สวัสดีทุกคนนะคะ นี่เป็นครั้งแรกที่เขียนกระทู้ลงPantipเลย 55555 เขิน
ก็วันนี้จะมาเล่าถึงประสบการณ์ของตัวเองในวันสัมภาษณ์วีซ่าอเมริกา F1 กัน
ก่อนอื่น วีซ่า F1 คือ วีซ่านักเรียนในสายวิชาการหรือนักเรียนที่จะไปเรียนภาษา ซึ่งแตกต่างกับ J1 ที่เป็นวีซ่าของนักเรียนในโครงการแลกเปลี่ยน
รายละเอียดต่างๆและขั้นตอนการสมัครสามารถเข้าไปดูได้ที่
http://thai.bangkok.usembassy.gov/visas.html
สิ่งที่ต้องเตรียมไปในวันสัมภาษณ์
1. Passport ปัจจุบันเล่มจริง (ถ้ามีเล่มเก่าให้นำไปด้วย)
2. ใบยืนยันแบบฟอร์ม DS-160
3. ใบยืนยันนัดสัมภาษณ์
4. ภาพถ่ายตามเกณฑ์การขอวีซ่า 1 ใบ
5. ใบเสร็จการชำระค่าวีซ่าจากธนาคาร
6. หนังสือรับรองการเงินฉบับภาษาอังกฤษของสปอนเซอร์ (อายุไม่เกิน3เดือน)
นอกนั้นก็ควรมีTranscript(ควรเอาไปมากๆ), จดหมายรับรองความเป็นนักเรียนฉบับภาษาอังกฤษ, Statement of purpose, จดหมายรับรองการทำงานของสปอนเซอร์ เผื่อเขาเรียกดู เพราะเราก็ไม่รู้ว่าเขาจะอยากดูอะไร
การแต่งกาย
ควรแต่งชุดให้สุภาพมากๆค่ะ เป็นการให้เกียรติสถานที่ด้วย เขาก็จะพิจารณาจากการแต่งกายของเราด้วยนะ
***ส่วนรายละเอียดอื่นๆ ดูได้ในเว็บไซต์ของสถานทูตสหรัฐฯได้เลยค่ะ
โอเคค่ะ มาเข้าเนื้อหากันเลยดีกว่า 5555
เราเคยเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่อเมริกาเมื่อปี2014-2015ค่ะ พอกลับไทยมาก็ดั๊นนนนนอยากกลับไปเรียนที่อเมริกาคืนซะงั้น ก็นั่นล่ะค่ะ ก็เลยตัดสินใจไปอเมริกาอีกครั้งซะเลย 5555
เราได้วันนัดสัมภาษณ์มาวันที่24 ก.พ. 2559 เวลา 9.00 น.ค่ะ
แหม วันสัมภาษณ์ดันตรงกับวันสอบปลายภาคซะด้วย ก็เลยต้องส่งใบคำร้องขอสอบย้อนหลังไปยื่นที่โรงเรียนเพื่อเดินทางมากรุงเทพ หลังจากกลับมาค่อยมาตามสอบย้อนหลัง แต่เรื่องยุ่งยากๆ มันไม่ได้มีแค่นี้ไง...
เช้าวันที่ 24 ก.พ.
ตื่น6โมงเช้าเลยจ้า ปวดหัวสุดๆ เมื่อคืนนอนดึก ตื่นมาก็นั่งอ่านพวกกระทู้เรื่องประสบการณ์วีซ่าF1 พวกเรื่องการสัมภาษณ์ การแต่งกายอะไรพวกนี้ค่ะ มองนาฬิกาอีกที 6:50!!! รีบวิ่งไปอาบน้ำสิคะรออะไร T__T ชุดที่เราใส่ไปเป็นชุดเดรสธรรมดาความยาวเหนือเข่าขึ้นมานิดนึงค่ะ ตอนแรกกะว่าจะมาหาดูอยู่กรุงเทพ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้หาซื้อ ก็เลยต้องใส่ตัวนี้ แต่ปรากฏว่าลืมเอาเสื้อคลุมมาด้วย! คือคอเดรสมันก็กว้างพอสมควร แต่ก็อา...ไม่เป็นไร ก็เตรียมเอกสารใส่กระเป๋า เช็คอะไรทุกอย่างเรียบร้อย แล้วก็เดินไปบีทีเอส
อ้อ ลืมบอกว่าเราพักอยู่แถวบีทีเอสนานา มันไม่ไกลมากจากสถานทูตเท่าไร แต่อารมณ์ก็แบบชิวๆขึ้นบีทีเอสไปลงเพลินจิตแล้วต่อพี่วินไปสถานทูต ตอนนั้นก็ประมาณแปดโมงนิดๆ เราควรไปก่อนเวลานัดสัมภาษณ์ประมาณครึ่งชม.ก็โอเคแล้วนะ ไปเร็วกว่านั้นก็ไม่มีอะไรอยู่ดี ละนี่ก็กะไปถึงสถานทูตทันแปดโมงครึ่งแน่นอนจ้ะ
เดินขึ้นสถานีมา...แตะบัตร...กำลังจะเดินขึ้นไปที่ชานชาลา เสียงประกาศมาเลยจ้า...
“ท่านผู้โดยสารโปรดทราบ ขณะนี้ระบบรถไฟฟ้าบีทีเอสเกิดเหตุขัดข้องที่จุดสับรางจากสถานีชิดลมไปสยาม....”
