ใครเลยจะเชื่อว่า....จากอดีตพระธรรมดาๆ รูปหนึ่งที่เรียกตัวเองว่า “หลวงปู่พุทธอิสระ” พร้อมประวัติที่ด่างพร้อยจะมีอิทธิพลต่อทั้งศาสนจักรและอาณาจักรได้มากมายได้ถึงเพียงนี้?? เพียง “เสียงเดียว” ของเขากลับกึกก้องกังวานกว่าหลากเสียงของพระสงฆ์อีกจำนวนหลายร้อยพันรูป ความปั่นป่วนทั้งในศาสนจักรและอาณาจักรในตอนนี้ ตัวเขาเองยอมรับว่ามีส่วนโดยไม่ต้องไปคะยั้นคะยอให้ยอมรับ จริงๆ แล้วความยุ่งเหยิงในตอนนี้โดยเฉพาะด้านศาสนจักร จะโทษเขาเสียทั้งหมดคงจะไม่ยุติธรรม ควรต้องโทษ “พุทธศาสนิกชน”ด้วยส่วนหนึ่งที่ยุยงส่งเสริมเขาคนนี้ให้เข้ามามีบทบาทในทั้งสองอาณาจักร
ภาพของพระพุทธศาสนาในเมืองไทยตอนนี้กำลังถูกสร้างให้มองเห็นด้วยมิติที่ตื้นๆ ว่ามีเพียงสองฝ่ายคือ ฝ่ายที่ไม่เอาธรรมกายกับฝ่ายที่สนับสนุนธรรมกาย คนหรือกลุ่มใดที่ไม่เห็นด้วยกับพุทธะอิสระจะถูกปัดให้เป็นฝ่ายที่สนับสนุนธรรมกายโดยปริยาย แล้วจากนั้นก็โยงสายจากธรรมกายสู่ทักษิณ ยิ่งลักษณ์ สมเด็จช่วง และใครต่อใครอีกมากมายที่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐบาลในยามนี้ มองลงไปอีกชั้นหนึ่ง...ดูเหมือนว่ารัฐบาลเองก็ถูกพุทธะอิสระใช้ในกรณีการแต่งตั้งสังฆราชด้วย
ความยุ่งเหยิงและปัญหาในทางคณะสงฆ์นั้นก็มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล เมื่อเกิดอธิกรณ์อธิกรณ์นั้นๆ ก็จะถูกระงับโดยคณะสงฆ์(เหตุเกิดก็ระงับที่เหตุ) ซึ่งในคณะสงฆ์นั้นไม่มีพระรูปหนึ่งรูปใดที่แตกเหล่าแตกกอไปยืมมือบ้านเมืองเข้ามาระงับอธิกรณ์ ส่วนในกรณีของพระเทวทัตนั้นก็ขอยืมมือบ้านเมือง(พระเจ้าอาชาตศรัตรู)กำจัดศัตรูคือพระพุทธเจ้า อาณาจักรสุโขทัยซึ่งเป็นเพียงอาณาจักรเล็กๆ แต่ก็มีคณะสงฆ์ใหญ่อย่างน้อยๆ สามนิกายขึ้นไป (อรัญญวาสี คามวาสี ที่มีทั้งฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวาอีก) ท่านก็อยู่ของท่าน และปกครองของท่านได้โดยไม่มีอลัชชีตนไหนออกมาแหกกะเฌอ ขาดหิริ/โอตัปปะก้าวล่วงอาบัติครั้งแล้วครั้งเล่าเหมือนที่เห็นในปัจจุบัน
ผมเชื่อเสมอว่าลำพังพระเพียงรูปเดียวที่แหกกฏและพระวินัยสงฆ์ออกมาทำลายกบิลบ้านกบิลบ้านกบิลเมืองอย่างนี้คงทำต่อเนื่องไปได้ไม่กี่น้ำแน่นอน และแม้ตอนนี้ดูเหมือนว่ากำลังจะเป็นต่ออยู่ก็ตาม วิบากรรมที่ดึงเอาศาสนาและตัวไปปยุ่งกับทางโลกจนอลหม่าน วิบากรรมที่ทำให้คนอื่นต้องเป็นทุกข์จากการกระทำของตัวเอง วิบากกรรมที่ไส้ไคล้เติมเชื้อไฟให้คนเกลียดพระผู้ใหญ่ เหล่านี้จะส่งผลสะท้อนกลับเข้าหาตัวเอง ดูตัวอย่างพระเทวทัต หรืออดีตเจ้าคุณวัดไตรมิตร วัดเบญจมบพิตร ที่เคยยืมมือบ้านเมืองมาเล่นงานพระด้วยกัน
