โลกอาศัยความเสียสละเป็นพื้นฐาน โดย พระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน

พระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน
  เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าสุริยาเย็น อ.เมืองพล จ.ขอนแก่น
เมื่อวันที่ ๒ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๒๓

"โลกอาศัยความเสียสละเป็นพื้นฐาน"
(คัดลอกมาบ้างส่วน)
          
  เมื่อมีความตระหนี่มากขึ้นเท่าไร ความเห็นแก่ตัวก็มาก เมื่อความเห็นแก่ตัวมากขึ้นเท่าไร กิเลสตัวกระทบกระเทือน ตัวรีดไถคนอื่น คดโกงคนอื่นก็มากขึ้นโดยลำดับ ล้วนแต่เป็นกิเลสตัวอ้วน ๆ และเป็นข้าศึกต่อหัวใจเราและเป็นข้าศึกต่อเพื่อนฝูงไม่มีประมาณ พระพุทธเจ้าท่านจึงสอนให้มีการเสียสละ ซึ่งเป็นการปราบกิเลสตัวตระหนี่ถี่เหนียวเป็นต้นให้ผอมโซลง ทานการเสียสละนับวันอ้วนท้วนขึ้น นำความสุขเย็นใจมาสู่ตนและผู้อื่นไม่มีประมาณ
            เพราะมนุษย์เราอยู่ด้วยกัน ต้องมีการเสียสละต่อกัน แม้แต่สัตว์เดรัจฉานเขาก็ยอมเสียสละต่อกัน คือให้ทานแจกแบ่งกันกิน เราเห็นไหมมดเขาขนอาหารประเภทใดมา ขนไปเป็นฝูง ๆ แล้วก็ไปกินด้วยกัน มนุษย์เราอยู่ด้วยกันมีทั้งคนมีคนจน มีทั้งคนโง่คนฉลาด แต่ก็เป็นคนเหมือนกัน มีความจำเป็นที่ต้องอาศัยปัจจัยทั้งสี่คือ อาหาร เครื่องนุ่งห่มใช้สอย ที่อยู่ที่อาศัย ยาแก้โรคแก้ภัย เช่นเดียวกับเราทุกคน เพราะฉะนั้น มนุษย์ท่านจึงสอนไม่ให้ประมาทซึ่งกันและกัน และเห็นใจสงสารสงเคราะห์กันตามสมควรแก่ความจำเป็นที่พึงทำได้
            คนทุกข์คนจนเขาไม่อยากทุกข์ไม่อยากจน คนโง่เขาก็ไม่อยากโง่ เขาอยากฉลาดยิ่งกว่าใครทั้งโลก แต่กรรมหากเป็นอย่างนั้นแต่งไม่ได้แก้ไม่ได้ ถอนไม่ได้ เพราะกรรมเดิมของตน วิบากกรรมเป็นอย่างนั้นก็ต้องยอมรับเสวยไป ผู้ที่มีวิบากกรรมอันดี มีความเฉลียวฉลาด มีความมั่งมีศรีสุข ก็มีความเฉลี่ยกันไปด้วยความเมตตาสงสาร อันเป็นหลักธรรมของพระพุทธเจ้า โลกก็อยู่ด้วยกันเป็นผาสุกเพราะการเฉลี่ยเผื่อแผ่ นับตั้งแต่ลูกเต้าขึ้นมาโดยลำดับ ลูกเต้าแต่ละคน ๆ จะเติบโตขึ้นมาเป็นผู้เป็นคนอย่างเรา ๆ ท่าน ๆ นี้ถ้าไม่ได้ความเสียสละบริจาคจากพ่อจากแม่ จากพี่เลี้ยงจากผู้เกี่ยวข้องจะเติบโตขึ้นมาได้อย่างไร โลกทั้งหลายจึงต้องอาศัยการเสียสละเป็นพื้นฐาน
