ทำไมเราถึงรู้สึกเดียวดายทั้งที่โลกโซเชียลดึงทุกอย่างมาให้ใกล้กัน ?
เรามีโอกาสได้เจอ ได้พบ ได้รู้จักคนใหม่ๆ แต่หลายครั้งมันกลับยิ่งทำให้เรารู้สึกแปลกแยกและเดียวดายมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม ความซ้ำซากจำเจ รสนิยมแบบเดิมๆ บทสนทนาซ้ำๆ ชีวิตประจำวันที่น่าเบื่อ เมื่อเราต้องเจอบ่อยๆเข้า ความกระตือรือร้นในการอยากพบปะผู้คนก็น้อยลงไป ไม่ต่างอะไรจากสิ่งอื่นๆรอบๆตัว ไม่ว่าจะเป็นเพลงที่ฟัง หนังสือที่อ่าน หนังที่ดู เมื่อเราเข้าใจมันมากถึงจุดๆหนึ่ง เราก็พอจะเดาทิศทางของมันได้ และความตื่นเต้นของมันก็จะหมดลง
ผมเองก็เป็นคนปฏิเสธโลกรอบๆตัวพอสมควร ด้วยความที่มักโดนแกล้งตั้งแต่เด็ก ก็เลยเป็นคนเพื่อนน้อย เวลาส่วนใหญ่จึงหมดไปกับการเฝ้ามองคนอื่นอยู่ห่างๆ กลายเป็นคนชอบสังเกตคน ชอบดูคน แล้วค่อนข้างมีความมั่นใจในความแม่นยำในการคาดเดานิสัยของคน การเดานิสัยคนสำหรับผมนั้นถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะมันทำให้เราไม่ต้องเหนื่อยกับคนที่เราไม่ค่อยอยากจะเข้าใกล้ และทำให้เรารู้ถึงคุณค่าของคนที่หาเจอยากๆที่เราอยากสนิทด้วย แต่ถึงอย่างนั้น โลกโซเชียลก็ทำให้เราต้องเจอคนที่ไม่ควรเจอได้ง่ายๆ ยกตัวอย่างเช่นคอมเม้นท์ในเพจดังๆ หรือคอมเม้นท์ในเว็ปกระทู้บางกระทู้ ทำให้เราต้องอ่านความคิดเห็นของคนบางประเภทที่เราไม่ชอบเลย แล้วก็ทำให้เราเสียความรู้สึกได้ง่าย ซึ่งผมเองก็พยายามที่จะเลี่ยงอะไรแบบนั้นมาตลอด
การงานและความชอบเองก็ทำให้ตัวผมเบื่อโลกได้เหมือนกัน การที่ต้องอยู่กับแวดวงเพลง ทำให้การหาความบันเทิงจากเพลงกลายเป็นเรื่องยากไปเสียแล้ว การที่เรารู้หมดว่าเขาแต่งเพลงนี้ขึ้นมาเพื่อจุดประสงค์อะไร ทำไมถึงใช้คำนี้มาเน้นในท่อนฮุค เขาต้องการปฏิกริยาจากคนฟังแบบไหน เพลงๆนี้กระแสตอบรับจะเป็นยังไง จะกลายเป็นเพลงดังไหม ฯลฯ พฤติกรรมแบบนี้ทำให้ความสุขของการฟังเพลงลดน้อยลง รวมไปถึงความสุขจากการได้ดูโชว์ต่างๆก็พลอยหดหายไปด้วย ซึ่งก็พอจะวิเคราะห์ง่ายๆได้ว่า อะไรก็ตามที่เราทำมันเป็นประจำ ความพิเศษของมันก็จะลดหายไป และเมื่อเราเอาสิ่งที่เราชอบมาทำเป็นงานประจำ เราก็คงต้องหามุมมองหรือความชอบใหม่ๆมาเพื่อเพิ่มความน่าสนใจหรือความตื่นเต้นให้กับสิ่งที่เราทำไปด้วย
