Australia I am back ep1 : [แชร์ประสบการณ์] เลือกเอเจนท์ไปเรียนต่อและข้อแนะนำ
ผมเล่าเรื่องเกี่ยวทุนรัฐบาลออสเตรเลีย Endeavour Scholarships & Fellowships ไว้ก่อนหน้านี้ครับ
ซึ่งตั้งใจไว้ว่าจะเล่าเกี่ยวกับทุนนี้ ขั้นตอนการขอทุน และประสบการณ์ในการเป็นนักเรียนทุน ซึ่งตอนนี้เล่าไว้ 3 ตอนดังด้านล่างครับ
กระทู้ที่เล่าก่อนหน้านี้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้รู้จักทุน Endeavour ให้มากขึ้น ตอนที่ 1 : ความแตกต่างระหว่าง Scholarships และ Fellowships
http://ppantip.com/topic/34746187
รู้จักทุน Endeavour ให้มากขึ้น ตอนที่ 2 : มูลค่าทุนรัฐบาลออสเตรเลียในระดับป.โท ป.เอก และสถิติย้อนหลัง
http://ppantip.com/topic/34774532
รู้จักทุน Endeavour ให้มากขึ้น ตอนที่ 3 : Endeavour VET Scholarships ทุนรัฐบาลออสเตรเลีย(ให้เปล่า)มูลค่ากว่า 3.4 ล้านบาทที่คุณอาจยังไม่รู้จักพร้อมสถิติย้อนหลัง
http://ppantip.com/topic/34801987
ซึ่งเรื่องทุนก็ยังจะมาเล่าต่ออยู่ แต่ก็อยากแชร์ประสบการณ์ส่วนตัวด้วยที่เกี่ยวกับสิ่งที่เคยทำมาก่อนหน้านี้ คือไปเรียนภาษา เรียนดิปโพลมา ไป Work and Holiday ไป เรียนโท กลับจากเรียนโทมาเปิดบ.ที่ไทยก่อนเรียนจบ การทำกิจกรรมเพื่อสังคมต่างๆ การพัฒนาตัวเอง รวมถึงการได้ทุน Endeavour และหลายๆเรื่อง โดยรวมๆเป็นการเล่าเรื่องที่เคยไปแล้ว จะกลับไปอีก และเส้นทางก่อนที่จะมาถึงตรงนี้เลยขึ้นชื่อว่า Australia I am back ครับ
ผมไป Australia ครั้งแรกในที่ยังไม่มี Facebook และ Social Media ที่เราใช้กันในตอนนั้นก็มีแต่ Hi5 ถ้าจำไม่ผิด คือเป็นยุคที่หาข้อมูลได้แล้ว
แต่ยังไม่มีข้อมูลเยอะขนาดปัจจุบันนี้ ซึ่งข้อดีข้อเสียต่างกันไปนะครับ (สมัยก่อนหาข้อมูลไม่ได้ / สมัยนี้ข้อมูลเยอะเกิน ไม่รู้อันไหนน่าเชื่อ ไม่น่าเชื่อ)
ในสมัยก่อนเป็นช่วงที่ information ยังไม่ flow ขนาดนี้ ผมใช้วิธีที่เด็กสมัยนั้นน่าจะฮิตกัน(อันนี้เดาเอานะ สมัยก่อนมันจะมีอะไรที่ฮิตได้โดยไม่ต้องมี internet มาเกี่ยวข้องเยอะเหมือนกัน) คือ มีคนรู้จักใช้เอเจนท์นี้เหมือนกัน
(ซึ่งคนรู้จักที่ว่าเป็นลูกของเพื่อนของคุณแม่ผมอีกทีและเราไม่รู้จักกันในตอนนั้น)
นอกจากข้อมูลที่ไม่ได้มีเยอะมากในสมัยก่อน ต้องยอมรับว่าในสมัยนั้นผมเองก็ไม่ใช่คนที่จะหาข้อมูลเยอะอะไรมากมาย
