Jennifer Lawrenc กลับมาอีกครั้งในบทบาทของสาวนักสู้ โดยเธอต้องฝ่าฟันกับความลำบากทั้งชีวิตครอบครัว ด้านธุรกิจ เล่ห์เหลี่ยมต่างๆ ซึ่งนอกจากความสามารถที่เธอมีแล้ว แน่นอนเธอยังต้องมีความเข้มแข็งทั้งทางร่างกายและจิตใจไม่น้อยทีเดียว
ในช่วงต้นของเรื่อง Joy นั้น หนังพาเราไปสัมผัสชีวิตวัยเด็กของ Joy โดยผ่านมุมมองของ มีมี่ ยายของเธอ ว่าเธอจะมีครอบครัวและชีวิตอย่างไร และตัดกลับมาในชีวิตปัจจุบันที่เธอมีแม่ที่ติดละครน้ำเน่ายุคเก่า และขังตัวเองให้อยู่แต่ในห้อง ภายหลังจากที่หย่าร้างกับสามี และคอยทำเรื่องน่ารำคาญให้เธอตามแก้ปัญหาตลอดเวลา
หลังจากนั้นหนังก็แสดงให้เห็นถึงชีวิตที่มีแต่ความวุ่นวายของ Joy ทั้งพ่อที่กลับมาอยู่ด้วยจากการปฏิเสธของภริยาใหม่ สามีเก่าที่ยังอยู่ในบ้านเดียวกันแต่อยู่ห้องใต้ดิน พี่สาวต่างแม่ 1 คนที่ยากจะบอกได้ว่าคนที่หวังดีด้วยจากใจจริง และลูกอีก 2 คน ในขณะที่เธอเหมือนต้องรับผิดชอบทุกอย่างคนเดียว และสิ่งที่อยู่ในใจลึกๆของJoy ตลอดมาก็คือ เธอมีความฝันของเธอ เธอฝันว่าเธอจะประดิษฐ์อะไรสักอย่างและสามารถขายลิขสิทธิ์ และทำให้ชีวิตดีขึ้น แต่เหมือนเธอทำไม่ได้อย่างใจคิด เธอเป็นเพียงพนักงานของสายการบินที่รับข้อร้องเรียนของผู้โดยสารเท่านั้น แต่ในขณะที่คนอื่นๆรอบกายเธอใช้ชีวิตในแบบที่เรียกว่าตามใจตัวเองอย่างแท้จริง ทั้งพ่อ แม่ และรวมไปถึงอดีตสามีของเธอที่ยังคงเป็นนักร้อง แม้ว่ามันจะไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าใดนัก
ในช่วงถัดมาหนังได้เล่าเรื่องการตัดสินใจที่สำคัญในชีวิตของผู้หญิง 2 ช่วง คือ 1. การตัดสินใจแต่งงาน ซึ่งในเรื่องเป็นอะไรที่ตลกมากที่ก่อนจะแต่งงาน พ่อ (Robert De Niro) ได้บอกว่า จะเปลี่ยนใจไม่แต่งงานตอนนี้ยังทันนะ เพราะ Joy นั้นเป็นคนเรียนเก่งและดูจะมีอนาคตที่รุ่งโรจน์ แต่ถ้ามาแต่งงานตอนนี้อะไรๆหลายอย่างในชีวิตก็คงจะเปลี่ยนไป ซึ่งจุดเล็กๆที่พ่อพยายามทัดทาน Joy ตรงนี้ เราชอบมาก มันเป็นการชี้ให้เห็นว่า คนเป็นพ่อเป็นแม่ ผู้ซึ่งผ่านการอาบน้ำร้อนมาก่อน ย่อมมองเห็นอะไรบางอย่างที่รู้ว่ามันน่าจะเป็นอย่างไร แต่นี่คือความสุขของลูก ซึ่งสิ่งที่พ่อแม่ทำได้คือการยอมรับการตัดสินใจของลูก และปล่อยให้มันเป็นไปนั่นเอง
