น้องๆแอดมิชชั่นหลายคนคงเคยเห็นโพสต์ต่างๆที่ตั้งคำถามที่เกี่ยวกับ"การตัดสินใจเลือกพยาบาลมหาวิทยาลัยหรือพยาบาลบรม"
ซึ่งโพสต์ประมาณนี้จะมีการตั้งอยู่เกือบทุกปี แต่ไม่เคยเห็นคนที่ตัดสินใจมาเล่าประสบการณ์ให้ฟังเลย
วันนี้พี่ซึ่งเคยผ่านจุดที่ลังเลในการตัดสินใจจุดนั้นมาแล้ว ขอแชร์ประสบการณ์เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจแก่น้องๆอยู่ในสถานะนี้ทุกคนนะ
ย้อนกลับไปเมื่อไม่กี่ปีที่แล้ว พี่เป็นนักเรียนอยู่จ.หนึ่งภาคใต้ ตอนนั้นเป็นช่วงแอดมิชชั่น ในทีแรกพี่ติดรับตรงบรมในจ.ที่ตัวเองอยู่ ตอนนั้นได้ยืนยันสิทธิ์แล้วจ่ายตังแล้วไป10000 บาท แต่แล้วจู่พี่ก็ตัดสินใจยื่นแอดมิชชั่นผลออกมาปรากฏว่า พี่ติดพยาบาลในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งที่มีพยาบาล2โรงพยาบาลในที่เดียวกัน ตอนนั้นพี่เริ่มลังเลเพราะอุตส่าห์สอบติดมหาวิทยาลัยชื่อดัง แต่อีกที่เราก็จ่ายตังค์แล้วนะแถมยังอยู่ใกล้บ้านด้วย
จนเมื่อถึงวันก่อนสัมภาษณ์1วันเกิดเปลี่ยนลองไปสัมภาษณ์ดู หลังจากสัมภาษณ์เสร็จก็ผ่านสัมภาษณ์ ทีนี้เริ่มลังเลมากกว่าเดิมหลายเท่า มันถึงเวลาที่จะต้องตัดสินใจอย่างเด็ดขาดแล้ว พี่ก็ปรึกษาคนนู้นคนนี้เปิดว่าข้อมูลหาโพสต์เม้นต่างๆหลายที่ก็จะบอกประมาณว่า
สำหรับพยาบาลบรม..........
มีกฎระเบียบเยอะ มีระบบรุ่นพี่รุ่นน้อง มีการท่องคำปฏิญาณ สวดมนต์ตอนค่ำ พักหอในซึ่งมีเมทประมาณ5คน มีห้องน้ำรวมแต่ละชั้น เดินไปอาบน้ำใส่เสื้อคลุมอาบน้ำ ใส่ชุดวอร์มออกข้างนอก ใส่ทรงเอรวบผมทุกคน เข้าแถวเคารพธงชาติตอนเช้า มีงานของวิทยาลัยต่างๆที่ควรมีส่วนร่วม เนื่องจากวิทยาลัยมีนักศึกษาไม่มากนักการควบคุมคนก็จะสามารถเห็นได้ชัด ส่วนใหญ่ก็มักจะรู้จักกัน มีหลายคนบอกว่าวิทยาลัยเน้นปฏิบัติในตอนฝึก มีทุนให้ปีละ30000 แต่ถ้าลาออกต้องใช้ทุน2เท่าของจำนวนเงินที่ได้ ถ้าจบมามีงานทำอยู่หรือเขาเรียกกันว่าใช้ทุน4ปี ปัจจุบันยังไม่มีการบรรจุราชการให้กับพยาบาลใหม่เพราะต้องรอตามปี อาจจะรอนาน ส่วนเงินเดือนพยาบาลใหม่รวมทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 26000 บาท (พี่สาวเรียนจบบรมเลยรู้ละเอียดหน่อยตอนนั้น)
สำหรับพยาบาลมหาวิทยาลัย.......