เรียกว่าอันนี้ผู้ใหญ่เค้าแนะนำว่าโอเคก็ เราก็ว่าโอเคแหละ เราสมมติว่าพี่เค้าชื่อพี่เอแล้วกัน
ผมเองไม่เคยไปออฟฟิศพี่เอเลย มีคุณแม่เคยไปดูแวปๆ เป็นออฟฟิสขนาดเล็กมาก มีพี่เอและพนักงานอีกหนึ่งคน
ส่วนผมเองคุยทางโทรศัพท์ซะส่วนมาก
ซึ่งพี่เอก็ตอบได้ดีในเรื่องของคอร์สเรียนและวีซ่าครับ เข้าใจคร่าวๆว่าจะเรียนแบบไหนดี แต่ก็ยังไม่เคลียร์มาก คือตอนนั้นจะมีออปชันให้เลือกระหว่าง General English กับ Academic English
เราก็ได้ข้อมูลคร่าวๆว่า Academic English จะเข้มข้นกว่า (เดี๋ยวผมโพสลิงค์เรื่องคอร์สแบบต่างๆไว้ใน comment ให้ครับ) แต่เราก็ไม่แน่ใจว่าเข้มกว่ายังไง แต่ว่าไหนๆไปแล้วเค้าว่าเข้มกว่าก็ตามนี้แหละ
ทั้งนี้ตอนนั้นผมก็ยังนึกภาพออสเตรเลียไม่ออกว่าเราจะไปใช้ชีวิตยังไง ทำงานอะไรยังไง เมืองไหนเป็นยังไง แต่ก็เลือก Sydney ไป นัยว่าพี่ที่เค้าเคยใช้บริการพี่เอก็ไปเมืองนี้ เราก็เลยไป Sydney บ้างก็แล้วกัน คนไทยมีเยอะหน่อย น่าจะหางานไม่ยาก(มั้ง) พี่เอก็แนะนำว่าไปทำงานในตลาดปลาก็ได้นะ งานร้านอาหารไทยก็มี
ซึ่งตอนนั้นภาพที่นึกออกมาไปเข็นปลาตัวใหญ่มากๆ อยุ่ในตลาดปลาที่มีหิมะตกอยู่ แล้วก็เสิร์ฟอาหารแบบใส่ชุดสูทในร้านอาหารไทยในโรงแรม 5 ดาว เพราะมีอิมเมจในหัวว่าเมืองนอกต้องดูดีสิ (ซึ่งทั้งสองงานที่ว่ามาไม่เคยไปทำเลยตอนไปจริงๆ และหิมะก็ไม่ตกใน Sydney ด้วย)
พี่เอเค้าก็โอเคมาเรื่อยๆ แต่จะมีช่วงชวนตกใจอยู่นิดนึงคือตอนโอนเงินไปแล้ว เค้าเงียบไปเลย โทรไปเป็นสิบสายไม่รับ ไม่โทรกลับในวันนั้น วันต่อไปเราก็โทรไปเค้าบอกว่าเค้าลืมโทรศัพท์ไว้ในรถ (อ้าว พี่ไม่โทรกลับผมหน่อยเหรอครับ) ทั้งนี้อาจจะเป็นความผิดพลาดเล็กๆน้อยๆแค่ขนลุกนิดหน่อยเพราะเราโอนเงินค่าเรียนกันไปเป็นหลักแสนบาท
หลังจากนั้นก็ไม่มีปัญหาอะไร พี่เอติดต่อกับทางเราเพื่อเตรียมเอกสารวีซ่า และยื่นวีซ่าให้ สุดท้ายก็ได้วีซ่าเรียนภาษา 6 เดือนมาครอบครองและก็เดินทางไปเรียนแบบราบรื่น โดยที่เราไม่ได้เจอกันแบบตัวเป็นๆ
โดยสรุปเรื่องเลือกเอเจนท์ของผมเองตอนนั้นไม่เจอปัญหาอะไรมาก แต่ถ้าให้มองย้อนไปก็จะพบว่าเราเองก็หาข้อมูลน้อยมาก รู้เรื่องต่างๆน้อยมากด้วย ถ้าเจอคนไม่โอเคนี่ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไง
ในยุคที่เราหาข้อมูลได้มากกว่าเมื่อก่อน ข้อแนะนำข้อแรกสำหรับคนที่อยากไปเรียนต่อ อยากขอทุน คือหาข้อมูลให้เยอะที่สุดครับ