ใช่เลยยย...หลายคนคงรู้ว่าวันนั้นระบบรถไฟฟ้าบีทีเอสวุ่นวายขนาดไหน เราก็แบบยืนฟังไป...มันเป็นสายที่เราจะต้องขึ้นด้วยอ่ะ ก็แบบตอนแรกไม่ได้คิดอะไรนะ มองไปบีทีเอสก็กำลังมาถึงพอดี ก็เลยเอ้า ขึ้นตอนนี้คงไม่มีปัญหา พอประตูรถเปิด คนก็กรูเข้าไปจนแน่น...แน่นมาก แน่นจนเราคิดว่าจะแทรกเข้าไปดีมั้ย มองนาฬิกาก็แบบ8:15อ่ะ ก็เลยใช้ความหน้าด้านแทรกตัวเข้าไปเป็นคนสุดท้าย อยากขอโทษคนตรงนั้นมาก ถ้าไม่รีบจะไม่แทรกตัวเข้าไปเลย แต่คือ ประตูรถไม่ปิดสักทีค่ะ เสียงประกาศก็มา เหมือนแบบ จะต้องใช้เวลา20-30นาที ล่าช้าในการจอดแต่ละสถานี ขอให้ผู้โดยสารวางแผนการเดินทางล่วงหน้า อะไรประมาณนี้มั้ง เราตอนนั้นก็จับใจความไม่ค่อยได้ เบียดก็เบียด
10นาทีผ่านไป
....เรายังสตรองอยู่บนรถไฟฟ้าที่ประตูก็ยังไม่ปิดค่ะ มองนาฬิกาก็จะแปดโมงครึ่งแล้ว ตกลงมันจะไปมั้ยหรือยังไง
ผู้โดยสารบางคนก็หงุดหงิดค่อยๆขอทางเดินออกจากตัวรถไป เราก็แบบยืนตัดสินใจอยู่สักพัก จะออกไม่ออก ถ้าเดินออกแล้วมันไปล่ะ ก็เสียดายนะ แต่ถ้าไม่ลงก็อาจไม่ทันนะ....
ตัดสินใจวิ่งออกจากขบวนรถค่ะ...แตะบัตร...วิ่งลงมาจากสถานี เดินๆๆๆตามทางไปสถานีเพลินจิต เดินนนนนนจนเกือบจะมาถึงแยกถนนวิทยุ เหงื่อนี่ท่วมตัว เครื่องสำอาง ผมเผ้าที่อุตส่าห์จัดทรงอย่างดีก็เสียไปหมดแล้วค่ะ ตอนนั้นบอกเลยว่าลืมคิดถึงพี่วินไปเลย พอนึกได้นี่แบบโบกพี่วินที่เจอเลยค่ะ “ไปสถานทูตอเมริกาค่ะพี่!” แหมมมม พี่วินก็ขับได้เฟี้ยวสมใจวัยรุ่นจริงๆ ไม่ต้องพูดถึงทรงผมตอนนั้นเลยค่ะ 55555
--------------- ถึงสถานทูตสหรัฐฯแล้วจ้า---------------
มองดูนาฬิกาคือ 8:43ค่ะ งืออออ ตอนนั่งพี่วินมามองเห็นถัดห่างไปจากสถานทูตจะมีพวกแหล่งขายเสื้อผ้า นี่ก็ยืนอยู่ละก็คิดว่าจะวิ่งไปดูตรงนั้นดีมั้ย เผื่อมีเสื้อคลุม (นี่จิตใจยังคิดอยู่) แต่มองแถวที่ต่ออยู่หน้าสถานทูตก็แบบ...จะทันหรอ อะไรแบบนี้
แต่สุดท้ายตัดสินใจวิ่งไปที่ร้านขายเสื้อผ้าตรงนั้น สรุปก็ไม่มีอ่ะ ก็เลยวิ่งกลับมาคืนแล้วเดินไปหาเจ้าหน้าที่ที่เขายืนเช็คอยู่ข้างหน้า เขาจะถามว่าเวลานัดเรากี่โมง แล้วเขาก็จะเช็คชื่อ เขียนคิวให้ แล้วให้เดินไปต่อที่แถว ก็จะมีเจ้าหน้าที่เดินมาแจกบัตรแข็งสีฟ้า บอกเลยว่าตอนนั้นคือตัวเหนอะหนะไม่ไหวมาก เหนื่อยสุด ละตอนที่ต่อแถวมีโอกาสได้คุยกับพี่คนข้างหลัง พี่เขาจะมาขอวีซ่าท่องเที่ยว นิสัยน่ารักมากกกกก
ต่อแถวมาจนจะถึงประตูทางเข้า ก็จะมีเจ้าหน้าที่รปภ.เดินถือป้ายสิ่งที่ห้ามนำเข้าไปในสถานทูต เราก็มองป้ายแล้วก็แบบ...เห้ย! ลืมว่าตัวเองสะพายเป้มาจ้า อื้อหือ ทำไงล่ะทีนี้...
“กระเป๋าสะพายขนาดใหญ่นำเข้าไม่ได้นะครับ..” เจ้าหน้าที่รปภ.หันมาเจอแล้วพูดขึ้น
“เอ่อ...งั้นต้องทำไงอ่ะคะ”
“น้องมีญาติมาด้วยรึเปล่า?”
“ไม่ค่ะ...”
