เมื่อวานนี้ ข่าวใหญ่ที่สุดในวงการกีฬาประเทศไทย ไม่มีอะไรใหญ่กว่า สมาคมฟุตบอล ฉีกสัญญาบริษัทสยามสปอร์ต ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) เป็นเรื่องระดับหักโค่นเจ้าพ่อวงการกีฬาหนึ่งเดียวของประเทศไทย ที่เดินไปไหน ใครๆ ก็ยำเกรงหวาดกลัว แต่มาเจอนายกสมาคม ที่มีดีกรีเป็นถึง "อดีตผบ.ตร." อิทธิพลและบารมีที่เคยมีมา ใช้ไม่ได้ผลเลย
แต่เชื่อไหม? เรื่องนี้ ไม่ใช่เรื่องใหม่ บิ๊กอ๊อด ประกาศเจตนารมย์ที่จะฉีกสัญญาฉบับนี้ มาตั้งแต่ก่อนเป็นนายกสมาคมฯ แล้ว และเป็น 1 ในนโยบายในการหาเสียง เพื่อมาเป็นนายกฯ ด้วยซ้ำไป
จึงอนุมานได้ว่า 62 เสียง ที่ลงมติให้บิ๊กอ๊อด เป็นนายกสมาคมฯ คือ 62 เสียง ที่สนับสนุนให้มาฉีกสัญญาสยามสปอร์ต และมาสำทับด้วย มติเอกฉันท์ของสภากรรมการ นั่นเอง
ถ้าติดตามเส้นทางการมาเป็นนายกสมาคมฟุตบอลของ สมยศ หรือ บิ๊กอ๊อด จะได้รับทราบว่า สมยศ ประกาศ นโยบาย 5 fair ก่อนเข้ามาเป็นนายกสมาคมฯ และการฉีกสัญญาสยามสปอร์ต มีนัยยะอยู่ในนโยบาย fair ที่ 2. เรื่องการปรับปรุงการบริหารสิทธิประโยชน์ของสมาคม ที่ได้ประกาศไว้กับสโมสรสมาชิก ตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคม 2558 แต่ ณ วันนั้น สยามสปอร์ตฯ คงนั่งหัวเราะกับนโยบายนี้ เพราะไม่คิดว่านายก และทีมงาน ที่ตัวเองสนับสนุน ส่งเข้าประกวด จะพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งนายกสมาคม แบบไม่มีสภาพ
มาดูกันว่าเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2558 สมยศ หรือ บิ๊กอ๊อด พูดเรื่องนี้ไว้อย่างไร ? มติสมาคม เมื่อวานนี้ คือ การยืนยันว่า สมยศ เป็นคนจริง พูดจริง ทำจริง ล้านเปอร์เซนต์ และเป็นเรื่องที่สยามสปอร์ต คงจุกจนหัวเราะไม่ออกแล้ว
1 MORENEWS จะพาไปย้อนดูว่า เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2558 พล.ต.อ.สมยศ พูดเรื่องการดูแลสิทธิประโยชน์ของสมาคมฟุตบอลเอาไว้อย่างไร
“... หลังจากได้ศึกษาปัญหาต่างๆ ของสมาคมฯ แล้ว ขอประกาศตรงนี้เลยว่า "ผมจะเข้ามาเพื่อคืนสิทธิ สิทธิประโยชน์ และความเป็นธรรมที่สโมสรสมาชิกพึงได้รับ กลับคืนให้สโมสรสมาชิกทุกๆ สโมสร ถ้าให้โอกาสผมเป็นนายกสมาคมฟุตบอลฯ สโมสรสมาชิกต้องได้รับสิทธิประโยชน์เต็มๆ ไม่ใช่รับเศษเนื้อข้างเขียงอีกต่อไป"
โดยพล.ต.อ.สมยศ ได้ขยายความว่าจะเข้ามาดำเนินนโยบาย แฟร์ที่ 2 คือ ปรับปรุงการบริหารสิทธิ และ สิทธิประโยชน์ รายรับ รายจ่าย ของสมาคมฯ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของสมาคมฯ และเป็นคำถามข้อใหญ่ที่สุดของสโมสรสมาชิก ว่าทุกวันนี้ โปร่ง ใสจริงหรือ? กับการบริหารสิทธิ ที่เริ่มจาก.....