ดังนั้นในฐานะตอนนี้ผมก็ทำบ.เกี่ยวกับแนะแนวด้านการศึกษามาหลายปีและเคยเป็นนักเรียนและรู้เรื่องเกี่ยวกับออสเตรเลียพอสมควร เบื้องต้นผมสรุปข้อมูลที่นักเรียนที่จะไปเรียนที่ออสเตรเลีย ควรทราบ ก่อนเดินทางให้ดังนี้ (ซึ่งข้อมูลเหล่านี้เราควรสอบถามจากเอเจนท์ให้ชัดเจนทั้งหมดได้ครับ)
- รู้จักเมืองที่จะไป อากาศเป็นอย่างไร เดินทางยังไง นานเท่าไหร่
- ตัวเองจะไปเรียนที่ไหน (ชื่อสถาบัน , สถานที่ตั้ง)
- ค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ก้อนแรก แบ่งเป็นค่าอะไรบ้าง
- มีค่าใช้จ่ายอะไรที่ต้องทราบอีกบ้างนอกเหนือจากค่าเรียน ค่าประกันสุขภาพ และค่าวีซ่า และเป็นจำนวนเงินเท่าไหร่ ต้องจ่ายเมื่อไหร่
- เราเรียนจบคอร์สนี้แล้วจะวางแผนต่อไปยังไง
- ขั้นตอนในการดำเนินการมีเอกสารอะไรที่สำคัญบ้างจากทางรร. ( Offer Letter , Confirmation of Enrollment(CoE))
- ขั้นตอนในการยื่นวีซ่า เช่น เลือกรร., สมัครเรียน ,ได้รับ offer letter, pre-screen เอกสาร, ชำระเงิน, ได้รับ CoE , เตรียมเอกสารยื่นวีซ่า เขียนจม.อธิบายเรื่องการเงิน จม.อธิบายเรื่องเป้าหมาย และยื่นวีซ่า , ตรวจสุขภาพ , รับผลวีซ่า
- พูดแบบฝรั่ง In an unlikely event of a visa refusal ถ้าวีซ่าไม่ผ่านจะเสียค่าอะไรบ้าง อะไรได้คืน อะไรไม่ได้คืน (ตรงนี้มีเอกสารให้ชัดเจน)
- วีซ่ายาวเท่าไหร่ เข้าประเทศได้เมื่อไหร่ หมดเมื่อไหร่ สิทธิและข้อกำหนดของวีซ่าคืออะไร
- ต่อวีซ่าได้ยังไงบ้าง ติดต่อเอเจนท์ทางไหนบ้าง
- เรื่อง sim โทรศัพท์ ที่พัก การเปิดบัญชีธนาคาร การหางาน (อันนี้ปกติ agent น่าจะแนะนำให้)
- และอื่นๆ
อื่นๆที่ว่า หมายรวมถึง การพยายามฟังอะไรที่เป็นเหตุเป็นผล มีหลักฐานชัดเจน (ประกาศจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง) อย่าไปเชื่ออะไรที่ฟังดูง่ายเกินไป
อันนี้ไม่ใช่เฉพาะเรื่องเรียนต่อ แต่ apply กับเรื่องอื่นๆในชีวิตได้
อย่างสัปดาห์ก่อน ผมไปร้านหนังสือมา เดี๋ยวนี้พอเข้าไปจะไม่แปลกใจเลยที่เห็นแต่ keyword ประมาณ รวยเร็ว ผอมเร็ว สำเร็จเร็ว รวยร้อยล้าน ซึ่งบางครั้งเราก็ไม่รู้ว่าคนเขียนเป็นใครด้วยซ้ำ (คือไม่รู้จักความสำเร็จของเค้าก่อนหน้านี้ แต่มาเจอคำโปรยที่เรากำลังมองหา)
เอาจริงๆถ้าทุกอย่างทำได้เร็ว และเป็นสูตรสำเร็จขนาดนั้นคงไม่มีคนต้องลำบากเรื่องเงิน เรื่องสุขภาพกันแล้วแหละ...