“งั้นน้องเดินไปจากตรงนี้ประมาณ200เมตรนะ จะมีร้านเล็กๆรับฝากกระเป๋าอยู่ ตรงพวกร้านขายของเยอะๆนั่นแหละ...หน้าร้ายจะมีป้ายธงชาติไทย-อเมริกันอยู่” หลังจากพี่รปภ.พูดนี่รีบเลยค่ะ เดี๋ยวจะไม่ทัน ก็รีบเดินๆๆๆ อยากจะวิ่งแต่ก็ต้องKeep lookมากๆ 555 มองเห็นร้านก็รีบเดินไปฝากกระเป๋า เป็นร้านตั้งโต๊ะเล็กๆนะคะ จะมีคุณลุงกับคุณป้านั่งอยู่ หลังจากนั้นก็รีบเดินกลับมา เดินผ่านคนที่ต่อแถวเข้าไป พี่รปภ.ก็หันมามองหน้า ในใจเราก็คิดว่าพี่เขาจะบอกให้ไปต่อแถวใหม่เลยมั้ยอ่ะ แถวยาวมากเลยนะ
“น้องใช่คนที่ไปฝากกระเป๋าเมื่อกี้ใช่มั่ย?” เราก็พยักหน้า แกก็เลยเดินนำไป ละก็ถามว่าเราอยู่ตรงไหนตอนแรก เราก็บอกว่าอยู่หน้าพี่คนนี้ พี่คนนั้นแกก็ใช่ค่ะๆๆ น้องเขาอยู่ตรงนี้ (ขอบคุณสุดๆนะคะ พี่เขาชื่อหวานอ่าถ้าจำไม่ผิด)
----- เข้ามาในสถานทูต ------
เขาจะเรียกเข้าทีละ4คน จะต้องฝากโทรศัพท์มือถือพร้อมบัตรประชาชนให้กับเจ้าหน้าที่(กระเป๋าเงินเอาติดตัวไปได้) จนท.จะให้เป็นป้ายมาคล้องแขนไว้แลกของก่อนออกจากสถานทูต จากนั้นก็เดินผ่านเครื่องสแกน ตรวจอาวุธ หยิบเอกสารของจากตะกร้าแล้วผลักประตูออกไป เดินไปตามทางก็จะเจอตรวจเอกสารเบื้องต้น เขาก็จะให้เราเอาสิ่งที่เขาต้องการออกมา พวกพาสปอร์ต DS-160 ใบเสร็จค่าSEVIS มั้งเราก็จำไม่ค่อยได้ แล้วเขาจะสอดใส่ซองใสแล้วยื่นคืนให้เรา ตรงพาสปอร์ตจะมีเลชEMSอยู่ ก็จดไว้อ่ะ ไว้ตรวจสอบเวลาวีซ่าส่งไปที่บ้าน
หลังจากนั้นก็เดินเข้ามาในห้องเลยค่ะ เป็นห้องแอร์ มีเก้าอี้หลายแถวให้นั่ง มีเจ้าหน้าที่อยู่ประมาณ14ช่อง เราก็ต้องมาเข้าแถวเพื่อสัมภาษณ์กับเจ้าหน้าที่คนไทย เป็นช่อง11-14 ล่ะมั้ง ก็ต่อแถวไปอ่ะ ช่องไหนว่างก็เดินเข้าไป เราก็ได้ช่อง12 เป็นจนท.ผู้หญิง
จนท: สวัสดีค่ะ *ยิ้ม*
เรา: สวัสดีค่า *ยิ้มแย้มแจ่มใสสุดๆพร้อมยื่นเอกสารในซองใสผ่านช่องแคบๆ*
จนท: วันนี้คุณศิริลักษณ์มาทำวีซ่าคนเดียวหรือมากับเพื่อนคะ
เรา: มาคนเดียวค่ะ ^__^
จนท: เคยขอวีซ่ามาก่อนมั้ยคะ
เรา: เคยขอค่ะ
จนท: ขอดูวีซ่าตัวเก่าด้วยค่ะ
เรา: อยู่ในตัวพาสปอร์ตอ่ะค่ะ *ทำท่าชี้ๆ*
จนท: ขอใบรับรองการเงินของสปอนเซอร์ด้วยค่ะ
เรา: *หยิบออกมาจากซองของตัวเองแล้วยื่นไป*
จนท: *คีย์ข้อมูลเข้าคอมยิกๆๆ แล้วยืนเอกสารกลับคืนมา แล้วสแกนลายนิ้วมือ* เชิญไปต่อแถวช่อง10เพื่อยืนยันลายนิ้วมือนะคะ
ก็กล่าวขอบคุณแล้วเดินตามที่กั้นมาต่อแถวที่ช่อง10 ช่องนี้จะเป็นเจ้าหน้าที่ฝรั่ง เราต้องยื่น DS-160 ตรงที่มีบาโค้ดไปให้เขาแล้วก็สแกนลายนิ้วมืออีกครั้ง สำเนียงน่ารักมาก “คูณศิริลักษณ์วางมือซายลงนาครับ” พร้อมยกมือซ้ายของตัวเองขึ้นมา คือนี่พยายามฟังสุดๆละ555