1.ตัดสมาชิก ออกจากการเป็นเจ้าของสิทธิ ข้อบังคับที่ฟีฟ่า กำหนด คือ "สิทธิเป็นของสมาคมและสมาชิก" แต่ ไปแก้ไขกันเอง ให้ "สิทธิเป็นของสมาคม"
2.ยกสิทธิของสมาคมไปให้บริษัทหนึ่งบริหารจัดการแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ผูกขาดบริษัทเดียว หาประโยชน์ได้เท่าไรไม่รับรู้ รอส่วนแบ่งที่เหลือตามที่บริษัทแจ้งเท่านั้น
3.บริษัทหนึ่งเดียวนั้น ประกาศในรายงานประจำปี 2557ของบริษัท ว่ามีรายได้จากการจัดอีเวนท์ 893 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2556 จำนวน 405.8 ล้านบาท เนื่องจากรับรู้รายได้จากการบริหารสิทธิการแข่งขันฟุตบอลไทยพรีเมียร์ลีก จำนวน 490 ล้านบาท จากมูลค่าสิทธิประโยชน์ที่เพิ่มขึ้น
เพียงแค่ไทยพรีเมียร์ลีกรายการเดียว มีรายได้เพิ่มขึ้น 490 ล้านบาท คำถามคือ สิทธิของสมาคมทั้งหมด อยู่ที่บริษัทนี้ บริษัทเดียว ทีมชาติไทยทุกชุด ฟุตบอล ฟุตซอล ฟุตบอลหญิง และฟุตบอลทุกรายการที่จัดการแข่งขันภายใต้สมาคมฯ จะมีมูลค่ารวมเท่าไร ?
4.มาดูงบดุลสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ เจ้าของสิทธิ ปี 2556 มีรายได้ 223 ล้านบาท ปี 2555 มีรายได้ 131 ล้านบาท ในขณะที่ปี 2557 ยังไม่ส่งงบดุล
5.มาดูงบดุลบริษัทไทยพรีเมียร์ลีก ผู้จัดการแข่งขันฟุตบอลไทยพรีเมียร์ลีก ปี 2557 มีรายได้ 16.7 ล้านบาท มีกำไร 1.8 ล้านบาท ปี 2556 มีรายได้ 11.6 ล้านบาท มีกำไร 2.7 ล้านบาท
6.ย้อนกลับมาดูงบดุลของสโมสรสมาชิกของทุกๆท่าน ผมเชื่อว่า ตัวแดงมากกว่าตัวดำ บางคนถึงถอดใจ ต้องยอมถอยออกไป ทั้งๆ ที่รักฟุตบอล มาก
เพียงแค่ ผมเอาเงินรายได้จากการบริหารสิทธิประโยชน์ของไทยพรีเมียร์ลีก 490 ล้านบาท ที่ควรจะเป็นของสมาคมและสมาชิก กลับมาให้สมาคมและสมาชิก ได้ ผมเชื่อว่าสโมสรสมาคม และสมาชิก จะเข้มแข็งกว่านี้ ที่หมดทุน จะมีทุนทำต่อ ที่หมดใจ จะมีกำลังใจเพิ่มขึ้น แน่นอน
คำถามของผม ก็คือว่า ท่านจะยอมให้หยาดเหงื่อ ความรัก ความศรัทธา ความเสียสละที่ท่านทุ่มเทให้กับฟุตบอลไทยที่ท่านรัก ตกเป็นเหยื่อของผู้ที่รอเก็บกินผลประ โยชน์ไปแบบนี้เรื่อยๆ อีกไหม ?