มีกฎระเบียบไม่มาก สบายๆ ชิลๆ อิสระ เป็นสังคมใหญ่ เน้นทฤษฎี มหาวิทยาลัยก็ชื่อดังระดับประเทศ(ขอเน้นตรงนี้อย่างแรง555) มีทุนแลกเปลี่ยนไปเมืองนอกตอนปี3 จบทำงานใช้ทุน2ปี ไม่บรรจุ เงินเดือนอยู่ที่30000กว่า มีบางกระทู้บอกว่า ควรเลือกมหาวิทยาลัยเพราะดูเกรดดีกว่าประสิทธิภาพดีกว่า (ตอนนั้นข้อมูลก็รู้ประมาณนี้)
ตอนนั้นตัดสินใจเลือกพยาบาลมหาวิทยาลัยไป.....
แล้วก็ได้รู้ว่า......
พยาบาลมหาวิทยาลัยนั้น......
1มีกฎระเบียบการแต่งกายตอนไปเรียนหนังสือยิ่งเฉพาะปี1จะมีรุ่นพี่ดูแล แรกๆมีกิจกรรมสแตน กีฬา พี่นัดทุกเย็น หลังเลิกเรียนหิวข้าวมากแต่ก็ไม่ได้กินรีบไปหาพี่เพื่อซ้อมกิจกรรม เสรจจากกิจกรรมก็ประมาน2-3ทุ่ม หาอะไรกินซึ่งส่วนใหญ่ก็คือ เซเว่น อยู่มหาวิทยาลัยต้องอยู่คนเดียวให้ได้เพราะอาจต้องไปซื้อข้า กินข้าว ไปนั่งเรียนคนเดียว แล้วจะเข้าใจว่าที่มีคนบ่นว่า มีคนมากมายแต่เหมือนอยู่ตัวคนเดียวมันเป็นอย่างนี้นี่เอง ทุกอย่างต้องอดทนมาก และจคิดถึงบ้านที่อยู่ไกลมาก เห็นคนที่อยู่ใกล้ได้กลับบ้านแล้วยิ่งคิดถึง ตอนนั้นเริ่มเหนื่อยล้ารวมทั้งต้องตื่นไปเรียน8ครึ่ง แต่สวนใหญ่มักจะไม่เข้าเรียนก็ได้เพราะเป็นวิชาเลคเชอร์ เนื้อหาก็จะเพิ่มเติมเยอะกว่าม.ปลาย คือม.ปลายเรียนชีวะกัน3ปีแต่ปี1เรียนชีวะครึ่งเทอม 15บทต่อการสอบ1ครั้ง อ่านกันตาเหลือก จำกันระเบิดระเบ้อ ตอนนั้นเริ่มท้อล่ะ ว่าอะไกันเราเพิ่มาจากม.ปลายมันต้องทำตัวเป็นผู้ใหญ่ขนาดนี้เลยเหรอ เครียดว่ะ เหนื่อยด้วย ซึ่งที่ฮิตที่สุดสำหรับปี1 คือ การซิ่ว สมมติรับมา250 เหลือเเค่ 180-200 ปีสูงขึ้นก็มีลาออกนะแต่ไม่กี่คน
2 เทอม1ว่าเหนื่อยเทอม2เหนื่อกว่า มีอนาโตมีซึ่งเป็นการเรียนที่ลึกซึ้งจริงๆเรียนกับของจริง จำแหลกลาน มีคนได้เอก็เยอะ เอฟก็มี งานวิชาอื่นก็เยอะ เป็นอีกเทอมที่เด็กอยากลาออก กว่าจะผ่านปี1มาได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
3 ปี2เริ่มเรียนวิชาพยาบาล มีการเข้ากลุ่มย่อยเจออาจารย์ดีก็ดีไปเจออาจารย์....ก็เครียด+ร้องไห้กันไป และยังต้องเรียนวิชาวิทย์ที่โหดทั้งนั้นเช่น ไบโอเคม สรีระ เภสัช ไมโคร พาโทว มันโหดมาก เทอม2มีขึ้นวอร์ดทุกวันพุธด้วย ไหนจะการบ้านต่างๆ งานกลุ่มอีก ปี2เริ่มมี3เทอมล่ะด้วย