            ดังท่านทั้งหลายได้มาเสียสละเพื่อประโยชน์ส่วนรวม คือวัดเป็นศูนย์กลางแห่งใจของประชาชน พระเณรทั่ว ๆ ไป ใครเข้ามาวัดแล้วมีความร่มเย็นเป็นสุข จตุปัจจัยไทยทานได้มามากน้อยก็เพื่อบำรุงพระสงฆ์ที่ท่านทรงศีลทรงธรรม ประพฤติปฏิบัติธรรมให้ได้รับความสะดวกสบาย และก่อนั้นสร้างนี้ขึ้นไว้เพื่อพระเพื่อเณร เพื่อประชาชนทั้งหลายได้มาอยู่อาศัย เพื่อบำเพ็ญคุณงามความดียิ่ง ๆ ขึ้นไป
            เช่นศาลาหลังนี้เป็นต้น หากไม่มีศาลาหลังนี้แล้วเราจะอยู่ที่ไหน อยู่ตามร่มไม้ชายคาหรือตามที่ไหน ๆ หรือกลางแจ้งก็ไม่สะดวกสบาย เมื่อเราต่างคนต่างเสียสละ มีความพร้อมเพรียงสามัคคีสละกันเป็นเงินเป็นทอง ตามสติปัญญาศรัทธาความเพียรของตน มาก่อสร้างขึ้นไว้ก็เป็นศาลาขึ้นมา เราทั้งหลายก็ได้อาศัย เพราะการเสียสละของแต่ละท่าน ๆ ผลแห่งการเสียสละทำความร่มเย็นแก่เราให้เห็นอยู่อย่างนี้ ใครจะมาจากที่ไหนก็มาพักได้ตามสะดวกสบาย เราคิดดอกเบี้ยแห่งบุญแห่งกุศลจากการก่อสร้าง จากการเสียสละของเรา ไม่มีวันมีคืนมีปีมีเดือน จนกระทั่งศาลาหลังนี้ร่วงลงไปสลายลงไปแล้ว บุญกุศลยังเป็นของเราเต็มเปี่ยมไม่ลดน้อยถอยลง ไม่สลายไปตามศาลานั้นเลย
            ศาลาหลังหนึ่ง ๆ ยกศาลาเป็นต้น ไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น เราสร้างขึ้นไว้ ศาลาหลังนี้ไม่ได้ไปสวรรค์ไม่ได้ไปนิพพาน ไม่ได้รับบุญรับกุศล ไม่ได้เป็นความสุข ศาลาเองก็ไม่ได้ไปที่ไหน ๆ ผู้ที่บริจาคทำบุญให้ทานนั่นแลผู้จะได้บุญ ผู้จะได้รับความสุข ผู้จะไปสวรรค์ ผู้จะไปนิพพาน ส่วนศาลานี้ไปไหนไม่ได้ อยู่อย่างนี้ละ สร้างไว้วัดไหนก็อยู่วัดนั้น ไปสวรรค์ก็ไม่เป็น ไปนรกก็ไม่ได้ เป็นไม้เป็นอะไรสลายลงไปก็ไปเป็นดินตามธรรมชาติของมัน ส่วนบุญส่วนกุศลที่มีศาลาหลังนี้เป็นต้นเหตุให้เกิดการก่อสร้างขึ้นมานั้นเป็นของเรา บุญนั้นแลเป็นของเรา ศาลาหลังนี้เป็นสมบัติกลาง บุญเป็นของแต่ละคน ๆ แต่ละท่าน ๆ
            เพราะฉะนั้น ผู้เชื่อบุญจึงต้องทำบุญ ศาลาหลังนี้จะร่วงโรยไปไหนก็ตามเราไม่ร่วงโรย บุญของเราเป็นของเราไปเรื่อย ๆ ท่านกล่าวไว้อย่างนี้ตามหลักธรรม ขอให้ทุกท่านได้นำไปพินิจพิจารณาประพฤติปฏิบัติ

http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=2313&CatID=2
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่