ปัจจุบัน ผมให้ข้อมูลเรื่องๆ Work and Holiday กับน้องๆในเพจและเวป Thaiwahclub และก็มีบ.แนะแนวเรื่องเรียนต่อของตัวเอง
พอทำทั้งสอง role จะมีก็นักเรียนที่มีเคสมีปัญหาจากที่อื่นมาให้ช่วยแนะนำด้วยอยู่เรื่อยๆ
ซึ่งปัญหาที่พบก็จะมีทั้งแบบทั่วไปและแบบร้ายแรง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อหลายๆอย่าง และต้นตอของปัญหานี่สามารถเกิดขึ้นได้จากทั้งสองฝ่ายครับ
1) เอเจนท์นั้นไม่โอเคจริงๆ : เอเจนท์ดีๆเยอะนะครับ คือตั้งใจทำงานแบบซื่อสัตย์ ซึ่งถ้านับจำนวนกันจริงๆผมว่าพวกที่อยู่ฝ่ายดีมีเยอะกว่าแน่นอน
แต่ถ้าโชคร้ายเจอพวกที่ไม่โอเคมันก็จะอาจจะมีอะไรที่ไม่โปร่งใสเยอะ ล่าสุดเจอเคสที่ปลอมเอกสารว่าวีซ่าผ่าน แต่จริงๆไม่ได้ยื่นวีซ่าให้คือปลอมหมดเลยทั้ง CoE , Offer และวีซ่า หรือถ้าวีซ่าไม่ผ่านหักเงินเด็กนักเรียน 40% จากที่จ่ายทั้งหมด (ตรงนี้ดู Refund Policy ของรร.นั้นๆได้เลยครับ แต่ทั่วไปคือวีซ่าไม่ผ่านนี่ค่าเรียนจะคืน 100% แต่จะหักค่าอื่นๆไป แต่ไม่เยอะขนาดนั้นแน่นอน)
2) นักเรียนเองไม่ใส่ใจเลย : เหมือนกันกับเอเจนท์ ผมว่านักเรียนส่วนมากก็จะเข้าใจหรือมีความตั้งใจที่จะเข้าใจเรื่องๆต่างๆเกี่ยวกับการไปเรียนของตัวเองให้มากที่สุด (และแนะนำให้ทำอย่างยิ่ง เพราะเป็นประโยชน์กับตัวเองจริงๆครับ) แต่นักเรียนส่วนน้อยที่เค้าไม่ใส่ใจรายละเอียด เค้าก็จะไม่รู้เลยว่าไปเรียนอะไร โรงเรียนชื่ออะไร จ่ายค่าอะไรไปบ้าง เงินคืนได้มากน้อยยังไงถ้าวีซ่าไม่ผ่าน มีเอกสารอะไรบ้างที่ต้องได้รับจากรร.และเอเจนท์ ต้องจ่ายอะไรเมื่อไหร่ยังไง กติกาของวีซ่านักเรียนคืออะไร ซึ่งจะโชคร้ายเป็นพิเศษถ้านักเรียนที่ไม่รู้ข้อมุลและไม่หาข้อมูลเลย ไปเจอเอเจนท์ที่ไม่ซื่อสัตย์
การตัดสินใจไปต่างประเทศ ไปเรียน ไปใช้ชีวิตนี่เป็นเรื่องใหญ่นะครับ ถ้าจะเลือกใช้เอเจนท์เลือกให้ดีๆ
และเราเองต้องพยายามหาข้อมูลเยอะๆ ด้วย ถ้าเราไม่หาเองเราก็ต้องถามคนที่รู้จริงๆให้ได้มากที่สุด
และถ้าเลือกใช้เอเจนท์แล้วเราเองก็ขอความรู้จากเค้าได้เลย เลือกใช้บริการเค้าแล้ว ไม่ต้องเกรงใจว่าถามไปแล้วเค้าจะไม่พอใจมั้ย (ถ้ายังอยู่ในขอบเขตของเรื่องเรียน และในเวลาทำงานของเค้า) ผมเชื่อว่าเอเจนท์เค้ายินดีตอบอยู่แล้วครับ
