่ไหนก็ทำได้อยู่แล้วค่ะ
เล่าประสบการณ์ เด็กศิลป์-ญี่ปุ่น สุรนารีวิทยา
*ผิดพลาดตรงไหนก็ขออภัยด้วยนะคะ
ปล.เราเรียนอยู่โรงเรียนสุรนารีวิทยา ศิลป์ญี่ปุ่นรุ่น 13 เพิ่งจบปีนี้เลย
เริ่มจากห้องเรียนศิลป์-ญี่ปุ่นของเรานะคะ จะเป็นแบบโต๊ะญี่ปุ่น นั่งพื้น มีฟุตงให้ ได้บรรยากาศแบบญี่ปุ๊นญี่ปุ่น เหมาะแก่การเรียนภาษาญี่ปุ่นอย่างมาก 555 เวลาว่างๆ ไม่มีไรทำ ก็จะมานอนเล่นกันที่ห้องญี่ปุ่นนี่แหละ
อย่างแรกพูดเรื่องการเรียนกันก่อน
อยู่ที่นี่เราจะเรียกคุณครูสอนภาษาญี่ปุ่นทุกคนว่า เซ ย่อมาจาก เซนเซ ซึ่งจะมีเซคนไทยที่สอนรุ่นเรา (รุ่นอื่นก็จะเป็นเซคนอื่น) 1 คน ค่อนข้างจะเข้มงวดมาก แต่ก็ใจดีมากๆเช่นกัน เซคนญี่ปุ่น 1 คน (มาใหม่ทุกๆ2ปี) และเซ ฝึกสอน อีก 2 คน (มาใหม่ทุกปี) ซึ่งหลายครั้งที่จะเข้าสอนพร้อมกันทั้ง 4 คน ใครคิดจะแอบหลับ ฝันไปได้เลย 555(แต่ปกติก็ไม่มีใครกล้าหลับนะ) เราเรียนญี่ปุ่น 3 วัน/อาทิตย์ หรือ 6ชม./อาทิตย์นั่นเอง
ตอนเริ่มแรกศิลป์ญี่ปุ่นรุ่นเรามีทั้งหมด 41 คน แต่พอเรียนๆไป ก็ลดมาเหลือแค่ 20 คนเท่านั้น 555 ถ้าถามว่าหายไปไหน ก็คือย้ายไปเรียนศิลป์อื่น ถ้าถามว่าทำไม ไม่ดีหรอ อยากจะบอกว่าไม่ใช่ว่าไม่ดี แต่ว่ามันโหดเกินไปต่างหาก 555 หรือจะเรียกให้ถูก เรียกว่า เข้มงวดมากจะดีกว่า (บางคนอาจจะชิวๆ) มันโหดยังไง? คือถ้าใครเคยเรียนภาษาญี่ปุ่นมาบ้างก็จะรู้ว่าตัวอักษรญี่ปุ่นมี 3 แบบ คือ Hiragana 46 ตัว Katakana 46 ตัว แล้วก็ Kanji อีกเยอะมากกก ความโหดแรกก็คือเราใช้เวลาเรียน Hiragana แค่ประมาณไม่กี่เดือน แล้วก็เรียน Katakana อีกแค่อาทิตย์เดียว! (คิดดูดิตัวอักษรไทย 44 ตัว ยังใช้เวลาตั้งนาน) ซึ่งเราจะต้องจำให้ได้ทั้งหมด เพราะเราจะต้องสอบเรียงตัวอักษร ภายใน 30 วินาที ฟังเหมือนจะง่ายนะ แต่จริงๆมันยากมากกก แต่สุดท้ายทุกคนก็ผ่านมันมาได้(อย่างทุลักทุเล 555) แล้วพอได้ตัวอักษรเราก็จะเริ่มเรียนบทที่ 1 กัน เราใช้แบบเรียน Akiko to tomodachi จะมีทั้งหมด 6 เล่ม ประมาณ 30 บท แต่เวลาเรียน จะไม่ใช้หนังสือ เพราะ จะมีสื่อการสอนอื่นแทน แล้วก็ห้ามจดด้วย ต้องตั้งใจฟัง แล้วก็จำ ซึ่งความโหดของมันก็คือเราจะมีการสอบเขียนตามคำบอกทุกวัน! บางครั้งจะไม่บอกล่วงหน้า แต่ทุกคนต้องรู้ว่ามันเป็นหน้าที่ที่ต้องท่องมา ถ้าจบบทนี้แล้ว ก็ต้องท่องบทหน้าเผื่อไว้เลย