คนชอบมองผมเป็นคนแปลกประหลาด ซึ่งผมเองก็ยอมรับและค่อนข้างชื่นชอบข้อสรุปเหล่านั้น ผมไม่ชอบเหมือนคนอื่น รู้สึกว่าการที่เราเหมือนคนอื่นมันน่าเบื่อ ขำตามคนอื่น เศร้าตามคนอื่น โกรธตามนอื่น ในยุคที่โลกโซเชี่ยลทำให้เกิดกระแสของพวกมากลากไป หรือการนิยมชื่นชมอะไรด้วยมุมมองระนาบเดียว ทำให้ตัวผมมักหยุดนิ่งก่อนที่จะเหมือนใคร เพราะบางครั้งมันก็ทำให้เราได้เห็นอะไรๆมากกว่าสิ่งที่อยู่ตรงนั้น ซึ่งก็คงคล้ายๆกับคำว่า anomaly ที่แปลว่าความผิดปกติ หรือ สิ่งที่แปลกประหลาด ซึ่งคนธรรมดาสามัญมักจะไม่ชอบ เพราะรู้สึกถึงความคุกคามที่เป็นภัย คาดเดาไม่ได้ ไม่เหมือนชาวบ้านหรือสิ่งที่คุ้นเคย แต่ในความเป็นจริง การที่เราเป็นคนธรรมดาๆที่ normal ใครกินบุฟเฟต์อะไรเราก็อยากไปกินเหมือนเขา ใครฟังเพลงอะไรเราก็ชอบเราก็แชร์เหมือนเขา ถ้าเป็นแบบนั้นมันคงทำให้เราพลาดร้านอาหารอร่อยๆที่อยู่ที่หัวมุมย่านเล็กๆ หรือทำให้เราพลาดเพลงดีๆที่ยอดฟังน้อยๆไปแน่ๆ ไม่ต่างอะไรจากหนังเรื่อง Anomalisa
Anomalisa เป็นหนังอนิเมชั่นผู้ใหญ่ ที่ยกระดับความเข้าใจยากมากกว่าหนังทั่วๆไปเยอะพอสมควร ซึ่งถ้าเราเข้าไปดูหนังเรื่องนี้เพื่อหวังที่จะเข้าใจพล็อทเรื่องของหนังที่ชัดเจนก็อาจพบกับความผิดหวังได้ จากการเขียนบทของ Charlie Kaufman ซึ่งมาแนวเขียนบทหนังที่มีความซับซ้อนของจิตใจของตัวละครอยู่แล้ว (Eternal Sunshine of the spotless mind , Being John Malkovich , Adaptation) โดยเล่าเรื่องผ่านตัวละคร Michael Stone ที่อ้างอิงลักษณะนิสัยมาจากอาการทางจิตที่มีอยู่จริงนั่นก็คือ Fregoli Syndrome ที่ทำให้เกิดความรู้สึกเหนื่อยหน่ายและปฏิเสธสังคม (ขอไม่ลงรายละเอียดลึกเพราะถือว่าเป็นหัวใจหลักของหนัง) ทำให้เกิดความหม่นหมองทางอารมณ์ และต้องการหลุดพ้นจากห้วงความรู้สึกเหล่านี้ ซึ่งเมื่อดูหนังเรื่องนี้แล้ว ก็ทำให้ผมได้กลับมาย้อนมองดูตัวของผมเอง ว่าตัวผมเองนั้นกำลังประสบสภาวะวิกฤตินี้อยู่หรือเปล่า แต่ก็ยังคิดเข้าข้างตัวเองว่ายังไม่ใช่ถึงขั้นนั้น ผมเป็นคนชอบสังเกตคน และก็ชอบมองหาข้อดีเล็กๆของคนเหล่านั้นไปด้วย ซึ่งรายละเอียดของข้อดีเล็กๆแหล่านี้จะทำให้ผมจดจำคนเหล่านั้นด้วยมุมมองที่ดี ไม่ใช่มุมมองที่เป็นลบ และไม่ปฏิเสธเขา แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ เพราะสภาวะผิดปกติทางจิตนั้น แม้ว่าส่วนมากจะเริ่มจากความผิดปกติของความนึกคิด แต่ก็มีหลายกรณีที่เกิดจากระดับเคมีในสมองที่ค่อยไม่สมดุล และนั่นอาจทำให้เราเปลี่ยนไปโดยที่ไม่มีทางรู้เลยว่าจิตใจของเรากำลังค่อยๆหม่นหมองลงเมื่อไหร่ ดังนั้นหากว่าเราคิดอยู่เสมอว่าเรานั้นปกติดีไม่ต่างจากคนอื่นๆ กว่าจะมารู้สึกตัวอีกที เราอาจกลายเป็น anomaly ไปแล้วก็ได้ ใครจะรู้
อ่านรีวิวเรื่องอื่นๆได้ที่
https://nospoil.wordpress.com/
ความแปลกแยกและ Anomalisa
ทำไมเราถึงรู้สึกเดียวดายทั้งที่โลกโซเชียลดึงทุกอย่างมาให้ใกล้กัน ?