ถ้าไม่ยอม ผมขอให้ท่านมาร่วมมือกับผม ผมจะเอาสิทธิประโยชน์ที่พึงมี พึงได้ พึงเป็นของท่าน กลับคืนมาให้ท่าน ผมจะแก้ไขข้อบังคับให้เป็นไปตามฟีฟ่ากำหนด "สิทธิต้องเป็นของสมาคมและสมาชิก"
การบริหารสิทธิ ต้องมีวัตถุประสงค์ 2 ข้อเท่านั้น คือ 1.เพื่อพัฒนาฟุตบอลไทย 2.เพื่อสิทธิประโยชน์ของสโมสรสมาชิก”
ที่มา :
http://www.1morenews.com/1279.html
ทำไม "สมยศ" ต้องฉีกสัญญาสยามสปอร์ตฯ
เมื่อวานนี้ ข่าวใหญ่ที่สุดในวงการกีฬาประเทศไทย ไม่มีอะไรใหญ่กว่า สมาคมฟุตบอล ฉีกสัญญาบริษัทสยามสปอร์ต ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) เป็นเรื่องระดับหักโค่นเจ้าพ่อวงการกีฬาหนึ่งเดียวของประเทศไทย ที่เดินไปไหน ใครๆ ก็ยำเกรงหวาดกลัว แต่มาเจอนายกสมาคม ที่มีดีกรีเป็นถึง "อดีตผบ.ตร." อิทธิพลและบารมีที่เคยมีมา ใช้ไม่ได้ผลเลย
แต่เชื่อไหม? เรื่องนี้ ไม่ใช่เรื่องใหม่ บิ๊กอ๊อด ประกาศเจตนารมย์ที่จะฉีกสัญญาฉบับนี้ มาตั้งแต่ก่อนเป็นนายกสมาคมฯ แล้ว และเป็น 1 ในนโยบายในการหาเสียง เพื่อมาเป็นนายกฯ ด้วยซ้ำไป
จึงอนุมานได้ว่า 62 เสียง ที่ลงมติให้บิ๊กอ๊อด เป็นนายกสมาคมฯ คือ 62 เสียง ที่สนับสนุนให้มาฉีกสัญญาสยามสปอร์ต และมาสำทับด้วย มติเอกฉันท์ของสภากรรมการ นั่นเอง
ถ้าติดตามเส้นทางการมาเป็นนายกสมาคมฟุตบอลของ สมยศ หรือ บิ๊กอ๊อด จะได้รับทราบว่า สมยศ ประกาศ นโยบาย 5 fair ก่อนเข้ามาเป็นนายกสมาคมฯ และการฉีกสัญญาสยามสปอร์ต มีนัยยะอยู่ในนโยบาย fair ที่ 2. เรื่องการปรับปรุงการบริหารสิทธิประโยชน์ของสมาคม ที่ได้ประกาศไว้กับสโมสรสมาชิก ตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคม 2558 แต่ ณ วันนั้น สยามสปอร์ตฯ คงนั่งหัวเราะกับนโยบายนี้ เพราะไม่คิดว่านายก และทีมงาน ที่ตัวเองสนับสนุน ส่งเข้าประกวด จะพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งนายกสมาคม แบบไม่มีสภาพ
มาดูกันว่าเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2558 สมยศ หรือ บิ๊กอ๊อด พูดเรื่องนี้ไว้อย่างไร ? มติสมาคม เมื่อวานนี้ คือ การยืนยันว่า สมยศ เป็นคนจริง พูดจริง ทำจริง ล้านเปอร์เซนต์ และเป็นเรื่องที่สยามสปอร์ต คงจุกจนหัวเราะไม่ออกแล้ว
1 MORENEWS จะพาไปย้อนดูว่า เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2558 พล.ต.อ.สมยศ พูดเรื่องการดูแลสิทธิประโยชน์ของสมาคมฟุตบอลเอาไว้อย่างไร
“... หลังจากได้ศึกษาปัญหาต่างๆ ของสมาคมฯ แล้ว ขอประกาศตรงนี้เลยว่า "ผมจะเข้ามาเพื่อคืนสิทธิ สิทธิประโยชน์ และความเป็นธรรมที่สโมสรสมาชิกพึงได้รับ กลับคืนให้สโมสรสมาชิกทุกๆ สโมสร ถ้าให้โอกาสผมเป็นนายกสมาคมฟุตบอลฯ สโมสรสมาชิกต้องได้รับสิทธิประโยชน์เต็มๆ ไม่ใช่รับเศษเนื้อข้างเขียงอีกต่อไป"
โดยพล.ต.อ.สมยศ ได้ขยายความว่าจะเข้ามาดำเนินนโยบาย แฟร์ที่ 2 คือ ปรับปรุงการบริหารสิทธิ และ สิทธิประโยชน์ รายรับ รายจ่าย ของสมาคมฯ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของสมาคมฯ และเป็นคำถามข้อใหญ่ที่สุดของสโมสรสมาชิก ว่าทุกวันนี้ โปร่ง ใสจริงหรือ? กับการบริหารสิทธิ ที่เริ่มจาก.....