ตอนแรกๆก็เครียดกัน บางทีก็ไม่รู้ว่าต้องสอบ ไม่ได้ท่องมาก็บ่อย แต่หลังๆก็ชิน 555 ตอนแรกๆก็เขียนแค่คำศัพท์ หลังๆก็จะมาเป็นประโยค เริ่มยาวขึ้นเรื่อยๆ และเพราะต้องมีเขียนตามคำบอกทุกวันนี่แหละ ทำให้เด็กศิลป์ญี่ปุ่น เกือบทุกคน จะพกหนังสือภาษาญี่ปุ่นมาโรงเรียนทั้งๆที่วันนั้นไม่มีเรียน แล้วว่างเมื่อไรก็จะหยิบขึ้นมาท่องตลอด 555 แล้วบางช่วงก็จะเรียนเร็วมากๆ ทุกคนต้องทบทวนเอง เพราะเซเคยบอกว่า เวลาในห้องเรียนมันมีน้อย ดังนั้นเราต้องอ่านเองด้วย ต้องพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา แล้วก็ต้องตั้งใจท่องทุกวัน เขียนตามคำบอกให้ได้คะแนนดีๆด้วย เขียนผิด ก็ต้องคัดมาส่ง คือเรียนญี่ปุ่นนี่ต้องตั้งใจมากๆๆๆๆๆๆ เรียกง่ายๆก็คือต้องทุ่มเท ถ้าคิดจะมาเรียนเล่นๆ เอาเกรดง่ายๆ นี่ฝันไปเลย และที่โหดที่สุดก็คือเวลามีคนได้คะแนนน้อยมากๆ เซจะพูดเสมอว่า ภาษาญี่ปุ่นมันยาก ตัวคันจิญี่ปุ่นก็มีเป็นพันๆตัว กริยาก็ผันตั้งหลายแบบ ญี่ปุ่นยิ่งเรียนมันก็ยิ่งยาก ถ้าง่ายๆแค่นี้ยังไม่ตั้งใจ ก็ย้ายไปเรียนสายอื่นค่ะ ที่เซพูดแบบนี้เพราะต้องการแค่คนที่อยากเรียนภาษาญี่ปุ่นจริงๆ ซึ่งมันก็ได้ผล เพราะพอเทอมต่อมาก็ย้ายสายกันไปถึง 21 คน เหลือผู้รอดชีวิตแค่ 20 คนอย่างเช่นทุกวันนี้ 5555
อ่านมาถึงตอนนี้หลายคนอาจจะบอกว่า ไม่เห็นน่าเรียนตรงไหนเลย 5555 จริงๆศิลป์ญี่ปุ่นเราน่าเรียนมากนะคะ ถึงแม้ว่าการเรียนอาจจะโหดสักหน่อย แต่เวลาเรียนก็ไม่น่าเบื่อนะ จะมีกิจกรรม มีเกมให้เล่นทุกคาบ ไม่มีคาบไหนที่ได้นั่งเฉยๆเลย บางทีก็จะมีเปิดการ์ตูนให้ดูด้วย แล้วอย่างที่บอกว่ามีเซเข้าสอนพร้อมกันหลายคน ครูก็จะเข้าถึงนักเรียนได้ทุกคน เวลามีอะไรไม่เข้าใจก็ถามได้ เซพร้อมจะอธิบายให้ฟังเสมอ เซจะใจดีมากๆๆๆ เวลาที่เด็กตั้งใจเรียน ตอนม.4 อาจจะกดดันหน่อย แต่พอขึ้น ม.5 ก็หายแล้ว และที่นี่เซนเซกับนักเรียนก็จะสนิทกันมาก เซจะจำชื่อเล่นนักเรียนได้ทุกคน คือจำได้ ตอนม.4 วันแรก เซจะถ่ายรูปหน้าทุกคน เอาไปเขียนชื่อใส่ แล้วก็นั่งท่อง เซคนญี่ปุ่นก็ยังท่องด้วย ประทับใจมาก 555 แล้วการบ้านส่วนมากก็จะเป็นอะไรที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ซะส่วนใหญ่ เช่นการแต่งเรื่อง แต่งเพลง หรือไม่ก็ถ่ายวิดีโอ มีแสดงละครบ่อยด้วย สนุกดี จนบางคนก็ถามว่านี่เรียนญี่ปุ่น หรือเรียนการแสดง 555 แล้วก็ข้อสอบภาษาญี่ปุ่นที่นี่ จะเป็น ‘ข้อเขียน’ ทั้งหมด ไม่ต้องหวังว่าจะเดา เพราะมันเดาไม่ได้ 55555