ยังไงตอนหน้าจะมาแชร์เรื่องๆอื่นๆกันต่อครับ หรือติดตามอ่านเพิ่มเติมได้ที่
https://www.facebook.com/Thaiwahclub
Australia I am back ep1 : [แชร์ประสบการณ์] เลือกเอเจนท์ไปเรียนต่อออสเตรเลีย (และสิ่งที่ต้องรู้ในฐานะนักเรียน)
ผมเล่าเรื่องเกี่ยวทุนรัฐบาลออสเตรเลีย Endeavour Scholarships & Fellowships ไว้ก่อนหน้านี้ครับ
ซึ่งตั้งใจไว้ว่าจะเล่าเกี่ยวกับทุนนี้ ขั้นตอนการขอทุน และประสบการณ์ในการเป็นนักเรียนทุน ซึ่งตอนนี้เล่าไว้ 3 ตอนดังด้านล่างครับ
กระทู้ที่เล่าก่อนหน้านี้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ซึ่งเรื่องทุนก็ยังจะมาเล่าต่ออยู่ แต่ก็อยากแชร์ประสบการณ์ส่วนตัวด้วยที่เกี่ยวกับสิ่งที่เคยทำมาก่อนหน้านี้ คือไปเรียนภาษา เรียนดิปโพลมา ไป Work and Holiday ไป เรียนโท กลับจากเรียนโทมาเปิดบ.ที่ไทยก่อนเรียนจบ การทำกิจกรรมเพื่อสังคมต่างๆ การพัฒนาตัวเอง รวมถึงการได้ทุน Endeavour และหลายๆเรื่อง โดยรวมๆเป็นการเล่าเรื่องที่เคยไปแล้ว จะกลับไปอีก และเส้นทางก่อนที่จะมาถึงตรงนี้เลยขึ้นชื่อว่า Australia I am back ครับ
ผมไป Australia ครั้งแรกในที่ยังไม่มี Facebook และ Social Media ที่เราใช้กันในตอนนั้นก็มีแต่ Hi5 ถ้าจำไม่ผิด คือเป็นยุคที่หาข้อมูลได้แล้ว
แต่ยังไม่มีข้อมูลเยอะขนาดปัจจุบันนี้ ซึ่งข้อดีข้อเสียต่างกันไปนะครับ (สมัยก่อนหาข้อมูลไม่ได้ / สมัยนี้ข้อมูลเยอะเกิน ไม่รู้อันไหนน่าเชื่อ ไม่น่าเชื่อ)
ในสมัยก่อนเป็นช่วงที่ information ยังไม่ flow ขนาดนี้ ผมใช้วิธีที่เด็กสมัยนั้นน่าจะฮิตกัน(อันนี้เดาเอานะ สมัยก่อนมันจะมีอะไรที่ฮิตได้โดยไม่ต้องมี internet มาเกี่ยวข้องเยอะเหมือนกัน) คือ มีคนรู้จักใช้เอเจนท์นี้เหมือนกัน
(ซึ่งคนรู้จักที่ว่าเป็นลูกของเพื่อนของคุณแม่ผมอีกทีและเราไม่รู้จักกันในตอนนั้น)
นอกจากข้อมูลที่ไม่ได้มีเยอะมากในสมัยก่อน ต้องยอมรับว่าในสมัยนั้นผมเองก็ไม่ใช่คนที่จะหาข้อมูลเยอะอะไรมากมาย
เรียกว่าอันนี้ผู้ใหญ่เค้าแนะนำว่าโอเคก็ เราก็ว่าโอเคแหละ เราสมมติว่าพี่เค้าชื่อพี่เอแล้วกัน
ผมเองไม่เคยไปออฟฟิศพี่เอเลย มีคุณแม่เคยไปดูแวปๆ เป็นออฟฟิสขนาดเล็กมาก มีพี่เอและพนักงานอีกหนึ่งคน
ส่วนผมเองคุยทางโทรศัพท์ซะส่วนมาก
