ท่อส่งน้ำมันเหนือ-อีสานใกล้สำเร็จ เชื่อมต่อที่จังหวัดสระบุรี

กระทู้สนทนา
ท่อส่งน้ำมันเหนือ-อีสานใกล้สำเร็จ แทปไลน์รอแผน FPT-SC เชื่อมต่อที่จังหวัดสระบุรี

updated: 29 ก.พ. 2559 เวลา 20:30:16 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

แทปไลน์รอ FPT และเอสซี กรุ๊ปนำเสนอรายละเอียดเชื่อมต่อท่อน้ำมันพื้นที่จังหวัดสระบุรีรอบสุดท้าย คาด มี.ค.-เม.ย.นี้นำเสนอบอร์ดเคาะได้ เชื่อมั่นโครงการนี้จะสร้างความมั่นคงทางพลังงานและสร้างรายได้ให้แทปไลน์เพิ่มขึ้น ปีนี้จ่อลงทุนสร้างคลัง-ซ่อมแซมท่อ 400 ล้าน

โครงการวางท่อส่งน้ำมันใหม่ 2 เส้น คือ ท่อน้ำมันไปภาคเหนือของบริษัท ขนส่งน้ำมันทางท่อ (FPT) และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ของบริษัท เอสซี กรุ๊ป จำกัด จะต้องเชื่อมต่อท่อน้ำมันที่มีอยู่เดิมของบริษัท ท่อส่งปิโตรเลียมไทย จำกัด หรือแทปไลน์ ในพื้นที่จังหวัดสระบุรี ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีการสรุปว่าจะให้เชื่อมต่อได้หรือไม่

นายถวัลย์ศักดิ์ กราพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ท่อส่งปิโตรเลียมไทย จำกัด หรือแทปไลน์ เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า การขยายท่อขนส่งน้ำมันขึ้นไปยังภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยผู้ประกอบการทั้ง 2 ราย คือ บริษัท ขนส่งน้ำมันทางท่อ และบริษัท เอสซี กรุ๊ป ที่จะต้องเชื่อมต่อท่อน้ำมันของแทปไลน์ บริเวณจังหวัดสระบุรีนั้น ขณะนี้รอเพียงทั้ง 2 บริษัทนำเสนอรายละเอียดเพิ่มเติมใน 3 ประเด็น คือ 1) รายละเอียดทางเทคนิค 2) ความคุ้มค่าเชิงพาณิชย์ของโครงการ และ 3) การออกแบบโครงการในจุดเชื่อมต่อ



เนื่องจากก่อนหน้านี้รายละเอียดยังไม่เพียงพอ ซึ่งคาดว่าเร็ว ๆ นี้ทั้ง 2 บริษัทจะนำเสนอ หลังจากนั้นแทปไลน์จะนำรายละเอียดเสนอคณะกรรมการบริหาร (บอร์ด) ภายในเดือน มี.ค.-เม.ย.นี้ รวมถึงต้องนำเสนอผู้ถือหุ้นด้วย

ทั้งนี้ แทปไลน์ได้ประเมินเบื้องต้น หากท่อน้ำมันใหม่ทั้ง 2 เส้นได้เชื่อมต่อกับท่อน้ำมันของแทปไลน์แล้ว จะทำให้การบริหารจัดการท่อส่งน้ำมันมีความคล่องตัวมากขึ้น เพราะท่อน้ำมันของแทปไลน์สามารถเชื่อมโยงกับโรงกลั่นน้ำมันใหญ่ในประเทศถึง 4 โรง (โรงกลั่นเอสโซ่, ไทยออยล์, พีทีที โกลบอล เคมิคอล และสตาร์ปิโตรเลียม) สามารถเพิ่มการซัพพลายน้ำมันให้กับพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และที่สำคัญจะเพิ่มรายได้ให้กับแทปไลน์ในอนาคต สำหรับศักยภาพของท่อส่งน้ำมันในพื้นที่จังหวัดสระบุรีสามารถเชื่อมต่อได้ทั้ง 2 เส้น อย่างไรก็ตามขึ้นอยู่กับการพิจารณารายละเอียดอีกครั้ง

"แทปไลน์ยินดีที่จะให้ทั้ง 2 ผู้ประกอบการสามารถเชื่อมต่อท่อน้ำมันได้ เพราะจะสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับพื้นที่ภาคเหนือและภาคอีสานได้มากขึ้น ลดความเสี่ยงในการขนส่งโดยรถยนต์ที่มีต้นทุนสูง รวมถึงเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุด้วย"

นายถวัลย์ศักดิ์กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับแทปไลน์ในปีที่ผ่านมา สถานะการเงินดีขึ้น สามารถจ่ายหนี้เงินกู้ได้ครบถ้วนทั้งหมด และในปีนี้จะมีการลงทุนเพื่อปรับปรุงระบบขนส่งทางท่อที่มีอยู่ เนื่องจากได้ใช้งานมารวม 20 ปี โดยจะลงทุนใน 2 ส่วน คือ การก่อสร้างคลังน้ำมันเพิ่มเติม และปรับปรุงท่อเดิมที่ค่อนข้างเก่า คาดว่าจะใช้เงินประมาณ 300-400 ล้านบาท

รายงานเพิ่มเติมว่า เดิมทีนั้นกระทรวงพลังงานต้องการผลักดันให้แทปไลน์เป็นผู้ลงทุนขยายท่อส่งน้ำมันไปยังพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แต่เนื่องจากสถานะการเงินของแทปไลน์ในขณะนั้นยังมีหนี้ค้างสะสมอยู่ รวมถึงผู้ถือหุ้นไม่ต้องการเพิ่มทุน ทำให้โครงการนี้ล่าช้ามาหลายรัฐบาล จนกระทั่ง กพช.มีมติเปิดทางให้เอกชนรายอื่นสามารถลงทุนขยายท่อส่งน้ำมันได้ ทำให้บริษัท ขนส่งน้ำมันทางท่อ และบริษัท เอสซี กรุ๊ป เข้ามาเสนอตัวเป็นผู้ลงทุนวางท่อน้ำมันดังกล่าว

ปัจจุบันแทปไลน์มีผู้ถือหุ้นใหญ่ คือ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ร้อยละ 40 บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บริษัท เชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด ร้อยละ 14.57 บริษัท เชฟรอน เอเชีย แปซิฟิค โฮลดิ้ง ลิมิเต็ด ร้อยละ 9.91 บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) ร้อยละ 9.19 บริษัท คูเวต ปิโตรเลียม (ยุโรป) บีวี ร้อยละ 4.95 และบริษัท ซัสโก้ ดีลเลอร์ส จำกัด ร้อยละ 0.0024
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่