ช่วงที่ 2 คือ การตัดสินใจในที่จะทำธุรกิจของ Joy ความลำบากของ Joy ก็คงไม่ต่างจากบุคคลทั่วไป ที่ไม่มีเงินทุนที่จะเริ่มอะไรสักอย่าง แค่หาให้พอกิน และพ้นไปแต่ละเดือนๆ ยังลำบาก แล้วนี่คือการเริ่มต้นทำธุรกิจ สิ่งที่ยากนอกจาคิดได้แล้วก็คือเงินทุน ซึ่งเธอก็ต้องเอาเงินของผู้หญิงอีกคนของพ่อมาเริ่มต้นธุรกิจ ตรงนี้หนังทำออกมาได้ดีและรู้สึกลุ้นไปกับเธอว่าสินค้าของเธอจะขายได้หรือไม่ ซึ่ง Bradley Cooper ก็มาตอนนี้พอดี (ตอนแรกลุ้นให้เขาได้กัน คู่นี้เขาเข้ากันได้ดีจริงๆเวลาอยู่ในฉาก) ตรงจุดนี้ทำให้รู้ว่าการเริ่มต้นธุรกิจ แม้จะมีพรสวรรค์แบบ Joyก็ตามแต่ถ้าไม่มีเงิน ไม่มีเส้นสาย ไม่รู้วิธีทำการตลาด สินค้าก็คงทำไม่ได้
ช่วงที่ 2 ตรงนี้มีจุดที่สำคัญมากอีกจุดคือ Joyจะประสบความสำเร็จไม่ได้เลยถ้าขาดเพื่อนที่ดี ฉากที่เพื่อนโทรเข้าไปในรายการ ตรงนี้ทำให้เราอดนึกดีใจไปกับเธอไม่ได้จริงๆ ว่าถึงแม้ว่า ชีวิตครอบครัวเธอจะไม่อบอุ่นนัก แต่เธอมีเพื่อนที่ดีและพร้อมอยู่เคียงข้างเธอ คอยแก้ปัญหาให้เธออาจจะเป็นสิ่งทดแทนที่เธอขาดไป น่าเสียดายที่หนังน่าจะเน้นย้ำตรงนี้อีกนิดหนึ่งให้เห็นถึงมิตรภาพของเพื่อนและพร้อมที่จะก้าวผ่านปัญหาไปด้วยกันไม่ใช่เพียงแค่การโยนความผิดกันไปมาเมื่อเกิดปัญหาขึ้นแบบที่ครอบครัวชอบทำกับเธอ
ในช่วงตอนท้ายของหนัง แม้ว่าสินค้าของเธอจะขายได้เป็นจำนวนมากก็ตามแต่เธอก็ประสบปัญหาด้านกฎหมายลิขสิทธิ์ เล่ห์เหลี่ยมของโรงงานที่จ้องจะเอาเปรียบเธอ การทำธุรกิจโดยไม่ได้ดูข้อกฎหมายให้ละเอียดถี่ถ้วน ประกอบกับการเสียชีวิตของยายคนที่คอยให้กำลังใจเธอตลอดเวลา ปัญหาการเงินที่ถาโถมเข้ามาทำให้เธอเหมือนจะสติแตก (ฉากที่พ่อพยายามเกลี้ยกล่อมให้เธอยื่นล้มละลาย เป็นอะไรที่สาหัสพอดู ) แต่ฉากหลังจากนี้ที่เธอกลับมาตั้งสติได้และรู้ข้อเท็จจริงเธอก็จัดการมันในแบบของเธอ
ในส่วนของท้ายเรื่องทั้งหมด ซึ่งเป็นส่วนที่หลายคนไม่ชอบ รวมทั้งเราด้วยเนื่องจากว่า หนังรวบรัดสรุปความมากๆ (เหมือนกับว่าเงินหมดยังงั้นแหละ 555) หนังฉายบทสรุปของทุกคนให้ดู ซึ่งเราชอบการแสดงของ Jennifer ในฉากสุดท้ายนี้มาก เธอดูเหนื่อยหน่ายกับโลก แต่ดูผ่านอะไรมามากมายและพร้อมที่จะรับมือกับปัญหาทุกอย่าง (เอาเข้าจริงแล้ว อยากให้หนังเน้นไปพี่สาวอีกสักหน่อยว่าเป็นอย่างไรต่อจากนั้น เพราะหมั่นไส้หล่อนจริงๆ !!!)