4ขึ้นปี3 โหดมากขึ้นวอร์ด3วันต่อ1สัปดา สอบทุก2สัปดา อธิบายสั้นๆ แต่มัน..... ทุกอย่างอยู่ได้ด้วยการอดทนเพื่อรอกลับบ้านทุกเมื่อที่ว่าง แม้จะหยุดแค่2วันแล้วนั่งรถไฟไปกลับก็ตาม
5 ปี4 ฝึกเป็นเดือนๆ ลงชุมชน สอบๆๆๆๆๆๆ และสอบสภา
ปล.การขึ้นวอร์ดแต่ละครั้งมันเป็นอะไรที่เหนื่อยล้ามาก แต่ทุกคนล้วนขอแค่เจออาจารย์และคนไข้ที่ดีก็พอ แต่ถ้าไม่ได้เป็นไปตามที่ขอมันก็คงต้องอดทนๆๆๆๆๆเท่านั้น ความกดดันล้านแปด ความรู้ที่ใช้มากมาย การฝึกที่ทรหดในภาคปฏิบัติ และทฤษฎีที่แตกฉานเพราะถ้าไม่แตกฉานอาจโดนเขวี่ยงขวดน้ำเกลือตอนขึ้นวอร์ดได้
ปล2 มหาวิทยาลัยเป็นสังคมใหญ่ที่มีคนหลากหลายแบบมาก ต้องใช้ความอดทนที่สุด ยิ่งสังคมพยาบาลด้วยแล้วเป็นสังคมผู้หญิง ที่อาจมีเรื่องการนินทา ชิงดีชิงเด่น รู้หน้าไม่รู้ใจ ปากหวานก้นเปรี้ยว แข่งขันกันแต่งตัว อวดรวยทั้งๆที่ไม่มีจะกิน ความเห็นแก่ตัวต่างๆนานา สิ่งสำคัญคือควบคุมตัวเองให้ได้นึกถึงพ่อแม่ให้มากๆ ซึ่งทั้งหมดนี้คือสังคมใหญ่ที่เราต้องเข้าใจ รู้จักเก็บอารมณ์ อดทนเมื่อเจอปัญหามากมาย สตรองเข้าไว้หากไม่ได้กลับบ้านเป็นเดือนๆ เพราะเรายังเหลือทำงานใช้ทุนอีก2ปี ซึ่งส่วนใหญ่หลังใช้ทุนเสรจเค้ามักจะลาออกไปทำอย่างอื่น หรือไม่ย้ายไปที่อื่น ไม่ใช่ที่ใครพูดกันว่า พยาบาลมหาวิทยาลัยเน้นทฤษฎีหรอกเพราะมหาวิทยาลัยเน้นทุกอย่าง จนบางคนอดทนไม่ไหวต้องลาออก
ปล3 ถ้าย้อนเวลาไปได้จะตัดสินใจเรียนบรมเหมือนพี่ ไม่เลือกพยาบาลแค่เพราะเป็นมหาลัยชื่อดัง เพราะจบมาสอบสภาผ่านก็คือพยาบาลเหมือนกัน ไม่มีเกรดไหนอะไรหรอกทุกอย่างอยู่ที่เราคิด ถ้าตัดสินใจเรียนบรมตั้งแต่ก็จบ คงไม่ต้องเหนื่อยขนาดนี้ ไม่ต้องกดดันขนาดนี้ แถมวันออฟ แค่2-3วันก็กลับบ้านพาแม่พ่อไปกินของอร่อยๆ
ฝากถึงน้องๆตัดสินใจดีๆ ชีวิตคนเรามันสั้นเลือกใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ความสุขอยู่ที่ใจก็จริงแต่มันอยู่ที่สภาพแวดล้อมด้วย คับที่อยู่ได้คับใจอยู่ยากจ้าาาา
ขอบคุณทุกคนที่อ่านจนจบนะ ^^ นี่คือประสบการณ์การเรียนพยาบาลมหาวิทยาลัยของเราเอง