เอ้อ คือในระหว่างที่ต่อแถวตรงช่อง10 มีคนโดนปฎิเสธวีซ่าท่องเที่ยวจากช่อง8ด้วย เลยได้มีโอกาสคุยกับคนที่มาต่อหลังเรา เพราะแบบพี่แกก็มาขอวีซ่าท่องเที่ยว นี่ก็เลยพูดให้กำลังใจไป
เสร็จจากช่อง10ก็มาต่อแถวสัมภาษณ์กับเจ้าหน้าที่ฝรั่งแล้วค่ะ มีทั้งหมดสามช่อง ตอนที่ยืนรอสัมภาษณ์ ช่อง7 ก็เพิ่งกำลังสัมภาษณ์ ช่อง8เป็นคู่สามีภรรยาของวีซ่าท่องเที่ยว นานพอสมควร ช่อง9 คนก่อนหน้าเราเพิ่งเดินเข้าไป นี่ก็ยืนรอไป ปรากฏว่า คู่สามีภรรยาเสร็จ ช่อง8 ก็ยิ้มให้เราพร้อมกับบอกว่า เชิญครับ ^^
อ้อออออ สัมภาษณ์กับเจ้าหน้าที่ฝรั่งก็
สัมภาษณ์เป็นภาษาไทยนะคะ ไม่ต้องห่วง เขาอาจจะมีพูดๆอังกฤษด้วย แต่หลักๆคือภาษาไทยค่ะ ที่ฟังๆมาตอนยืนรอ ช่องที่8นี่แหละพูดไทยชัดมาก 55555
จนท: สวัสดีครับ
เรา: สวัสดีค่ะ ^__^ *ยื่นเอกสารผ่านช่องแคบๆไป*
จนท: คุณศิริลักษณ์จะไปทำอะไรที่อเมริกาครับ
เรา: ไปเรียนภาษาค่ะ
จนท: จะไปนานเท่าไรครับ
เรา: เรียนภาษา6เดือนค่ะ ^^
จนท: ครับ หลังจากนั้นมีแพลนจะทำอะไรต่อครับ
เรา: ต่อปริญญาตรีที่อเมริกาค่ะ
จนท: ตอนนี้คุณศิริลักษณ์อยู่ม.ไหนแล้วครับ
เรา: ม.6ค่ะ กำลังจะจบ
จนท: อ่อ...หลังจากนี้คิดว่าจะทำอะไรต่อครับ *ในใจอึ้งมาก อ้าว ก็บอกว่าจะไปเรียนภาษา 5555*
เรา: ก็จะไปเรียนภาษาที่อเมริกาน่ะค่ะ ^^
จนท: แล้วถ้าคุณศิริลักษณ์อยากเรียนที่ไทย ชอบมหาวิทยาลัยไหนเป็นพิเศษมั้ยครับ
เรา: ...จุฬาฯค่ะ ^^
จนท: คุณศิริลักษณ์เรียนอยู่รร.อะไรครับตอนนี้
เรา: เบ็ญจะมะมหาราช อุบล ค่ะ ^^
จนท: คุณศิริลักษณ์มีTranscript มาด้วยมั้ยครับ
เรา: มีค่ะแต่ว่ามันผิดพลาดจุดนึงเลยไม่สามารถเอามาใช้ได้
จนท: อ่อครับ...*มอง* (ตอนนี้ใจสั่นแรงมากกกก) *หันไปคีย์ข้อมูลยิกๆๆๆๆ* ....*หันมา* ผมได้ออกวีซ่าให้คุณศิริลักษณ์แล้วนะครับ รอรับที่บ้านได้อีก3-4วัน ไม่เสียค่าใช้จ่าย *ยิ้ม*
เรา: ขอบคุณมากๆค่ะ ^0^ *ไหว้สวยงาม*
จนท: *ยิ้ม* It probably will be easy for you because you have stayed in the U.S. before, right? 555
เรา: 5555 ค่ะ ขอบคุณมากๆนะคะ (นี่ก็ตอบเป็นภาษาไทยไปอี๊กกก 5555)
แล้วเราก็เดินออกมาจากห้องสัมภาษณ์ เอาที่คล้องแขนมาแลกโทรศัพท์กับเจ้าหน้าที่ บอกลาพี่สองคนที่ได้คุยกันตอนต่อแถวจากนั้นก็เดินออกจากสถานทูต ยิ้มกริ่มค่ะยิ้มกริ่ม โล่งใจสุดๆ ก็ไปเอากระเป๋าคืนละก็เดินไป เดินไปจนถึงบีทีเอส555 แหม พอขึ้นมาที่ชานชาลา เสียงประกาศว่า ขบวนรถไฟฟ้าจะมาในอีกประมาณ20นาที นี่แบบ...นั่งรอไปดิ...