หนังเรื่องนี้คงจะเหมาะกับผู้ที่ท้อแท้หรือต้องการกำลังใจในการทำอะไรสักอย่าง โดยเฉพาะคนที่เริ่มจากศูนย์ ที่มีเพียงแค่ 2 มือ และสมองเท่านั้น เธอสู้จนสุดใจ และไม่ยอมแพ้กับสิ่งใดๆ เราคิดว่าหนังเรื่องนี้สามารถนำไปใช้ได้กับชีวิตประจำวันได้หมด สิ่งที่เราชอบมากที่สุดคือ การทำอะไรเราต้องลงลึกในรายละเอียดด้วยตัวของเราเอง อย่าหวังพึ่งพิงคนอื่นให้มาก เพราะสุดท้ายคนที่จะต้องรับผลทุกอย่างไม่ว่าจะดีหรือร้ายก็คือตัวของเรานั่นเอง
Joy เมื่อชีวิตไม่ Joy อย่างที่คิด (Spoied)
ในช่วงต้นของเรื่อง Joy นั้น หนังพาเราไปสัมผัสชีวิตวัยเด็กของ Joy โดยผ่านมุมมองของ มีมี่ ยายของเธอ ว่าเธอจะมีครอบครัวและชีวิตอย่างไร และตัดกลับมาในชีวิตปัจจุบันที่เธอมีแม่ที่ติดละครน้ำเน่ายุคเก่า และขังตัวเองให้อยู่แต่ในห้อง ภายหลังจากที่หย่าร้างกับสามี และคอยทำเรื่องน่ารำคาญให้เธอตามแก้ปัญหาตลอดเวลา
หลังจากนั้นหนังก็แสดงให้เห็นถึงชีวิตที่มีแต่ความวุ่นวายของ Joy ทั้งพ่อที่กลับมาอยู่ด้วยจากการปฏิเสธของภริยาใหม่ สามีเก่าที่ยังอยู่ในบ้านเดียวกันแต่อยู่ห้องใต้ดิน พี่สาวต่างแม่ 1 คนที่ยากจะบอกได้ว่าคนที่หวังดีด้วยจากใจจริง และลูกอีก 2 คน ในขณะที่เธอเหมือนต้องรับผิดชอบทุกอย่างคนเดียว และสิ่งที่อยู่ในใจลึกๆของJoy ตลอดมาก็คือ เธอมีความฝันของเธอ เธอฝันว่าเธอจะประดิษฐ์อะไรสักอย่างและสามารถขายลิขสิทธิ์ และทำให้ชีวิตดีขึ้น แต่เหมือนเธอทำไม่ได้อย่างใจคิด เธอเป็นเพียงพนักงานของสายการบินที่รับข้อร้องเรียนของผู้โดยสารเท่านั้น แต่ในขณะที่คนอื่นๆรอบกายเธอใช้ชีวิตในแบบที่เรียกว่าตามใจตัวเองอย่างแท้จริง ทั้งพ่อ แม่ และรวมไปถึงอดีตสามีของเธอที่ยังคงเป็นนักร้อง แม้ว่ามันจะไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าใดนัก
ในช่วงถัดมาหนังได้เล่าเรื่องการตัดสินใจที่สำคัญในชีวิตของผู้หญิง 2 ช่วง คือ 1. การตัดสินใจแต่งงาน ซึ่งในเรื่องเป็นอะไรที่ตลกมากที่ก่อนจะแต่งงาน พ่อ (Robert De Niro) ได้บอกว่า จะเปลี่ยนใจไม่แต่งงานตอนนี้ยังทันนะ เพราะ Joy นั้นเป็นคนเรียนเก่งและดูจะมีอนาคตที่รุ่งโรจน์ แต่ถ้ามาแต่งงานตอนนี้อะไรๆหลายอย่างในชีวิตก็คงจะเปลี่ยนไป ซึ่งจุดเล็กๆที่พ่อพยายามทัดทาน Joy ตรงนี้ เราชอบมาก มันเป็นการชี้ให้เห็นว่า คนเป็นพ่อเป็นแม่ ผู้ซึ่งผ่านการอาบน้ำร้อนมาก่อน ย่อมมองเห็นอะไรบางอย่างที่รู้ว่ามันน่าจะเป็นอย่างไร แต่นี่คือความสุขของลูก ซึ่งสิ่งที่พ่อแม่ทำได้คือการยอมรับการตัดสินใจของลูก และปล่อยให้มันเป็นไปนั่นเอง