พยาบาลมหาวิทยาลัยกับพยาบาลบรม (สำหรับการตัดสินใจ)
ซึ่งโพสต์ประมาณนี้จะมีการตั้งอยู่เกือบทุกปี แต่ไม่เคยเห็นคนที่ตัดสินใจมาเล่าประสบการณ์ให้ฟังเลย
วันนี้พี่ซึ่งเคยผ่านจุดที่ลังเลในการตัดสินใจจุดนั้นมาแล้ว ขอแชร์ประสบการณ์เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจแก่น้องๆอยู่ในสถานะนี้ทุกคนนะ
ย้อนกลับไปเมื่อไม่กี่ปีที่แล้ว พี่เป็นนักเรียนอยู่จ.หนึ่งภาคใต้ ตอนนั้นเป็นช่วงแอดมิชชั่น ในทีแรกพี่ติดรับตรงบรมในจ.ที่ตัวเองอยู่ ตอนนั้นได้ยืนยันสิทธิ์แล้วจ่ายตังแล้วไป10000 บาท แต่แล้วจู่พี่ก็ตัดสินใจยื่นแอดมิชชั่นผลออกมาปรากฏว่า พี่ติดพยาบาลในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งที่มีพยาบาล2โรงพยาบาลในที่เดียวกัน ตอนนั้นพี่เริ่มลังเลเพราะอุตส่าห์สอบติดมหาวิทยาลัยชื่อดัง แต่อีกที่เราก็จ่ายตังค์แล้วนะแถมยังอยู่ใกล้บ้านด้วย
จนเมื่อถึงวันก่อนสัมภาษณ์1วันเกิดเปลี่ยนลองไปสัมภาษณ์ดู หลังจากสัมภาษณ์เสร็จก็ผ่านสัมภาษณ์ ทีนี้เริ่มลังเลมากกว่าเดิมหลายเท่า มันถึงเวลาที่จะต้องตัดสินใจอย่างเด็ดขาดแล้ว พี่ก็ปรึกษาคนนู้นคนนี้เปิดว่าข้อมูลหาโพสต์เม้นต่างๆหลายที่ก็จะบอกประมาณว่า
สำหรับพยาบาลบรม..........
มีกฎระเบียบเยอะ มีระบบรุ่นพี่รุ่นน้อง มีการท่องคำปฏิญาณ สวดมนต์ตอนค่ำ พักหอในซึ่งมีเมทประมาณ5คน มีห้องน้ำรวมแต่ละชั้น เดินไปอาบน้ำใส่เสื้อคลุมอาบน้ำ ใส่ชุดวอร์มออกข้างนอก ใส่ทรงเอรวบผมทุกคน เข้าแถวเคารพธงชาติตอนเช้า มีงานของวิทยาลัยต่างๆที่ควรมีส่วนร่วม เนื่องจากวิทยาลัยมีนักศึกษาไม่มากนักการควบคุมคนก็จะสามารถเห็นได้ชัด ส่วนใหญ่ก็มักจะรู้จักกัน มีหลายคนบอกว่าวิทยาลัยเน้นปฏิบัติในตอนฝึก มีทุนให้ปีละ30000 แต่ถ้าลาออกต้องใช้ทุน2เท่าของจำนวนเงินที่ได้ ถ้าจบมามีงานทำอยู่หรือเขาเรียกกันว่าใช้ทุน4ปี ปัจจุบันยังไม่มีการบรรจุราชการให้กับพยาบาลใหม่เพราะต้องรอตามปี อาจจะรอนาน ส่วนเงินเดือนพยาบาลใหม่รวมทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 26000 บาท (พี่สาวเรียนจบบรมเลยรู้ละเอียดหน่อยตอนนั้น)
สำหรับพยาบาลมหาวิทยาลัย.......