ค่ะ ทั้งหมดนี้ก็เป็นประสบการณ์การขอวีซ่าF1ของเรา บอกเลยว่าตอนนั้นรู้สึกกระวนกระวายกว่าตอนไปสัมภาษณ์J1อีก ก็ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน 555555
วีซ่าเราส่งมาถึงบ้านหลังจากนั้นประมาณ3วันค่ะ ได้วีซ่า5ปีไปอีกกก
ก็สำหรับใครที่จะไปสัมภาษณ์วีซ่านะคะ แค่เตรียมตัวให้พร้อม เอกสารพร้อม ก็ไม่มีอะไรมากเลยค่ะ เวลาตอบคำถามเขาก็ตอบไปตามความจริงอ่ะค่ะ ถ้าอันนั้นไม่รู้จริงๆก็บอกว่าไม่รู้ บางครั้งเขาอาจจะรู้อยู่แล้ว แต่แค่ลองเชิงถามเราดู
สู้ๆนะคะ! ขอให้ทุกคนโชคดีค่าาาาาา
เรื่องราววุ่นๆในวันสัมภาษณ์วีซ่าอเมริกาF1
ก็วันนี้จะมาเล่าถึงประสบการณ์ของตัวเองในวันสัมภาษณ์วีซ่าอเมริกา F1 กัน
ก่อนอื่น วีซ่า F1 คือ วีซ่านักเรียนในสายวิชาการหรือนักเรียนที่จะไปเรียนภาษา ซึ่งแตกต่างกับ J1 ที่เป็นวีซ่าของนักเรียนในโครงการแลกเปลี่ยน
รายละเอียดต่างๆและขั้นตอนการสมัครสามารถเข้าไปดูได้ที่ http://thai.bangkok.usembassy.gov/visas.html
สิ่งที่ต้องเตรียมไปในวันสัมภาษณ์
1. Passport ปัจจุบันเล่มจริง (ถ้ามีเล่มเก่าให้นำไปด้วย)
2. ใบยืนยันแบบฟอร์ม DS-160
3. ใบยืนยันนัดสัมภาษณ์
4. ภาพถ่ายตามเกณฑ์การขอวีซ่า 1 ใบ
5. ใบเสร็จการชำระค่าวีซ่าจากธนาคาร
6. หนังสือรับรองการเงินฉบับภาษาอังกฤษของสปอนเซอร์ (อายุไม่เกิน3เดือน)
นอกนั้นก็ควรมีTranscript(ควรเอาไปมากๆ), จดหมายรับรองความเป็นนักเรียนฉบับภาษาอังกฤษ, Statement of purpose, จดหมายรับรองการทำงานของสปอนเซอร์ เผื่อเขาเรียกดู เพราะเราก็ไม่รู้ว่าเขาจะอยากดูอะไร
การแต่งกาย
ควรแต่งชุดให้สุภาพมากๆค่ะ เป็นการให้เกียรติสถานที่ด้วย เขาก็จะพิจารณาจากการแต่งกายของเราด้วยนะ
***ส่วนรายละเอียดอื่นๆ ดูได้ในเว็บไซต์ของสถานทูตสหรัฐฯได้เลยค่ะ
โอเคค่ะ มาเข้าเนื้อหากันเลยดีกว่า 5555
เราเคยเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่อเมริกาเมื่อปี2014-2015ค่ะ พอกลับไทยมาก็ดั๊นนนนนอยากกลับไปเรียนที่อเมริกาคืนซะงั้น ก็นั่นล่ะค่ะ ก็เลยตัดสินใจไปอเมริกาอีกครั้งซะเลย 5555
เราได้วันนัดสัมภาษณ์มาวันที่24 ก.พ. 2559 เวลา 9.00 น.ค่ะ
แหม วันสัมภาษณ์ดันตรงกับวันสอบปลายภาคซะด้วย ก็เลยต้องส่งใบคำร้องขอสอบย้อนหลังไปยื่นที่โรงเรียนเพื่อเดินทางมากรุงเทพ หลังจากกลับมาค่อยมาตามสอบย้อนหลัง แต่เรื่องยุ่งยากๆ มันไม่ได้มีแค่นี้ไง...
เช้าวันที่ 24 ก.พ.
ตื่น6โมงเช้าเลยจ้า ปวดหัวสุดๆ เมื่อคืนนอนดึก ตื่นมาก็นั่งอ่านพวกกระทู้เรื่องประสบการณ์วีซ่าF1 พวกเรื่องการสัมภาษณ์ การแต่งกายอะไรพวกนี้ค่ะ มองนาฬิกาอีกที 6:50!!! รีบวิ่งไปอาบน้ำสิคะรออะไร T__T ชุดที่เราใส่ไปเป็นชุดเดรสธรรมดาความยาวเหนือเข่าขึ้นมานิดนึงค่ะ ตอนแรกกะว่าจะมาหาดูอยู่กรุงเทพ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้หาซื้อ ก็เลยต้องใส่ตัวนี้ แต่ปรากฏว่าลืมเอาเสื้อคลุมมาด้วย! คือคอเดรสมันก็กว้างพอสมควร แต่ก็อา...ไม่เป็นไร ก็เตรียมเอกสารใส่กระเป๋า เช็คอะไรทุกอย่างเรียบร้อย แล้วก็เดินไปบีทีเอส
อ้อ ลืมบอกว่าเราพักอยู่แถวบีทีเอสนานา มันไม่ไกลมากจากสถานทูตเท่าไร แต่อารมณ์ก็แบบชิวๆขึ้นบีทีเอสไปลงเพลินจิตแล้วต่อพี่วินไปสถานทูต ตอนนั้นก็ประมาณแปดโมงนิดๆ เราควรไปก่อนเวลานัดสัมภาษณ์ประมาณครึ่งชม.ก็โอเคแล้วนะ ไปเร็วกว่านั้นก็ไม่มีอะไรอยู่ดี ละนี่ก็กะไปถึงสถานทูตทันแปดโมงครึ่งแน่นอนจ้ะ
เดินขึ้นสถานีมา...แตะบัตร...กำลังจะเดินขึ้นไปที่ชานชาลา เสียงประกาศมาเลยจ้า...