ช่วงที่ 2 คือ การตัดสินใจในที่จะทำธุรกิจของ Joy ความลำบากของ Joy ก็คงไม่ต่างจากบุคคลทั่วไป ที่ไม่มีเงินทุนที่จะเริ่มอะไรสักอย่าง แค่หาให้พอกิน และพ้นไปแต่ละเดือนๆ ยังลำบาก แล้วนี่คือการเริ่มต้นทำธุรกิจ สิ่งที่ยากนอกจาคิดได้แล้วก็คือเงินทุน ซึ่งเธอก็ต้องเอาเงินของผู้หญิงอีกคนของพ่อมาเริ่มต้นธุรกิจ ตรงนี้หนังทำออกมาได้ดีและรู้สึกลุ้นไปกับเธอว่าสินค้าของเธอจะขายได้หรือไม่ ซึ่ง Bradley Cooper ก็มาตอนนี้พอดี (ตอนแรกลุ้นให้เขาได้กัน คู่นี้เขาเข้ากันได้ดีจริงๆเวลาอยู่ในฉาก) ตรงจุดนี้ทำให้รู้ว่าการเริ่มต้นธุรกิจ แม้จะมีพรสวรรค์แบบ Joyก็ตามแต่ถ้าไม่มีเงิน ไม่มีเส้นสาย ไม่รู้วิธีทำการตลาด สินค้าก็คงทำไม่ได้
ช่วงที่ 2 ตรงนี้มีจุดที่สำคัญมากอีกจุดคือ Joyจะประสบความสำเร็จไม่ได้เลยถ้าขาดเพื่อนที่ดี ฉากที่เพื่อนโทรเข้าไปในรายการ ตรงนี้ทำให้เราอดนึกดีใจไปกับเธอไม่ได้จริงๆ ว่าถึงแม้ว่า ชีวิตครอบครัวเธอจะไม่อบอุ่นนัก แต่เธอมีเพื่อนที่ดีและพร้อมอยู่เคียงข้างเธอ คอยแก้ปัญหาให้เธออาจจะเป็นสิ่งทดแทนที่เธอขาดไป น่าเสียดายที่หนังน่าจะเน้นย้ำตรงนี้อีกนิดหนึ่งให้เห็นถึงมิตรภาพของเพื่อนและพร้อมที่จะก้าวผ่านปัญหาไปด้วยกันไม่ใช่เพียงแค่การโยนความผิดกันไปมาเมื่อเกิดปัญหาขึ้นแบบที่ครอบครัวชอบทำกับเธอ
ในช่วงตอนท้ายของหนัง แม้ว่าสินค้าของเธอจะขายได้เป็นจำนวนมากก็ตามแต่เธอก็ประสบปัญหาด้านกฎหมายลิขสิทธิ์ เล่ห์เหลี่ยมของโรงงานที่จ้องจะเอาเปรียบเธอ การทำธุรกิจโดยไม่ได้ดูข้อกฎหมายให้ละเอียดถี่ถ้วน ประกอบกับการเสียชีวิตของยายคนที่คอยให้กำลังใจเธอตลอดเวลา ปัญหาการเงินที่ถาโถมเข้ามาทำให้เธอเหมือนจะสติแตก (ฉากที่พ่อพยายามเกลี้ยกล่อมให้เธอยื่นล้มละลาย เป็นอะไรที่สาหัสพอดู ) แต่ฉากหลังจากนี้ที่เธอกลับมาตั้งสติได้และรู้ข้อเท็จจริงเธอก็จัดการมันในแบบของเธอ
ในส่วนของท้ายเรื่องทั้งหมด ซึ่งเป็นส่วนที่หลายคนไม่ชอบ รวมทั้งเราด้วยเนื่องจากว่า หนังรวบรัดสรุปความมากๆ (เหมือนกับว่าเงินหมดยังงั้นแหละ 555) หนังฉายบทสรุปของทุกคนให้ดู ซึ่งเราชอบการแสดงของ Jennifer ในฉากสุดท้ายนี้มาก เธอดูเหนื่อยหน่ายกับโลก แต่ดูผ่านอะไรมามากมายและพร้อมที่จะรับมือกับปัญหาทุกอย่าง (เอาเข้าจริงแล้ว อยากให้หนังเน้นไปพี่สาวอีกสักหน่อยว่าเป็นอย่างไรต่อจากนั้น เพราะหมั่นไส้หล่อนจริงๆ !!!)
หนังเรื่องนี้คงจะเหมาะกับผู้ที่ท้อแท้หรือต้องการกำลังใจในการทำอะไรสักอย่าง โดยเฉพาะคนที่เริ่มจากศูนย์ ที่มีเพียงแค่ 2 มือ และสมองเท่านั้น เธอสู้จนสุดใจ และไม่ยอมแพ้กับสิ่งใดๆ เราคิดว่าหนังเรื่องนี้สามารถนำไปใช้ได้กับชีวิตประจำวันได้หมด สิ่งที่เราชอบมากที่สุดคือ การทำอะไรเราต้องลงลึกในรายละเอียดด้วยตัวของเราเอง อย่าหวังพึ่งพิงคนอื่นให้มาก เพราะสุดท้ายคนที่จะต้องรับผลทุกอย่างไม่ว่าจะดีหรือร้ายก็คือตัวของเรานั่นเอง