เรามีโอกาสได้เจอ ได้พบ ได้รู้จักคนใหม่ๆ แต่หลายครั้งมันกลับยิ่งทำให้เรารู้สึกแปลกแยกและเดียวดายมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม ความซ้ำซากจำเจ รสนิยมแบบเดิมๆ บทสนทนาซ้ำๆ ชีวิตประจำวันที่น่าเบื่อ เมื่อเราต้องเจอบ่อยๆเข้า ความกระตือรือร้นในการอยากพบปะผู้คนก็น้อยลงไป ไม่ต่างอะไรจากสิ่งอื่นๆรอบๆตัว ไม่ว่าจะเป็นเพลงที่ฟัง หนังสือที่อ่าน หนังที่ดู เมื่อเราเข้าใจมันมากถึงจุดๆหนึ่ง เราก็พอจะเดาทิศทางของมันได้ และความตื่นเต้นของมันก็จะหมดลง
ผมเองก็เป็นคนปฏิเสธโลกรอบๆตัวพอสมควร ด้วยความที่มักโดนแกล้งตั้งแต่เด็ก ก็เลยเป็นคนเพื่อนน้อย เวลาส่วนใหญ่จึงหมดไปกับการเฝ้ามองคนอื่นอยู่ห่างๆ กลายเป็นคนชอบสังเกตคน ชอบดูคน แล้วค่อนข้างมีความมั่นใจในความแม่นยำในการคาดเดานิสัยของคน การเดานิสัยคนสำหรับผมนั้นถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะมันทำให้เราไม่ต้องเหนื่อยกับคนที่เราไม่ค่อยอยากจะเข้าใกล้ และทำให้เรารู้ถึงคุณค่าของคนที่หาเจอยากๆที่เราอยากสนิทด้วย แต่ถึงอย่างนั้น โลกโซเชียลก็ทำให้เราต้องเจอคนที่ไม่ควรเจอได้ง่ายๆ ยกตัวอย่างเช่นคอมเม้นท์ในเพจดังๆ หรือคอมเม้นท์ในเว็ปกระทู้บางกระทู้ ทำให้เราต้องอ่านความคิดเห็นของคนบางประเภทที่เราไม่ชอบเลย แล้วก็ทำให้เราเสียความรู้สึกได้ง่าย ซึ่งผมเองก็พยายามที่จะเลี่ยงอะไรแบบนั้นมาตลอด
การงานและความชอบเองก็ทำให้ตัวผมเบื่อโลกได้เหมือนกัน การที่ต้องอยู่กับแวดวงเพลง ทำให้การหาความบันเทิงจากเพลงกลายเป็นเรื่องยากไปเสียแล้ว การที่เรารู้หมดว่าเขาแต่งเพลงนี้ขึ้นมาเพื่อจุดประสงค์อะไร ทำไมถึงใช้คำนี้มาเน้นในท่อนฮุค เขาต้องการปฏิกริยาจากคนฟังแบบไหน เพลงๆนี้กระแสตอบรับจะเป็นยังไง จะกลายเป็นเพลงดังไหม ฯลฯ พฤติกรรมแบบนี้ทำให้ความสุขของการฟังเพลงลดน้อยลง รวมไปถึงความสุขจากการได้ดูโชว์ต่างๆก็พลอยหดหายไปด้วย ซึ่งก็พอจะวิเคราะห์ง่ายๆได้ว่า อะไรก็ตามที่เราทำมันเป็นประจำ ความพิเศษของมันก็จะลดหายไป และเมื่อเราเอาสิ่งที่เราชอบมาทำเป็นงานประจำ เราก็คงต้องหามุมมองหรือความชอบใหม่ๆมาเพื่อเพิ่มความน่าสนใจหรือความตื่นเต้นให้กับสิ่งที่เราทำไปด้วย