ใช่เลยยย...หลายคนคงรู้ว่าวันนั้นระบบรถไฟฟ้าบีทีเอสวุ่นวายขนาดไหน เราก็แบบยืนฟังไป...มันเป็นสายที่เราจะต้องขึ้นด้วยอ่ะ ก็แบบตอนแรกไม่ได้คิดอะไรนะ มองไปบีทีเอสก็กำลังมาถึงพอดี ก็เลยเอ้า ขึ้นตอนนี้คงไม่มีปัญหา พอประตูรถเปิด คนก็กรูเข้าไปจนแน่น...แน่นมาก แน่นจนเราคิดว่าจะแทรกเข้าไปดีมั้ย มองนาฬิกาก็แบบ8:15อ่ะ ก็เลยใช้ความหน้าด้านแทรกตัวเข้าไปเป็นคนสุดท้าย อยากขอโทษคนตรงนั้นมาก ถ้าไม่รีบจะไม่แทรกตัวเข้าไปเลย แต่คือ ประตูรถไม่ปิดสักทีค่ะ เสียงประกาศก็มา เหมือนแบบ จะต้องใช้เวลา20-30นาที ล่าช้าในการจอดแต่ละสถานี ขอให้ผู้โดยสารวางแผนการเดินทางล่วงหน้า อะไรประมาณนี้มั้ง เราตอนนั้นก็จับใจความไม่ค่อยได้ เบียดก็เบียด
10นาทีผ่านไป
....เรายังสตรองอยู่บนรถไฟฟ้าที่ประตูก็ยังไม่ปิดค่ะ มองนาฬิกาก็จะแปดโมงครึ่งแล้ว ตกลงมันจะไปมั้ยหรือยังไง
ผู้โดยสารบางคนก็หงุดหงิดค่อยๆขอทางเดินออกจากตัวรถไป เราก็แบบยืนตัดสินใจอยู่สักพัก จะออกไม่ออก ถ้าเดินออกแล้วมันไปล่ะ ก็เสียดายนะ แต่ถ้าไม่ลงก็อาจไม่ทันนะ....
ตัดสินใจวิ่งออกจากขบวนรถค่ะ...แตะบัตร...วิ่งลงมาจากสถานี เดินๆๆๆตามทางไปสถานีเพลินจิต เดินนนนนนจนเกือบจะมาถึงแยกถนนวิทยุ เหงื่อนี่ท่วมตัว เครื่องสำอาง ผมเผ้าที่อุตส่าห์จัดทรงอย่างดีก็เสียไปหมดแล้วค่ะ ตอนนั้นบอกเลยว่าลืมคิดถึงพี่วินไปเลย พอนึกได้นี่แบบโบกพี่วินที่เจอเลยค่ะ “ไปสถานทูตอเมริกาค่ะพี่!” แหมมมม พี่วินก็ขับได้เฟี้ยวสมใจวัยรุ่นจริงๆ ไม่ต้องพูดถึงทรงผมตอนนั้นเลยค่ะ 55555
มองดูนาฬิกาคือ 8:43ค่ะ งืออออ ตอนนั่งพี่วินมามองเห็นถัดห่างไปจากสถานทูตจะมีพวกแหล่งขายเสื้อผ้า นี่ก็ยืนอยู่ละก็คิดว่าจะวิ่งไปดูตรงนั้นดีมั้ย เผื่อมีเสื้อคลุม (นี่จิตใจยังคิดอยู่) แต่มองแถวที่ต่ออยู่หน้าสถานทูตก็แบบ...จะทันหรอ อะไรแบบนี้
แต่สุดท้ายตัดสินใจวิ่งไปที่ร้านขายเสื้อผ้าตรงนั้น สรุปก็ไม่มีอ่ะ ก็เลยวิ่งกลับมาคืนแล้วเดินไปหาเจ้าหน้าที่ที่เขายืนเช็คอยู่ข้างหน้า เขาจะถามว่าเวลานัดเรากี่โมง แล้วเขาก็จะเช็คชื่อ เขียนคิวให้ แล้วให้เดินไปต่อที่แถว ก็จะมีเจ้าหน้าที่เดินมาแจกบัตรแข็งสีฟ้า บอกเลยว่าตอนนั้นคือตัวเหนอะหนะไม่ไหวมาก เหนื่อยสุด ละตอนที่ต่อแถวมีโอกาสได้คุยกับพี่คนข้างหลัง พี่เขาจะมาขอวีซ่าท่องเที่ยว นิสัยน่ารักมากกกกก
ต่อแถวมาจนจะถึงประตูทางเข้า ก็จะมีเจ้าหน้าที่รปภ.เดินถือป้ายสิ่งที่ห้ามนำเข้าไปในสถานทูต เราก็มองป้ายแล้วก็แบบ...เห้ย! ลืมว่าตัวเองสะพายเป้มาจ้า อื้อหือ ทำไงล่ะทีนี้...
“กระเป๋าสะพายขนาดใหญ่นำเข้าไม่ได้นะครับ..” เจ้าหน้าที่รปภ.หันมาเจอแล้วพูดขึ้น
“เอ่อ...งั้นต้องทำไงอ่ะคะ”
“น้องมีญาติมาด้วยรึเปล่า?”
“ไม่ค่ะ...”