ปัญหาใหญ่ของศาสนาพุทธในตอนนี้จริงๆ.....คือการไม่ตระหนักถึง “แก่นแท้” คือหลักปรัชญาของของตัวศาสนาของชาวไทยพุทธ ซึ่งส่วนใหญ่มักจะจับเอาคำเทศน์ของพระหรืออลัชชีบางตนมายึดมั่นว่าเป็นสรณะว่า ถ้าเห็นพระรูปไหนยก บูชา สรรเสริญ เอาสิ่งอื่น บุคคลอื่น และสถาบันอื่นสูง(ชนิดที่ว่ายอมแม้กระทั่งอาบัติผิดวินัยสงฆ์)กว่าการยึดแนวทางที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงวางไว้แล้ว อย่าไปเชื่อพระรูปนั้นให้มากเลย...และที่ผมเห็นและเฝ้าสังเกตุมาระยะหนึ่ง หนึ่งในนั้นก็คือพุทธะอิสระคนหนึ่ง
เรื่องการแต่งตั้งสังฆราช เป็นเรื่องของพระราชอำนาจครับ ถ้าพระองค์ท่านเห็นว่าไม่เหมาะไม่ควรจะตั้งพระรูปไหนท่านก็จะท้วงติง เหมือนที่เคยใช้พระราชอำนาจท้วงติงก่อนการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชวัดสระเกศ (อยู่ ญาโณทัย) พระองค์ทรงมีปราชญ์มีราชบัณฑิตคอยให้คำปรึกษาอยู่แล้ว พฤติกรรมของพุทธะอิสระตอนนี้นั้นทำให้ระคายเคืองพระยุคลบาท เราพุทธศาสนิกชนอย่าไปสนับสนุนพุทธะอิสระเลยในเรื่องนี้
เรื่องของธรรมกายกับพุทธะอิสระ เป็นเรื่องของการแข่งขันด้านธุรกิจ(พุทธพานิชย์)ล้วน บริษัทที่ตั้งขึ้นมาอย่างยาวนานและมีหลักทรัพย์มั่นคงย่อมเป็นที่อิจฉาหรือถูกมองว่าเป็นศรัตรูทางธุรกิจจากบริษัทเล็กๆ เป็นธรรมดา การหาโอกาสทำลายโจมตีรากฐานก็มีอย่างที่เห็น
เรื่องของสมเด็จช่วงเป็นอุปัชฌาย์ของนายไชยบูลย์ ก็ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไรมากมายถึงขนาดที่จะต้องมาโจมตีว่าถึงขั้นว่าเป็นสังฆราชไม่ได้ พฤติกรรมของธรรมชโยจะให้สมเด็จช่วงรับมาเป็นกรรมของท่านก็คงไม่ได้ กรรมใครกรรมมัน....พระพุทธเจ้าทรงเป็นพระอุปัชฌาย์ให้พระเทวทัต พระองค์ก็ไม่ได้มีส่วนต้องไปรับผิดชอบในพฤติกรรมของเทวทัตเลย ต้องนำตรรกะนี้มาวางเทียบดูเสียก่อน ก่อนที่จะตัดสินใจโยงเรื่องที่ไม่เกี่ยวกันให้เป็นเรื่องเดียวกัน มองไม่ทะลุจะบาปกรรมเปล่าๆ.....ส่วนเรื่องรถหรู(หรูจริงนะ??)นั้นผมรู้เรื่องไม่ลึก แต่ก็อยากตำหนิโยมที่ถวายน่ะนะ ถวายไอ้ที่มันเป็นประโยชน์มากกว่านี้ก็ไม่ถวาย สมเด็จช่วงก็น่าถูกตำหนิ(หากท่านรับประเคนมาเป็นของท่าน?)
