เนื้องอกที่เต้านม เรื่องธรรมดาที่เกิดกับตัวเป็นอันต้องกลัวกันทุกคน

1 เดือน จากถุงน้ำ สู่ เนื้องอก

เราเป็นผู้หญิง อายุ 29 ปี เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 59 เราคลำเจอก้อนแข็งๆที่เต้านมซ้ายด้านใน 1ก้อน และรู้สึกเจ็บจี๊ดๆที่ก้อน แม่ไม่มากนะ 1 วันจะรู้สึกจี๊ดๆสัก 6-8 ครั้ง เราก็นั่งอ่านข้อมูลเรื่องเนื้องอก ถุงน้ำ ที่เต้านม เหมือนเพื่อนๆหลายคนที่นั่นแหละ แล้วก็โทรถามเพื่อนที่เคยมีก้อนที่เต้านม เรื่องสถานพยาบาล เราค่อนข้างกังวลเพราะไม่มีหลักประกันอะไรนอกจาก 30 บาท รักษาทุกโรค เพื่อนๆแนะนำว่าถ้าจะไปตรวจลองไปตรวจที่สถานพยาบาลเหล่านี้ดู สถาบันมะเร็ง ศิริราช รามา จุฬา และ ศูนย์แพทย์พัฒนา  เพื่อนบอกว่าหมอดูแลดี และ ราคาไม่สูงเกินไป
เราเลือกศูนย์แพทย์พัฒนา เพราะอยู่ไม่ไกลบ้านเรา และมีเพื่อนทำงานที่นั้นด้วย

เพื่อนช่วยนัดหมอ ได้คิววันที่ 21 มีนา 59 เป็นการรอคอยที่เต็มไปด้วยความกังวล
เราสังเกตอาการตัวเองอยู่ตลอด ความเจ็บมีมากขึ้น มีความถี่ของอาการมากขึ้น จากที่ 1 วัน 6-8 ครั้ง
มาเป็น ทุกชั่วโมง และ 1 ชั่วโมง เจ็บหลายๆครั้ง ระยะเวลาในการเจ็บแต่ระครั้งจากที่จี๊ดๆ แล้วหายไป อาการจี๊ดอยู่นานขึ้น
เข้าวันที่ 17 เราเริ่มทำงานไม่ไหว มันมีความรู้สึกปวดไปถึงด้านหลัง การนอนในแต่ละคืนเป็นไปอย่างทรมาน เราเจ็บจนนอนไม่หลับ



วันที่ 21 มีนา
เราไปพบคุณหมอตามที่โทรนัดไว้ คุณหมอคลำด้วยมือแล้วบอกเราว่า ข้างซ้ายประมาณ 2 cm 1 ก้อน (เป็นจุดที่เราเจ็บ)
ด้านขวา มี1 ก้อน หนาๆแต่ไม่แข็ง คุณหมอนัดมาให้ตรวจเมมโมแกรม และ อัลตร้าซาวด์ วันที่ 24



วันที่ 24 มีนา
เรามาทำเมมโมแกรม และ อัลตร้าซาวด์ (นัดฟังผล 28 มีนา)
อันนี้ให้ข้อมูลไว้สำหรับคนที่จะไปตรวจเมมโมแกรม เมมโมแกรมก็ประมาณว่าเราเอกซเรย์นั่นแหละ แต่ทำที่เต้านม
เราดูคลิปนี้ก่อนไปตรวจ แอบกลัวเหมือนกัน 5555  http://radiology.md.chula.ac.th/?p=1262
ถามว่าเจ็บไหม ของเราไม่เจ็บนะ คงจะต้องขึ้นอยู่กับความชำนาญของผู้ให้บริการ พี่ๆที่ศูนย์แพทย์ดูแลดี ไม่เจ็บเลย
ส่วนการทำอัลตร้าซาวด์เต้านม อันนี้ก็จะเป็นภาพเคลื่อนไหวในเต้านม คุณหมอจะเคลื่อนที่ตามจุดต่างๆเพื่อดูก้อนที่มีในเต้านม และขนาดของ
ก้อนที่เจอ โดยทั่วไปไม่เจ็บ แต่ด้วยความที่เราเจ็บก้อนอยู่แล้ว โดนนิดเดียวก็เจ็บ พอคุณหมอตรวจบริเวณก้อนด้านซ้ายเราเลยค่อนข้างเจ็บมาก ราคาสำหรับที่นี่ เมมโมแกรม + อัลตร้าซาวด์ 2,200 บาท