“งั้นน้องเดินไปจากตรงนี้ประมาณ200เมตรนะ จะมีร้านเล็กๆรับฝากกระเป๋าอยู่ ตรงพวกร้านขายของเยอะๆนั่นแหละ...หน้าร้ายจะมีป้ายธงชาติไทย-อเมริกันอยู่” หลังจากพี่รปภ.พูดนี่รีบเลยค่ะ เดี๋ยวจะไม่ทัน ก็รีบเดินๆๆๆ อยากจะวิ่งแต่ก็ต้องKeep lookมากๆ 555 มองเห็นร้านก็รีบเดินไปฝากกระเป๋า เป็นร้านตั้งโต๊ะเล็กๆนะคะ จะมีคุณลุงกับคุณป้านั่งอยู่ หลังจากนั้นก็รีบเดินกลับมา เดินผ่านคนที่ต่อแถวเข้าไป พี่รปภ.ก็หันมามองหน้า ในใจเราก็คิดว่าพี่เขาจะบอกให้ไปต่อแถวใหม่เลยมั้ยอ่ะ แถวยาวมากเลยนะ
“น้องใช่คนที่ไปฝากกระเป๋าเมื่อกี้ใช่มั่ย?” เราก็พยักหน้า แกก็เลยเดินนำไป ละก็ถามว่าเราอยู่ตรงไหนตอนแรก เราก็บอกว่าอยู่หน้าพี่คนนี้ พี่คนนั้นแกก็ใช่ค่ะๆๆ น้องเขาอยู่ตรงนี้ (ขอบคุณสุดๆนะคะ พี่เขาชื่อหวานอ่าถ้าจำไม่ผิด)
เขาจะเรียกเข้าทีละ4คน จะต้องฝากโทรศัพท์มือถือพร้อมบัตรประชาชนให้กับเจ้าหน้าที่(กระเป๋าเงินเอาติดตัวไปได้) จนท.จะให้เป็นป้ายมาคล้องแขนไว้แลกของก่อนออกจากสถานทูต จากนั้นก็เดินผ่านเครื่องสแกน ตรวจอาวุธ หยิบเอกสารของจากตะกร้าแล้วผลักประตูออกไป เดินไปตามทางก็จะเจอตรวจเอกสารเบื้องต้น เขาก็จะให้เราเอาสิ่งที่เขาต้องการออกมา พวกพาสปอร์ต DS-160 ใบเสร็จค่าSEVIS มั้งเราก็จำไม่ค่อยได้ แล้วเขาจะสอดใส่ซองใสแล้วยื่นคืนให้เรา ตรงพาสปอร์ตจะมีเลชEMSอยู่ ก็จดไว้อ่ะ ไว้ตรวจสอบเวลาวีซ่าส่งไปที่บ้าน
หลังจากนั้นก็เดินเข้ามาในห้องเลยค่ะ เป็นห้องแอร์ มีเก้าอี้หลายแถวให้นั่ง มีเจ้าหน้าที่อยู่ประมาณ14ช่อง เราก็ต้องมาเข้าแถวเพื่อสัมภาษณ์กับเจ้าหน้าที่คนไทย เป็นช่อง11-14 ล่ะมั้ง ก็ต่อแถวไปอ่ะ ช่องไหนว่างก็เดินเข้าไป เราก็ได้ช่อง12 เป็นจนท.ผู้หญิง
จนท: สวัสดีค่ะ *ยิ้ม*
เรา: สวัสดีค่า *ยิ้มแย้มแจ่มใสสุดๆพร้อมยื่นเอกสารในซองใสผ่านช่องแคบๆ*
จนท: วันนี้คุณศิริลักษณ์มาทำวีซ่าคนเดียวหรือมากับเพื่อนคะ
เรา: มาคนเดียวค่ะ ^__^
จนท: เคยขอวีซ่ามาก่อนมั้ยคะ
เรา: เคยขอค่ะ
จนท: ขอดูวีซ่าตัวเก่าด้วยค่ะ
เรา: อยู่ในตัวพาสปอร์ตอ่ะค่ะ *ทำท่าชี้ๆ*
จนท: ขอใบรับรองการเงินของสปอนเซอร์ด้วยค่ะ
เรา: *หยิบออกมาจากซองของตัวเองแล้วยื่นไป*
จนท: *คีย์ข้อมูลเข้าคอมยิกๆๆ แล้วยืนเอกสารกลับคืนมา แล้วสแกนลายนิ้วมือ* เชิญไปต่อแถวช่อง10เพื่อยืนยันลายนิ้วมือนะคะ
ก็กล่าวขอบคุณแล้วเดินตามที่กั้นมาต่อแถวที่ช่อง10 ช่องนี้จะเป็นเจ้าหน้าที่ฝรั่ง เราต้องยื่น DS-160 ตรงที่มีบาโค้ดไปให้เขาแล้วก็สแกนลายนิ้วมืออีกครั้ง สำเนียงน่ารักมาก “คูณศิริลักษณ์วางมือซายลงนาครับ” พร้อมยกมือซ้ายของตัวเองขึ้นมา คือนี่พยายามฟังสุดๆละ555
เอ้อ คือในระหว่างที่ต่อแถวตรงช่อง10 มีคนโดนปฎิเสธวีซ่าท่องเที่ยวจากช่อง8ด้วย เลยได้มีโอกาสคุยกับคนที่มาต่อหลังเรา เพราะแบบพี่แกก็มาขอวีซ่าท่องเที่ยว นี่ก็เลยพูดให้กำลังใจไป