…ธรรมกาย / วัดอ้อน้อย / และอื่นๆ...
ภาพของพระพุทธศาสนาในเมืองไทยตอนนี้กำลังถูกสร้างให้มองเห็นด้วยมิติที่ตื้นๆ ว่ามีเพียงสองฝ่ายคือ ฝ่ายที่ไม่เอาธรรมกายกับฝ่ายที่สนับสนุนธรรมกาย คนหรือกลุ่มใดที่ไม่เห็นด้วยกับพุทธะอิสระจะถูกปัดให้เป็นฝ่ายที่สนับสนุนธรรมกายโดยปริยาย แล้วจากนั้นก็โยงสายจากธรรมกายสู่ทักษิณ ยิ่งลักษณ์ สมเด็จช่วง และใครต่อใครอีกมากมายที่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐบาลในยามนี้ มองลงไปอีกชั้นหนึ่ง...ดูเหมือนว่ารัฐบาลเองก็ถูกพุทธะอิสระใช้ในกรณีการแต่งตั้งสังฆราชด้วย
ความยุ่งเหยิงและปัญหาในทางคณะสงฆ์นั้นก็มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล เมื่อเกิดอธิกรณ์อธิกรณ์นั้นๆ ก็จะถูกระงับโดยคณะสงฆ์(เหตุเกิดก็ระงับที่เหตุ) ซึ่งในคณะสงฆ์นั้นไม่มีพระรูปหนึ่งรูปใดที่แตกเหล่าแตกกอไปยืมมือบ้านเมืองเข้ามาระงับอธิกรณ์ ส่วนในกรณีของพระเทวทัตนั้นก็ขอยืมมือบ้านเมือง(พระเจ้าอาชาตศรัตรู)กำจัดศัตรูคือพระพุทธเจ้า อาณาจักรสุโขทัยซึ่งเป็นเพียงอาณาจักรเล็กๆ แต่ก็มีคณะสงฆ์ใหญ่อย่างน้อยๆ สามนิกายขึ้นไป (อรัญญวาสี คามวาสี ที่มีทั้งฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวาอีก) ท่านก็อยู่ของท่าน และปกครองของท่านได้โดยไม่มีอลัชชีตนไหนออกมาแหกกะเฌอ ขาดหิริ/โอตัปปะก้าวล่วงอาบัติครั้งแล้วครั้งเล่าเหมือนที่เห็นในปัจจุบัน
ผมเชื่อเสมอว่าลำพังพระเพียงรูปเดียวที่แหกกฏและพระวินัยสงฆ์ออกมาทำลายกบิลบ้านกบิลบ้านกบิลเมืองอย่างนี้คงทำต่อเนื่องไปได้ไม่กี่น้ำแน่นอน และแม้ตอนนี้ดูเหมือนว่ากำลังจะเป็นต่ออยู่ก็ตาม วิบากรรมที่ดึงเอาศาสนาและตัวไปปยุ่งกับทางโลกจนอลหม่าน วิบากรรมที่ทำให้คนอื่นต้องเป็นทุกข์จากการกระทำของตัวเอง วิบากกรรมที่ไส้ไคล้เติมเชื้อไฟให้คนเกลียดพระผู้ใหญ่ เหล่านี้จะส่งผลสะท้อนกลับเข้าหาตัวเอง ดูตัวอย่างพระเทวทัต หรืออดีตเจ้าคุณวัดไตรมิตร วัดเบญจมบพิตร ที่เคยยืมมือบ้านเมืองมาเล่นงานพระด้วยกัน