มีกฎระเบียบไม่มาก สบายๆ ชิลๆ อิสระ เป็นสังคมใหญ่ เน้นทฤษฎี มหาวิทยาลัยก็ชื่อดังระดับประเทศ(ขอเน้นตรงนี้อย่างแรง555) มีทุนแลกเปลี่ยนไปเมืองนอกตอนปี3 จบทำงานใช้ทุน2ปี ไม่บรรจุ เงินเดือนอยู่ที่30000กว่า มีบางกระทู้บอกว่า ควรเลือกมหาวิทยาลัยเพราะดูเกรดดีกว่าประสิทธิภาพดีกว่า (ตอนนั้นข้อมูลก็รู้ประมาณนี้)
ตอนนั้นตัดสินใจเลือกพยาบาลมหาวิทยาลัยไป.....
แล้วก็ได้รู้ว่า......
พยาบาลมหาวิทยาลัยนั้น......
1มีกฎระเบียบการแต่งกายตอนไปเรียนหนังสือยิ่งเฉพาะปี1จะมีรุ่นพี่ดูแล แรกๆมีกิจกรรมสแตน กีฬา พี่นัดทุกเย็น หลังเลิกเรียนหิวข้าวมากแต่ก็ไม่ได้กินรีบไปหาพี่เพื่อซ้อมกิจกรรม เสรจจากกิจกรรมก็ประมาน2-3ทุ่ม หาอะไรกินซึ่งส่วนใหญ่ก็คือ เซเว่น อยู่มหาวิทยาลัยต้องอยู่คนเดียวให้ได้เพราะอาจต้องไปซื้อข้า กินข้าว ไปนั่งเรียนคนเดียว แล้วจะเข้าใจว่าที่มีคนบ่นว่า มีคนมากมายแต่เหมือนอยู่ตัวคนเดียวมันเป็นอย่างนี้นี่เอง ทุกอย่างต้องอดทนมาก และจคิดถึงบ้านที่อยู่ไกลมาก เห็นคนที่อยู่ใกล้ได้กลับบ้านแล้วยิ่งคิดถึง ตอนนั้นเริ่มเหนื่อยล้ารวมทั้งต้องตื่นไปเรียน8ครึ่ง แต่สวนใหญ่มักจะไม่เข้าเรียนก็ได้เพราะเป็นวิชาเลคเชอร์ เนื้อหาก็จะเพิ่มเติมเยอะกว่าม.ปลาย คือม.ปลายเรียนชีวะกัน3ปีแต่ปี1เรียนชีวะครึ่งเทอม 15บทต่อการสอบ1ครั้ง อ่านกันตาเหลือก จำกันระเบิดระเบ้อ ตอนนั้นเริ่มท้อล่ะ ว่าอะไกันเราเพิ่มาจากม.ปลายมันต้องทำตัวเป็นผู้ใหญ่ขนาดนี้เลยเหรอ เครียดว่ะ เหนื่อยด้วย ซึ่งที่ฮิตที่สุดสำหรับปี1 คือ การซิ่ว สมมติรับมา250 เหลือเเค่ 180-200 ปีสูงขึ้นก็มีลาออกนะแต่ไม่กี่คน
2 เทอม1ว่าเหนื่อยเทอม2เหนื่อกว่า มีอนาโตมีซึ่งเป็นการเรียนที่ลึกซึ้งจริงๆเรียนกับของจริง จำแหลกลาน มีคนได้เอก็เยอะ เอฟก็มี งานวิชาอื่นก็เยอะ เป็นอีกเทอมที่เด็กอยากลาออก กว่าจะผ่านปี1มาได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
3 ปี2เริ่มเรียนวิชาพยาบาล มีการเข้ากลุ่มย่อยเจออาจารย์ดีก็ดีไปเจออาจารย์....ก็เครียด+ร้องไห้กันไป และยังต้องเรียนวิชาวิทย์ที่โหดทั้งนั้นเช่น ไบโอเคม สรีระ เภสัช ไมโคร พาโทว มันโหดมาก เทอม2มีขึ้นวอร์ดทุกวันพุธด้วย ไหนจะการบ้านต่างๆ งานกลุ่มอีก ปี2เริ่มมี3เทอมล่ะด้วย