ซึ่งพี่เอก็ตอบได้ดีในเรื่องของคอร์สเรียนและวีซ่าครับ เข้าใจคร่าวๆว่าจะเรียนแบบไหนดี แต่ก็ยังไม่เคลียร์มาก คือตอนนั้นจะมีออปชันให้เลือกระหว่าง General English กับ Academic English
เราก็ได้ข้อมูลคร่าวๆว่า Academic English จะเข้มข้นกว่า (เดี๋ยวผมโพสลิงค์เรื่องคอร์สแบบต่างๆไว้ใน comment ให้ครับ) แต่เราก็ไม่แน่ใจว่าเข้มกว่ายังไง แต่ว่าไหนๆไปแล้วเค้าว่าเข้มกว่าก็ตามนี้แหละ
ทั้งนี้ตอนนั้นผมก็ยังนึกภาพออสเตรเลียไม่ออกว่าเราจะไปใช้ชีวิตยังไง ทำงานอะไรยังไง เมืองไหนเป็นยังไง แต่ก็เลือก Sydney ไป นัยว่าพี่ที่เค้าเคยใช้บริการพี่เอก็ไปเมืองนี้ เราก็เลยไป Sydney บ้างก็แล้วกัน คนไทยมีเยอะหน่อย น่าจะหางานไม่ยาก(มั้ง) พี่เอก็แนะนำว่าไปทำงานในตลาดปลาก็ได้นะ งานร้านอาหารไทยก็มี
ซึ่งตอนนั้นภาพที่นึกออกมาไปเข็นปลาตัวใหญ่มากๆ อยุ่ในตลาดปลาที่มีหิมะตกอยู่ แล้วก็เสิร์ฟอาหารแบบใส่ชุดสูทในร้านอาหารไทยในโรงแรม 5 ดาว เพราะมีอิมเมจในหัวว่าเมืองนอกต้องดูดีสิ (ซึ่งทั้งสองงานที่ว่ามาไม่เคยไปทำเลยตอนไปจริงๆ และหิมะก็ไม่ตกใน Sydney ด้วย)
พี่เอเค้าก็โอเคมาเรื่อยๆ แต่จะมีช่วงชวนตกใจอยู่นิดนึงคือตอนโอนเงินไปแล้ว เค้าเงียบไปเลย โทรไปเป็นสิบสายไม่รับ ไม่โทรกลับในวันนั้น วันต่อไปเราก็โทรไปเค้าบอกว่าเค้าลืมโทรศัพท์ไว้ในรถ (อ้าว พี่ไม่โทรกลับผมหน่อยเหรอครับ) ทั้งนี้อาจจะเป็นความผิดพลาดเล็กๆน้อยๆแค่ขนลุกนิดหน่อยเพราะเราโอนเงินค่าเรียนกันไปเป็นหลักแสนบาท
หลังจากนั้นก็ไม่มีปัญหาอะไร พี่เอติดต่อกับทางเราเพื่อเตรียมเอกสารวีซ่า และยื่นวีซ่าให้ สุดท้ายก็ได้วีซ่าเรียนภาษา 6 เดือนมาครอบครองและก็เดินทางไปเรียนแบบราบรื่น โดยที่เราไม่ได้เจอกันแบบตัวเป็นๆ
โดยสรุปเรื่องเลือกเอเจนท์ของผมเองตอนนั้นไม่เจอปัญหาอะไรมาก แต่ถ้าให้มองย้อนไปก็จะพบว่าเราเองก็หาข้อมูลน้อยมาก รู้เรื่องต่างๆน้อยมากด้วย ถ้าเจอคนไม่โอเคนี่ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไง
ในยุคที่เราหาข้อมูลได้มากกว่าเมื่อก่อน ข้อแนะนำข้อแรกสำหรับคนที่อยากไปเรียนต่อ อยากขอทุน คือหาข้อมูลให้เยอะที่สุดครับ