พูดเรื่องเรียนพอละมาพูดถึงเรื่องกิจกรรมกันบ้าง
กิจกรรมของศิลป์ญี่ปุ่นนี่ถือว่ามีเยอะมาก คือเราเรียนศิลป์ญี่ปุ่นก็ไม่ใช่เรียนแค่ภาษาญี่ปุ่นนะ ก็จะมีกิจกรรมอื่นๆ เช่น พับกระดาษ ใส่ชุดยูกาตะ พับตุ๊กตา ทำโอมาโมริ ทำอาหาร ปั้นโอนิกิริ ทำแกงกะหรี่ ทำทาโกยากิ และที่ ม.4 ทุกคนต้องทำ คือตัดเสื้อฮัปปิ เป็นเสื้อเทศกาลญี่ปุ่น ซึ่งจะต้องมีทุกคน แต่ละรุ่นสีก็จะแตกต่างกันไป ของรุ่นเราสีเหลือง ไว้ใส่วันวันวัฒนธรรม คือทำหลายอย่างมาก ทั้ง เย็บ ปัก ถัก ร้อย 555 แล้วช่วงวันทานาบาตะ เราก็จะจัดห้องญี่ปุ่นเป็นวันทานาบาตะ ให้คนอื่นๆมาเขียนคำอวยพร แล้วก็มีกิจกรรมให้ใส่ชุดยูกาตะถ่ายรูป ซึ่งวันพวกนี้ก็ทำเงินให้ศิลป์ญี่ปุ่นได้มากมาย 555 แล้ววันวัฒนธรรมเราก็จะมีการเต้นของศิลป์ญี่ปุ่น ทั้ง ม.4 ม.5 ม.6 รวมทั้งเซนเซทุกคนด้วย ตอนม .4 นี่เต้น Yosakoi ใครไม่รู้ว่าเป็นยังไง ก็ลองเปิดยูทูปดูนะ ตอนเต้นเหนื่อยมาก 555 พอม.5 ก็เต้น Kinoko น่ารักๆ พอ ม.6 เต้น Yokai Taiso น่ารักไปอีก 5555 วันวัฒนธรรม นอกจากจะเต้นก็จะมีการจัดซุ้ม ขายของ ขายอาหารด้วยสนุกมาก เหนื่อยมาก แล้วตอน ม.5 ก็จะมีจัดกิจกรรมทัศนศึกษาที่ประเทศญี่ปุ่นด้วย ประมาณ 5 วัน รับเฉพาะคนที่ได้เกรดวิชาญี่ปุ่น 3 ขึ้นไป เพราะเป็นการไปฝึกใช้ภาษาที่ญี่ปุ่นจริงๆ แล้วก็จะได้ลงออนเซ็นด้วย เป็นประสบการณ์ที่ดีมาก 555 ก่อนไปก็จะมีคอร์สระยะสั้นตอนปิดเทอม สอนโดยครูญี่ปุ่น เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนไปญี่ปุ่นด้วย คนไม่ไปก็มาเรียนได้ สอนฟรี
จบแล้วค่า โดยรวมก็จะมีประมาณนี้ เกี่ยวกับศิลป์-ญี่ปุ่นของเรา อาจจะมีช่วงที่เรียนเหนื่อยบ้าง ท้อบ้าง แต่มันก็ทำให้เราเป็นคนที่มีความพยายามแล้วก็อดทนมากขึ้น จริงๆเรียนอะไรก็ต้องใช้ความตั้งใจหมดแหละเนอะ แต่โดยรวมแล้วศิลป์ญี่ปุ่นของเราก็เฮฮาสนุกสนานกันนะคะ
แล้วก็อยากฝากถึงคนที่สนใจนะคะ ถ้าจะเรียนศิลป์-ญี่ปุ่นอยากให้เรียนเพราะว่าชอบภาษาญี่ปุ่นจริงๆ เพราะว่าอย่างที่บอกค่ะว่ามันยากมากแล้วก็หนักมากจริงๆ หลายคนเรียนแล้วท้อก็มีเหมือนกัน แต่ถ้าชอบและก็ตั้งใจจริงๆไม่ว่ายากแค่ไหนก็ทำได้อยู่แล้วค่ะ