วันที่ 28 มีนา
เรามาฟังผลการทำเมมโมแกรม และ อัลตร้าซาวด์ ผลออกมาว่า มีทั้งหมด 4 ก้อน รวมกัน 2 ข้าง แต่มีอยู่ก้อนนึงที่ ประมาณ 2 cm กว่าๆ
อยู่ในขั้น BIRADS  4   หมายถึง  ตรวจพบสิ่งที่สงสัยว่าผิดปกติ มีโอกาสเป็นมะเร็งได้
เพื่อนๆไปอ่านเพิ่มเติมได้(เราพยายามเล่าไปให้หาข้อมูลไปอยากให้ได้ข้อมูลให้มากที่สุด) http://www.thaibreastcancer.com/ca-130/

หลังจากได้ผลตรวจคุณหมอให้เราเลือก 3 ทาง
1. เจาะนำเนื่อจากก้อนบางส่วนออกมาตรวจ ถ้าผลออกมาว่าไม่ดีก็ค่อยมาผ่า
2. ผ่าไปเลย เอาทั้งก้อนออกไปตรวจ
3. นำผลที่ได้ไปรักษาที่อื่น
เราเลือกขอตัดสินใจ ตอนนั้นห่วงเรื่องค่าผ่าตัดกลัวว่าจะจ่ายไม่ไหว และแอบคิดต่อว่าถ้าเป็นเนื้อร้ายต้องรักษาต่อควรรักษาที่ไหน
แต่ในใจอยากเอาออกซ่ะวันนี้เลยเพราะเจ็บมาก
ก่อนกลับคุณหมอบอกว่า ตัดสินใจให้ได้ภายในอาทิตย์นี้นะอย่าเอาไว้นาน พร้อมให้เอกสารและ CD ผลการทำเมมโมแกรมและอัลตร้าซาวด์มา


เที่ยงวันนั้นเราตัดสินใจไปโรงพยาบาลตามสิทธิบัตรทอง แล้วนำข้อมูลที่คุณหมอให้มามายื่นให้
สิทธิบัตรทองของเราเป็นสถานพยาบาลย่านมีนบุรี สถานพยาบาลขนาดใหญ่เค้าว่าไว้อย่างนั้น
เรายื่นข้อมูลให้กับทางเจ้าหน้า พอได้ตรวจเรานำข้อมูลที่มีมาให้ดู คุณหมอขอคลำที่ก้อนสักเล็กน้อย แล้วบอกว่า คุณหมอบอกว่าหมอไม่ใช่แพทย์เฉพาะทาง แต่จะส่งเรื่องให้คุณหมอศัลยกรรมให้ดำเนินการต่อ หลังจากนั้นพยาบาลนัดเราให้มาพรุ่งนี้บ่ายเพื่อพบคุณหมอศัลยกรรม



วันที่ 29 มีนา
เรามาตามใบนัดของโรงพยาบาลแห่งที่ 2 ตามสิทธิบัตรทอง (ขอเรียกแทนชื่อคุณหมอว่า หมอ2)
เรานำเอกสารทุกอย่างให้ดู คุณหมอถามอาการ เราก็บอกไป คุณหมอดูข้อมูล เราให้ซีดี คุณหมอบอกเอาซีดีมาก็ไม่มีประโยชน์ และพูดต่อว่า