4ขึ้นปี3 โหดมากขึ้นวอร์ด3วันต่อ1สัปดา สอบทุก2สัปดา อธิบายสั้นๆ แต่มัน..... ทุกอย่างอยู่ได้ด้วยการอดทนเพื่อรอกลับบ้านทุกเมื่อที่ว่าง แม้จะหยุดแค่2วันแล้วนั่งรถไฟไปกลับก็ตาม
5 ปี4 ฝึกเป็นเดือนๆ ลงชุมชน สอบๆๆๆๆๆๆ และสอบสภา
ปล.การขึ้นวอร์ดแต่ละครั้งมันเป็นอะไรที่เหนื่อยล้ามาก แต่ทุกคนล้วนขอแค่เจออาจารย์และคนไข้ที่ดีก็พอ แต่ถ้าไม่ได้เป็นไปตามที่ขอมันก็คงต้องอดทนๆๆๆๆๆเท่านั้น ความกดดันล้านแปด ความรู้ที่ใช้มากมาย การฝึกที่ทรหดในภาคปฏิบัติ และทฤษฎีที่แตกฉานเพราะถ้าไม่แตกฉานอาจโดนเขวี่ยงขวดน้ำเกลือตอนขึ้นวอร์ดได้
ปล2 มหาวิทยาลัยเป็นสังคมใหญ่ที่มีคนหลากหลายแบบมาก ต้องใช้ความอดทนที่สุด ยิ่งสังคมพยาบาลด้วยแล้วเป็นสังคมผู้หญิง ที่อาจมีเรื่องการนินทา ชิงดีชิงเด่น รู้หน้าไม่รู้ใจ ปากหวานก้นเปรี้ยว แข่งขันกันแต่งตัว อวดรวยทั้งๆที่ไม่มีจะกิน ความเห็นแก่ตัวต่างๆนานา สิ่งสำคัญคือควบคุมตัวเองให้ได้นึกถึงพ่อแม่ให้มากๆ ซึ่งทั้งหมดนี้คือสังคมใหญ่ที่เราต้องเข้าใจ รู้จักเก็บอารมณ์ อดทนเมื่อเจอปัญหามากมาย สตรองเข้าไว้หากไม่ได้กลับบ้านเป็นเดือนๆ เพราะเรายังเหลือทำงานใช้ทุนอีก2ปี ซึ่งส่วนใหญ่หลังใช้ทุนเสรจเค้ามักจะลาออกไปทำอย่างอื่น หรือไม่ย้ายไปที่อื่น ไม่ใช่ที่ใครพูดกันว่า พยาบาลมหาวิทยาลัยเน้นทฤษฎีหรอกเพราะมหาวิทยาลัยเน้นทุกอย่าง จนบางคนอดทนไม่ไหวต้องลาออก
ปล3 ถ้าย้อนเวลาไปได้จะตัดสินใจเรียนบรมเหมือนพี่ ไม่เลือกพยาบาลแค่เพราะเป็นมหาลัยชื่อดัง เพราะจบมาสอบสภาผ่านก็คือพยาบาลเหมือนกัน ไม่มีเกรดไหนอะไรหรอกทุกอย่างอยู่ที่เราคิด ถ้าตัดสินใจเรียนบรมตั้งแต่ก็จบ คงไม่ต้องเหนื่อยขนาดนี้ ไม่ต้องกดดันขนาดนี้ แถมวันออฟ แค่2-3วันก็กลับบ้านพาแม่พ่อไปกินของอร่อยๆ
ฝากถึงน้องๆตัดสินใจดีๆ ชีวิตคนเรามันสั้นเลือกใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ความสุขอยู่ที่ใจก็จริงแต่มันอยู่ที่สภาพแวดล้อมด้วย คับที่อยู่ได้คับใจอยู่ยากจ้าาาา
ขอบคุณทุกคนที่อ่านจนจบนะ ^^ นี่คือประสบการณ์การเรียนพยาบาลมหาวิทยาลัยของเราเอง