เสร็จจากช่อง10ก็มาต่อแถวสัมภาษณ์กับเจ้าหน้าที่ฝรั่งแล้วค่ะ มีทั้งหมดสามช่อง ตอนที่ยืนรอสัมภาษณ์ ช่อง7 ก็เพิ่งกำลังสัมภาษณ์ ช่อง8เป็นคู่สามีภรรยาของวีซ่าท่องเที่ยว นานพอสมควร ช่อง9 คนก่อนหน้าเราเพิ่งเดินเข้าไป นี่ก็ยืนรอไป ปรากฏว่า คู่สามีภรรยาเสร็จ ช่อง8 ก็ยิ้มให้เราพร้อมกับบอกว่า เชิญครับ ^^
อ้อออออ สัมภาษณ์กับเจ้าหน้าที่ฝรั่งก็สัมภาษณ์เป็นภาษาไทยนะคะ ไม่ต้องห่วง เขาอาจจะมีพูดๆอังกฤษด้วย แต่หลักๆคือภาษาไทยค่ะ ที่ฟังๆมาตอนยืนรอ ช่องที่8นี่แหละพูดไทยชัดมาก 55555
จนท: สวัสดีครับ
เรา: สวัสดีค่ะ ^__^ *ยื่นเอกสารผ่านช่องแคบๆไป*
จนท: คุณศิริลักษณ์จะไปทำอะไรที่อเมริกาครับ
เรา: ไปเรียนภาษาค่ะ
จนท: จะไปนานเท่าไรครับ
เรา: เรียนภาษา6เดือนค่ะ ^^
จนท: ครับ หลังจากนั้นมีแพลนจะทำอะไรต่อครับ
เรา: ต่อปริญญาตรีที่อเมริกาค่ะ
จนท: ตอนนี้คุณศิริลักษณ์อยู่ม.ไหนแล้วครับ
เรา: ม.6ค่ะ กำลังจะจบ
จนท: อ่อ...หลังจากนี้คิดว่าจะทำอะไรต่อครับ *ในใจอึ้งมาก อ้าว ก็บอกว่าจะไปเรียนภาษา 5555*
เรา: ก็จะไปเรียนภาษาที่อเมริกาน่ะค่ะ ^^
จนท: แล้วถ้าคุณศิริลักษณ์อยากเรียนที่ไทย ชอบมหาวิทยาลัยไหนเป็นพิเศษมั้ยครับ
เรา: ...จุฬาฯค่ะ ^^
จนท: คุณศิริลักษณ์เรียนอยู่รร.อะไรครับตอนนี้
เรา: เบ็ญจะมะมหาราช อุบล ค่ะ ^^
จนท: คุณศิริลักษณ์มีTranscript มาด้วยมั้ยครับ
เรา: มีค่ะแต่ว่ามันผิดพลาดจุดนึงเลยไม่สามารถเอามาใช้ได้
จนท: อ่อครับ...*มอง* (ตอนนี้ใจสั่นแรงมากกกก) *หันไปคีย์ข้อมูลยิกๆๆๆๆ* ....*หันมา* ผมได้ออกวีซ่าให้คุณศิริลักษณ์แล้วนะครับ รอรับที่บ้านได้อีก3-4วัน ไม่เสียค่าใช้จ่าย *ยิ้ม*
เรา: ขอบคุณมากๆค่ะ ^0^ *ไหว้สวยงาม*
จนท: *ยิ้ม* It probably will be easy for you because you have stayed in the U.S. before, right? 555
เรา: 5555 ค่ะ ขอบคุณมากๆนะคะ (นี่ก็ตอบเป็นภาษาไทยไปอี๊กกก 5555)
แล้วเราก็เดินออกมาจากห้องสัมภาษณ์ เอาที่คล้องแขนมาแลกโทรศัพท์กับเจ้าหน้าที่ บอกลาพี่สองคนที่ได้คุยกันตอนต่อแถวจากนั้นก็เดินออกจากสถานทูต ยิ้มกริ่มค่ะยิ้มกริ่ม โล่งใจสุดๆ ก็ไปเอากระเป๋าคืนละก็เดินไป เดินไปจนถึงบีทีเอส555 แหม พอขึ้นมาที่ชานชาลา เสียงประกาศว่า ขบวนรถไฟฟ้าจะมาในอีกประมาณ20นาที นี่แบบ...นั่งรอไปดิ...
ค่ะ ทั้งหมดนี้ก็เป็นประสบการณ์การขอวีซ่าF1ของเรา บอกเลยว่าตอนนั้นรู้สึกกระวนกระวายกว่าตอนไปสัมภาษณ์J1อีก ก็ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน 555555
วีซ่าเราส่งมาถึงบ้านหลังจากนั้นประมาณ3วันค่ะ ได้วีซ่า5ปีไปอีกกก
ก็สำหรับใครที่จะไปสัมภาษณ์วีซ่านะคะ แค่เตรียมตัวให้พร้อม เอกสารพร้อม ก็ไม่มีอะไรมากเลยค่ะ เวลาตอบคำถามเขาก็ตอบไปตามความจริงอ่ะค่ะ ถ้าอันนั้นไม่รู้จริงๆก็บอกว่าไม่รู้ บางครั้งเขาอาจจะรู้อยู่แล้ว แต่แค่ลองเชิงถามเราดู
สู้ๆนะคะ! ขอให้ทุกคนโชคดีค่าาาาาา