หมอ2 "สิ่งที่หนูเป็นเค้าเรียกว่าโรคถุงน้ำ มันจะมีอาการเจ็บเป็นปกติทุกเดือนในช่วงมีประจำเดือน พอหมดก็หายปวด ใครๆก็เป็นกัน"

เรา   "แต่หนูเจ็บมา 1 เดือนต่อเนื่องเลยนะคะ แล้วคุณหมอที่แรกก็แนะนำให้ผ่า"

หมอ2 "ที่เค้าระบุมากว่าอยู่ในระดับ 4 เป็นก้อนเนื้อที่ควรผ่าก็จริง แต่หนูยังเด็กไม่ได้จำเป็นต้องผ่าให้เสียรูปทรงของนม หนูอายุยังน้อยจะผ่าไปทำไม ถ้าหนูเป็นลูกหมอนะ หมอก็จะบอกว่าไม่ต้องผ่า อ้าวขึ้นเตียงหมอจะตรวจให้ จะตรวจให้"

หมอพูดเสียงเข้ม ดูเหมือนหงุดหงิด ที่สำคัญคุณหมอไม่ได้ดูแม้แต่ประวัติเรา
คุณหมอไม่รู้ว่าเราจะ 30 แล้ว เค้าเข้าใจว่าเรา อายุ 19-20 เท่าๆลูกสาวเค้า (เราเป็นคนตัวเล็ก หน้าเด็ก และไม่ค่อยแต่งหน้า)
วันนั้นเราให้พี่สาวเราเข้าไปด้วย เพราะบรรยากาศหน้ากลัว ไม่กล้าเข้าไปคนเดียว

หลังจากนั้นพอเรานอนอยู่บนเตียงเปลือยหน้าอกเพื่อให้ตัว คุณหมอก็คลำตามวิธีตรวจปกติแค่มือหนักไปนิด แล้วพูดต่อว่า
หมอ2  "ทางซ้ายมีก้อนใหญ่เหมือนที่ระบุไว้" แล้วเค้าก็กดก้อนนั้น ซึ่งเราเจ็บจนน้ำตาไหล
หมอ2  "ทางขวามีอีกก้อนแต่ไม่ใหญ่ พยาบาลเอาเข็มมาหมอจะเจาะให้ดู ถ้ามีน้ำออกมาก็จบ"
แล้วก็นำเข็มจิ้มแล้วดูน้ำบริเวณก้อนด้านขวา ไม่มีอะไรออกมา ก็นำเข็มออก
แล้วเปลี่ยนเข็ม มาจิ้มก้อนด้านซ้าย ในจุดที่เราเจ็บ พอจิ้มเท่านั้นแหละ เราพูดไม่ออกเพราะมันเจ็บจนไม่มีคำบรรยาย
ทั้ง2 ข้างไม่มีอะไรออกมา คุณหมอให้เราใส่เสื้อแล้วลงจากเตียงเพื่อคุยต่อ (ตอนนั้นเราพูดอะไรไม่ออกแล้วเพราะเจ็บได้แต่น้ำตาไหล)

หมอ2  "มันไม่เป็นอะไรเลย ไม่มีอะไร มันเป็นปกติ แต่ถ้าหนูอยากมาผ่าหมอก็จะผ่าให้ แต่ไม่ใช่ว่าเห็นค่ารักษามัน 30 บาท แล้วจะมาขอผ่าก็มา หนูไม่เพิ่งมาปวด หนูปวดมาตั้งนานแล้ว และหนูก็ทนมันได้ แล้วจะผ่าทำไม เดือนหน้าค่อยมาดูใหม่แล้วกัน"
หมอนัดอีกที ปลายเดือนเมษา