ดังนั้นในฐานะตอนนี้ผมก็ทำบ.เกี่ยวกับแนะแนวด้านการศึกษามาหลายปีและเคยเป็นนักเรียนและรู้เรื่องเกี่ยวกับออสเตรเลียพอสมควร เบื้องต้นผมสรุปข้อมูลที่นักเรียนที่จะไปเรียนที่ออสเตรเลีย ควรทราบ ก่อนเดินทางให้ดังนี้ (ซึ่งข้อมูลเหล่านี้เราควรสอบถามจากเอเจนท์ให้ชัดเจนทั้งหมดได้ครับ)
- รู้จักเมืองที่จะไป อากาศเป็นอย่างไร เดินทางยังไง นานเท่าไหร่
- ตัวเองจะไปเรียนที่ไหน (ชื่อสถาบัน , สถานที่ตั้ง)
- ค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ก้อนแรก แบ่งเป็นค่าอะไรบ้าง
- มีค่าใช้จ่ายอะไรที่ต้องทราบอีกบ้างนอกเหนือจากค่าเรียน ค่าประกันสุขภาพ และค่าวีซ่า และเป็นจำนวนเงินเท่าไหร่ ต้องจ่ายเมื่อไหร่
- เราเรียนจบคอร์สนี้แล้วจะวางแผนต่อไปยังไง
- ขั้นตอนในการดำเนินการมีเอกสารอะไรที่สำคัญบ้างจากทางรร. ( Offer Letter , Confirmation of Enrollment(CoE))
- ขั้นตอนในการยื่นวีซ่า เช่น เลือกรร., สมัครเรียน ,ได้รับ offer letter, pre-screen เอกสาร, ชำระเงิน, ได้รับ CoE , เตรียมเอกสารยื่นวีซ่า เขียนจม.อธิบายเรื่องการเงิน จม.อธิบายเรื่องเป้าหมาย และยื่นวีซ่า , ตรวจสุขภาพ , รับผลวีซ่า
- พูดแบบฝรั่ง In an unlikely event of a visa refusal ถ้าวีซ่าไม่ผ่านจะเสียค่าอะไรบ้าง อะไรได้คืน อะไรไม่ได้คืน (ตรงนี้มีเอกสารให้ชัดเจน)
- วีซ่ายาวเท่าไหร่ เข้าประเทศได้เมื่อไหร่ หมดเมื่อไหร่ สิทธิและข้อกำหนดของวีซ่าคืออะไร
- ต่อวีซ่าได้ยังไงบ้าง ติดต่อเอเจนท์ทางไหนบ้าง
- เรื่อง sim โทรศัพท์ ที่พัก การเปิดบัญชีธนาคาร การหางาน (อันนี้ปกติ agent น่าจะแนะนำให้)
- และอื่นๆ
อื่นๆที่ว่า หมายรวมถึง การพยายามฟังอะไรที่เป็นเหตุเป็นผล มีหลักฐานชัดเจน (ประกาศจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง) อย่าไปเชื่ออะไรที่ฟังดูง่ายเกินไป
อันนี้ไม่ใช่เฉพาะเรื่องเรียนต่อ แต่ apply กับเรื่องอื่นๆในชีวิตได้
อย่างสัปดาห์ก่อน ผมไปร้านหนังสือมา เดี๋ยวนี้พอเข้าไปจะไม่แปลกใจเลยที่เห็นแต่ keyword ประมาณ รวยเร็ว ผอมเร็ว สำเร็จเร็ว รวยร้อยล้าน ซึ่งบางครั้งเราก็ไม่รู้ว่าคนเขียนเป็นใครด้วยซ้ำ (คือไม่รู้จักความสำเร็จของเค้าก่อนหน้านี้ แต่มาเจอคำโปรยที่เรากำลังมองหา)
เอาจริงๆถ้าทุกอย่างทำได้เร็ว และเป็นสูตรสำเร็จขนาดนั้นคงไม่มีคนต้องลำบากเรื่องเงิน เรื่องสุขภาพกันแล้วแหละ...