1.ตัดสมาชิก ออกจากการเป็นเจ้าของสิทธิ ข้อบังคับที่ฟีฟ่า กำหนด คือ "สิทธิเป็นของสมาคมและสมาชิก" แต่ ไปแก้ไขกันเอง ให้ "สิทธิเป็นของสมาคม"
2.ยกสิทธิของสมาคมไปให้บริษัทหนึ่งบริหารจัดการแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ผูกขาดบริษัทเดียว หาประโยชน์ได้เท่าไรไม่รับรู้ รอส่วนแบ่งที่เหลือตามที่บริษัทแจ้งเท่านั้น
3.บริษัทหนึ่งเดียวนั้น ประกาศในรายงานประจำปี 2557ของบริษัท ว่ามีรายได้จากการจัดอีเวนท์ 893 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2556 จำนวน 405.8 ล้านบาท เนื่องจากรับรู้รายได้จากการบริหารสิทธิการแข่งขันฟุตบอลไทยพรีเมียร์ลีก จำนวน 490 ล้านบาท จากมูลค่าสิทธิประโยชน์ที่เพิ่มขึ้น
เพียงแค่ไทยพรีเมียร์ลีกรายการเดียว มีรายได้เพิ่มขึ้น 490 ล้านบาท คำถามคือ สิทธิของสมาคมทั้งหมด อยู่ที่บริษัทนี้ บริษัทเดียว ทีมชาติไทยทุกชุด ฟุตบอล ฟุตซอล ฟุตบอลหญิง และฟุตบอลทุกรายการที่จัดการแข่งขันภายใต้สมาคมฯ จะมีมูลค่ารวมเท่าไร ?
4.มาดูงบดุลสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ เจ้าของสิทธิ ปี 2556 มีรายได้ 223 ล้านบาท ปี 2555 มีรายได้ 131 ล้านบาท ในขณะที่ปี 2557 ยังไม่ส่งงบดุล
5.มาดูงบดุลบริษัทไทยพรีเมียร์ลีก ผู้จัดการแข่งขันฟุตบอลไทยพรีเมียร์ลีก ปี 2557 มีรายได้ 16.7 ล้านบาท มีกำไร 1.8 ล้านบาท ปี 2556 มีรายได้ 11.6 ล้านบาท มีกำไร 2.7 ล้านบาท
6.ย้อนกลับมาดูงบดุลของสโมสรสมาชิกของทุกๆท่าน ผมเชื่อว่า ตัวแดงมากกว่าตัวดำ บางคนถึงถอดใจ ต้องยอมถอยออกไป ทั้งๆ ที่รักฟุตบอล มาก
เพียงแค่ ผมเอาเงินรายได้จากการบริหารสิทธิประโยชน์ของไทยพรีเมียร์ลีก 490 ล้านบาท ที่ควรจะเป็นของสมาคมและสมาชิก กลับมาให้สมาคมและสมาชิก ได้ ผมเชื่อว่าสโมสรสมาคม และสมาชิก จะเข้มแข็งกว่านี้ ที่หมดทุน จะมีทุนทำต่อ ที่หมดใจ จะมีกำลังใจเพิ่มขึ้น แน่นอน
คำถามของผม ก็คือว่า ท่านจะยอมให้หยาดเหงื่อ ความรัก ความศรัทธา ความเสียสละที่ท่านทุ่มเทให้กับฟุตบอลไทยที่ท่านรัก ตกเป็นเหยื่อของผู้ที่รอเก็บกินผลประ โยชน์ไปแบบนี้เรื่อยๆ อีกไหม ?
ถ้าไม่ยอม ผมขอให้ท่านมาร่วมมือกับผม ผมจะเอาสิทธิประโยชน์ที่พึงมี พึงได้ พึงเป็นของท่าน กลับคืนมาให้ท่าน ผมจะแก้ไขข้อบังคับให้เป็นไปตามฟีฟ่ากำหนด "สิทธิต้องเป็นของสมาคมและสมาชิก"
การบริหารสิทธิ ต้องมีวัตถุประสงค์ 2 ข้อเท่านั้น คือ 1.เพื่อพัฒนาฟุตบอลไทย 2.เพื่อสิทธิประโยชน์ของสโมสรสมาชิก”
ที่มา : http://www.1morenews.com/1279.html