คนชอบมองผมเป็นคนแปลกประหลาด ซึ่งผมเองก็ยอมรับและค่อนข้างชื่นชอบข้อสรุปเหล่านั้น ผมไม่ชอบเหมือนคนอื่น รู้สึกว่าการที่เราเหมือนคนอื่นมันน่าเบื่อ ขำตามคนอื่น เศร้าตามคนอื่น โกรธตามนอื่น ในยุคที่โลกโซเชี่ยลทำให้เกิดกระแสของพวกมากลากไป หรือการนิยมชื่นชมอะไรด้วยมุมมองระนาบเดียว ทำให้ตัวผมมักหยุดนิ่งก่อนที่จะเหมือนใคร เพราะบางครั้งมันก็ทำให้เราได้เห็นอะไรๆมากกว่าสิ่งที่อยู่ตรงนั้น ซึ่งก็คงคล้ายๆกับคำว่า anomaly ที่แปลว่าความผิดปกติ หรือ สิ่งที่แปลกประหลาด ซึ่งคนธรรมดาสามัญมักจะไม่ชอบ เพราะรู้สึกถึงความคุกคามที่เป็นภัย คาดเดาไม่ได้ ไม่เหมือนชาวบ้านหรือสิ่งที่คุ้นเคย แต่ในความเป็นจริง การที่เราเป็นคนธรรมดาๆที่ normal ใครกินบุฟเฟต์อะไรเราก็อยากไปกินเหมือนเขา ใครฟังเพลงอะไรเราก็ชอบเราก็แชร์เหมือนเขา ถ้าเป็นแบบนั้นมันคงทำให้เราพลาดร้านอาหารอร่อยๆที่อยู่ที่หัวมุมย่านเล็กๆ หรือทำให้เราพลาดเพลงดีๆที่ยอดฟังน้อยๆไปแน่ๆ ไม่ต่างอะไรจากหนังเรื่อง Anomalisa
Anomalisa เป็นหนังอนิเมชั่นผู้ใหญ่ ที่ยกระดับความเข้าใจยากมากกว่าหนังทั่วๆไปเยอะพอสมควร ซึ่งถ้าเราเข้าไปดูหนังเรื่องนี้เพื่อหวังที่จะเข้าใจพล็อทเรื่องของหนังที่ชัดเจนก็อาจพบกับความผิดหวังได้ จากการเขียนบทของ Charlie Kaufman ซึ่งมาแนวเขียนบทหนังที่มีความซับซ้อนของจิตใจของตัวละครอยู่แล้ว (Eternal Sunshine of the spotless mind , Being John Malkovich , Adaptation) โดยเล่าเรื่องผ่านตัวละคร Michael Stone ที่อ้างอิงลักษณะนิสัยมาจากอาการทางจิตที่มีอยู่จริงนั่นก็คือ Fregoli Syndrome ที่ทำให้เกิดความรู้สึกเหนื่อยหน่ายและปฏิเสธสังคม (ขอไม่ลงรายละเอียดลึกเพราะถือว่าเป็นหัวใจหลักของหนัง) ทำให้เกิดความหม่นหมองทางอารมณ์ และต้องการหลุดพ้นจากห้วงความรู้สึกเหล่านี้ ซึ่งเมื่อดูหนังเรื่องนี้แล้ว ก็ทำให้ผมได้กลับมาย้อนมองดูตัวของผมเอง ว่าตัวผมเองนั้นกำลังประสบสภาวะวิกฤตินี้อยู่หรือเปล่า แต่ก็ยังคิดเข้าข้างตัวเองว่ายังไม่ใช่ถึงขั้นนั้น ผมเป็นคนชอบสังเกตคน และก็ชอบมองหาข้อดีเล็กๆของคนเหล่านั้นไปด้วย ซึ่งรายละเอียดของข้อดีเล็กๆแหล่านี้จะทำให้ผมจดจำคนเหล่านั้นด้วยมุมมองที่ดี ไม่ใช่มุมมองที่เป็นลบ และไม่ปฏิเสธเขา แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ เพราะสภาวะผิดปกติทางจิตนั้น แม้ว่าส่วนมากจะเริ่มจากความผิดปกติของความนึกคิด แต่ก็มีหลายกรณีที่เกิดจากระดับเคมีในสมองที่ค่อยไม่สมดุล และนั่นอาจทำให้เราเปลี่ยนไปโดยที่ไม่มีทางรู้เลยว่าจิตใจของเรากำลังค่อยๆหม่นหมองลงเมื่อไหร่ ดังนั้นหากว่าเราคิดอยู่เสมอว่าเรานั้นปกติดีไม่ต่างจากคนอื่นๆ กว่าจะมารู้สึกตัวอีกที เราอาจกลายเป็น anomaly ไปแล้วก็ได้ ใครจะรู้
อ่านรีวิวเรื่องอื่นๆได้ที่ https://nospoil.wordpress.com/