ปัญหาใหญ่ของศาสนาพุทธในตอนนี้จริงๆ.....คือการไม่ตระหนักถึง “แก่นแท้” คือหลักปรัชญาของของตัวศาสนาของชาวไทยพุทธ ซึ่งส่วนใหญ่มักจะจับเอาคำเทศน์ของพระหรืออลัชชีบางตนมายึดมั่นว่าเป็นสรณะว่า ถ้าเห็นพระรูปไหนยก บูชา สรรเสริญ เอาสิ่งอื่น บุคคลอื่น และสถาบันอื่นสูง(ชนิดที่ว่ายอมแม้กระทั่งอาบัติผิดวินัยสงฆ์)กว่าการยึดแนวทางที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงวางไว้แล้ว อย่าไปเชื่อพระรูปนั้นให้มากเลย...และที่ผมเห็นและเฝ้าสังเกตุมาระยะหนึ่ง หนึ่งในนั้นก็คือพุทธะอิสระคนหนึ่ง
เรื่องการแต่งตั้งสังฆราช เป็นเรื่องของพระราชอำนาจครับ ถ้าพระองค์ท่านเห็นว่าไม่เหมาะไม่ควรจะตั้งพระรูปไหนท่านก็จะท้วงติง เหมือนที่เคยใช้พระราชอำนาจท้วงติงก่อนการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชวัดสระเกศ (อยู่ ญาโณทัย) พระองค์ทรงมีปราชญ์มีราชบัณฑิตคอยให้คำปรึกษาอยู่แล้ว พฤติกรรมของพุทธะอิสระตอนนี้นั้นทำให้ระคายเคืองพระยุคลบาท เราพุทธศาสนิกชนอย่าไปสนับสนุนพุทธะอิสระเลยในเรื่องนี้
เรื่องของธรรมกายกับพุทธะอิสระ เป็นเรื่องของการแข่งขันด้านธุรกิจ(พุทธพานิชย์)ล้วน บริษัทที่ตั้งขึ้นมาอย่างยาวนานและมีหลักทรัพย์มั่นคงย่อมเป็นที่อิจฉาหรือถูกมองว่าเป็นศรัตรูทางธุรกิจจากบริษัทเล็กๆ เป็นธรรมดา การหาโอกาสทำลายโจมตีรากฐานก็มีอย่างที่เห็น
เรื่องของสมเด็จช่วงเป็นอุปัชฌาย์ของนายไชยบูลย์ ก็ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไรมากมายถึงขนาดที่จะต้องมาโจมตีว่าถึงขั้นว่าเป็นสังฆราชไม่ได้ พฤติกรรมของธรรมชโยจะให้สมเด็จช่วงรับมาเป็นกรรมของท่านก็คงไม่ได้ กรรมใครกรรมมัน....พระพุทธเจ้าทรงเป็นพระอุปัชฌาย์ให้พระเทวทัต พระองค์ก็ไม่ได้มีส่วนต้องไปรับผิดชอบในพฤติกรรมของเทวทัตเลย ต้องนำตรรกะนี้มาวางเทียบดูเสียก่อน ก่อนที่จะตัดสินใจโยงเรื่องที่ไม่เกี่ยวกันให้เป็นเรื่องเดียวกัน มองไม่ทะลุจะบาปกรรมเปล่าๆ.....ส่วนเรื่องรถหรู(หรูจริงนะ??)นั้นผมรู้เรื่องไม่ลึก แต่ก็อยากตำหนิโยมที่ถวายน่ะนะ ถวายไอ้ที่มันเป็นประโยชน์มากกว่านี้ก็ไม่ถวาย สมเด็จช่วงก็น่าถูกตำหนิ(หากท่านรับประเคนมาเป็นของท่าน?)