ปัจจุบัน ผมให้ข้อมูลเรื่องๆ Work and Holiday กับน้องๆในเพจและเวป Thaiwahclub และก็มีบ.แนะแนวเรื่องเรียนต่อของตัวเอง
พอทำทั้งสอง role จะมีก็นักเรียนที่มีเคสมีปัญหาจากที่อื่นมาให้ช่วยแนะนำด้วยอยู่เรื่อยๆ
ซึ่งปัญหาที่พบก็จะมีทั้งแบบทั่วไปและแบบร้ายแรง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อหลายๆอย่าง และต้นตอของปัญหานี่สามารถเกิดขึ้นได้จากทั้งสองฝ่ายครับ
1) เอเจนท์นั้นไม่โอเคจริงๆ : เอเจนท์ดีๆเยอะนะครับ คือตั้งใจทำงานแบบซื่อสัตย์ ซึ่งถ้านับจำนวนกันจริงๆผมว่าพวกที่อยู่ฝ่ายดีมีเยอะกว่าแน่นอน
แต่ถ้าโชคร้ายเจอพวกที่ไม่โอเคมันก็จะอาจจะมีอะไรที่ไม่โปร่งใสเยอะ ล่าสุดเจอเคสที่ปลอมเอกสารว่าวีซ่าผ่าน แต่จริงๆไม่ได้ยื่นวีซ่าให้คือปลอมหมดเลยทั้ง CoE , Offer และวีซ่า หรือถ้าวีซ่าไม่ผ่านหักเงินเด็กนักเรียน 40% จากที่จ่ายทั้งหมด (ตรงนี้ดู Refund Policy ของรร.นั้นๆได้เลยครับ แต่ทั่วไปคือวีซ่าไม่ผ่านนี่ค่าเรียนจะคืน 100% แต่จะหักค่าอื่นๆไป แต่ไม่เยอะขนาดนั้นแน่นอน)
2) นักเรียนเองไม่ใส่ใจเลย : เหมือนกันกับเอเจนท์ ผมว่านักเรียนส่วนมากก็จะเข้าใจหรือมีความตั้งใจที่จะเข้าใจเรื่องๆต่างๆเกี่ยวกับการไปเรียนของตัวเองให้มากที่สุด (และแนะนำให้ทำอย่างยิ่ง เพราะเป็นประโยชน์กับตัวเองจริงๆครับ) แต่นักเรียนส่วนน้อยที่เค้าไม่ใส่ใจรายละเอียด เค้าก็จะไม่รู้เลยว่าไปเรียนอะไร โรงเรียนชื่ออะไร จ่ายค่าอะไรไปบ้าง เงินคืนได้มากน้อยยังไงถ้าวีซ่าไม่ผ่าน มีเอกสารอะไรบ้างที่ต้องได้รับจากรร.และเอเจนท์ ต้องจ่ายอะไรเมื่อไหร่ยังไง กติกาของวีซ่านักเรียนคืออะไร ซึ่งจะโชคร้ายเป็นพิเศษถ้านักเรียนที่ไม่รู้ข้อมุลและไม่หาข้อมูลเลย ไปเจอเอเจนท์ที่ไม่ซื่อสัตย์
การตัดสินใจไปต่างประเทศ ไปเรียน ไปใช้ชีวิตนี่เป็นเรื่องใหญ่นะครับ ถ้าจะเลือกใช้เอเจนท์เลือกให้ดีๆ
และเราเองต้องพยายามหาข้อมูลเยอะๆ ด้วย ถ้าเราไม่หาเองเราก็ต้องถามคนที่รู้จริงๆให้ได้มากที่สุด
และถ้าเลือกใช้เอเจนท์แล้วเราเองก็ขอความรู้จากเค้าได้เลย เลือกใช้บริการเค้าแล้ว ไม่ต้องเกรงใจว่าถามไปแล้วเค้าจะไม่พอใจมั้ย (ถ้ายังอยู่ในขอบเขตของเรื่องเรียน และในเวลาทำงานของเค้า) ผมเชื่อว่าเอเจนท์เค้ายินดีตอบอยู่แล้วครับ
ยังไงตอนหน้าจะมาแชร์เรื่องๆอื่นๆกันต่อครับ หรือติดตามอ่านเพิ่มเติมได้ที่
https://www.facebook.com/Thaiwahclub