เราเดินออกมาทั้งน้ำตาจ่ายไป 30 บาท ไม่ได้แม้แต่ยาแก้ปวด ตอนนั้นเวทนาตัวเองมาก การรักษาที่คุณหมอทำไม่ผิด เพียงแต่ไม่ได้อธิบายที่มาที่ไปให้เราฟัง บอกแต่ว่ามันไม่เป็นอะไร วันนั้นเราโทรกลับไปที่ศูนย์แพทย์พัฒนาเพื่อขอนัดพบคุณหมออีกครั้งและระบุว่าพร้อมผ่า ได้วันนัดเป็นวันที่ 30 มีนา
คืนนั้นเป็นคือที่เลวร้ายมาก เพราะเราเจ็บมากทางด้านซ้าย และเจ็บเพิ่มที่ข้างขวา เรานอนไม่ได้เลย



วันที่ 30 มีนา (เราขอเรียกแทนชื่อคุณหมอว่า หมอ1)
เรามาพร้อมเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นให้คุณหมอที่ศูนย์แพทย์พัฒนาฟังว่าเราไปเจออะไรมาบ้าง คุณหมอให้ข้อมูลว่าทางโน้นไม่ได้ทำผิดอไร นั้นก็เป็นหนึ่งในการรักษาเช่น ถ้าคุณหมอเจาะแล้วนำเนื้อบริเวณนั้นไปตรวจโดยการป้ายลงที่แผ่นสไลด์ แต่เราไม่เห็นคุณหมอ2 ทำ หรือเค้าทำแต่เรามองไม่ทัน เอาเป็นว่าไม่ปักปำกันก็แล้วกัน เราแจ้งคุณหมอว่า "หนูพร้อมที่จะผ่าแล้วค่ะ" คุณหมอทำการผ่าให้วันนั้นตอนเที่ยง
ที่นี่จะไม่มีการนอนพักแบบค้างคืน และจากที่เราดูข้อมูลส่วนใหญ่คนที่ผ่าจะสามารถกลับบ้านได้เลยเพราะแผลไม่ใหญ่มาก
**เก้าอี้พักสำหรับคนไข้รอการผ่าตัดนั่งสบายมากกกก หลับเลยจ้า**

เที่ยงกว่าๆวันนั้นก็เริ่มทำการผ่า นี่คือการผ่าตัดครั้งแรกในชีวิต คุณหมอใช้ยาชาฉีดลงตรงจุดมาร์คสำหรับหรับผ่าตัด และเช็คว่าเรารู้สึกเจ็บไหม
เมื่อไม่เจ็บแสดงว่ายาชาเริ่มทำงานแล้ว คุณหมอกันฉากไม่ให้เราเห็นการผ่าตัด และคอยเรียกชื่อถามความรู้สึกเราเป็นระยะ
ผ่านไป 20 นาที การผ่าตัดเสร็จสิ้น คุณหมอนำก้อนเนื้อที่ได้ออกมาให้ดู ปรากฎว่าได้ออกมา 2 ก้อน เป็นก้อนเนื่อทั้งคู่
ก้อนแรกขนาดประมาณ 2-3 cm ก้อนที่สองขนาดประมาณ 4-5 cm

หมอ1  "คนไข้เก่งมาก ความอดทนสูงมาก แผลใหญ่กว่าที่คิดนะ เพราะเราเจอก้อนเนื้ออยู่ใกล้กัน 2 ก้อน ซึ่งจำเป็นต้องเอาออกมา แผลประมาณนี้ควรดมยา แต่คนไข้อดทนดีมาก การผ่าตัดเป็นไปด้วยดี แต่คนไข้จะต้องใส่ท่อระบายสารคัดหลั่ง เนื่องจากแผลลึกอย่างที่บอก ตัวท่อนี่จะช่วยให้แผลไม่บวมโดยจะระบายของเหลวจากร่างกายออกมาไว้ในขวด"

หลังผ่าตัดเรานอนพักในห้องรับรองผู้ผ่าตัดประมาณ 1 ชั่วโมง แล้วจึงกลับบ้าน แผลไม่ได้ติดแผลกันน้ำ แต่ปิดด้วยผ้าก๊อต คือห้ามอาบน้ำ
คุณหมอนัดอีกทีวันที่ 2 เมษา เพื่อถอดท่อ
ค่าผ่าตัด และค่าวินิจฉัยก้อนเนื้อ รวม 14,300 บาท


วันที่ 2 เมษา
มาถอดท่อระบายสารคัดหลั่ง สารคัดหลั่งที่ออกมาอยู่ในเกณฑ์ดี ไม่มีปัญหาอะไร
**สารคัดหลั่งในกรณีของเราคือ เลือด น้ำเหลือ ประมาณนั้น
หมอนัดฟังผลการตรวจก้อนเนื้อในวันที่ 5 เมษา



วันที่ 5 เมษา
เรามาตามใบนัดหมอ1 มาถึงหมอก็ทำกันตัดไหม แต่ตัดไม่ได้เนื่องจากแผลไม่แห้ง
หมอให้เราไปรอหน้าห้องตรวจอีกรอบเพื่อรอการฟังผลก้อนเนื้อ

หมอ1  "ผลออกมาไม่ค่อยดี ต้องทำการรักษาต่ออย่างเร่งด่วน จะต้องมีการตรวจก้อนเนื้อเพิ่มเติม หมอจะส่งตัวไปที่โรงพยาบาลที่ใหญ่ คุณจะเลือกโรงพยาบาลอะไร"
เรา   "น่าจะรามาค่ะ" และให้เหตุผลประกอบนิดหน่อย

คุณหมอเตรียมข้อมูลและเขียนเอกสารเพื่อเตรียมส่งต่อ เรากำหนดการส่งตัวไว้ในวันที่ 11 เมษา (วันที่นำเรื่องมาลงในนี้คือวันที่ 7 เมษา)

ตอนที่รู้ว่าก้อนเนื้อที่ตรวจไม่ปกติ น้ำตาเอ่อเตรียมจะไหลเต็มที แต่กลั้นไว้อายหมอ ที่จริงไม่ได้เตรียมตัวมาเพื่อฟังคำนี้ ในหัวคาดหวังที่จะได้ยินคำว่า "ก้อนเนื้อปกติ ไม่ปัญหาอะไรแล้วครับ" แต่ความจริงที่ได้ยินกลับเป็นตรงกันข้าม แม้หมอจะได้ฟันธงว่าฉันจะต้องเผชิญหน้ากับมะเร็งหรือไม่ แต่นาทีนั้นจิตตกอยู่ไม่น้อย ฉันเดินทางไปฟังผลเพียงคนเดียว ไม่ได้มีให้ใครมาเพราะคิดว่าเล็กน้อยฟังแล้วกลับ
แต่เมื่อผลออกมาเป็นลบ ก็แทบจะเดินไม่เป็นเลยทีเดียว นึกไม่ออกว่าจะบอกคนที่บ้านอย่างไร จะลางานยังไง จะต้องผ่าอีกกี่ครั้ง ค่ารักษาจะเท่าไร ระหว่างเดินเรื่องเอกสารที่ฉันต้องตั้งสติ เพื่อฟังคำแนะนำและการดำเนินการในการย้ายที่รักษา
ต้องขอบคุณหมอ และเจ้าหน้าที่ทุกคนที่นี่ ดูแลเราเป็นอย่างดี ให้รอยยิ้ม ให้กำลังใจ เป็นอย่างดี


ฉันคงเล่าได้แค่นี้จนกว่าการย้ายโรงพยาบาลจะเสร็จสิ้น หรืออาจจะกลับมาอีกทีเมื่อการรักษาเสร็จสิ้น
จิตใจตอนนี้โอเคมากแล้ว พร้อมที่จะรับการรักษาต่อ ตอนที่จิตตกเกิดขึ้นในระยะสั้นๆ เราแค่ไม่ได้คิดเผื่อไว้ เป็นการขาดสติไปชั่วขณะ
ขอบคุณทุกคนที่แวะเข้ามา และก็เป็นกำลังใจให้ทุกคนที่กำลังเผชิญกับเรื่องราวเดียวกัน อมยิ้ม01อมยิ้ม01อมยิ้ม01อมยิ้ม01
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่