สวัสดีค่ะ....ทุกอย่างเริ่มต้นตรงที่ เราเป็นคนโสดมานาน 3 ปี เราไม่สนใจใคร ไม่มองใคร คือทำแต่งาน เพราะคิดแค่ว่าต้องประสบความสำเร็จก่อนที่จะมีความรัก แต่จริงแล้วเราไม่สามารถเปิดใจรับใครได้เพราะเรายังคงไม่ลืมแฟนเก่า....แต่แล้ววันนึงเพิ้ลแนะนำให้เราหาแฟน เพื่อไม่ให้เราอยู่คนเดียวฟุ้งซ่าน เพราะเราอยู่ตัวคนเดียวค่ะ อยากให้เรามีใครมาดูแลเราบ้าง พ่อแม่พี่น้องเราเสียหมดแล้ว เราใช้ชีวิตดูแลตัวเองมาเป็นสิบปีแล้ว ทำงานล้มบ้างลุกบ้าง เปิดร้านเจ้งบ้าง ลงทุนไรหมดตัว นับหนึ่งใหม่ตลอด ไม่ใช่ว่าเรามีทรัพย์สมบัตินะ เราไม่มีอะไรเรามีแค่ความสามารถกับความขยัน อดทน เท่านั้นที่เรามี แต่หลายๆเหตุการณ์ที่เราเจอ มันท้อ หมดแรง เราอยู่คนเดียวมักจะคิดมา เราไม่ค่อยมีเพิ้ล อยู่แต่กับตัวเอง เพิ้ลเราจึงอยากให้เรามีแฟน เลยแนะนำรุ่นพี่คนนึงให้รู้จัก แต่เราก็เคยเจอกันหลายครั้งแล้ว เวลาไปดื่มไปเที่ยวไปกินด้วยกัน เพิ้ลเราบอกว่า เพ่คนนนี้เป็นคนขยันทำงาน เที่ยวเสร็จกลับบ้าน ไม่เจ้าชู้ นิสัยโอเคมาก เราเลยคิดตามดูจากที่เคยสัมผัสก็น่าจะโอเคจริง เพ่เค้ามีแฟนอยู่รึป่าว เพิ้ลบอกว่าเพ่เค้ามีแฟนแต่เป็นเพิ้ลกันมาก่อน และแฟนเค้าเป็นคนมีลูกติด ตอนนี้แฟนเค้าพาลูกกลับไปอยู่บ้านแฟนเก่าแล้ว...เราก็เลยว่าโอเค เค้าคงเลิกกันแล้ว เราเลยเริ่มคุยกับเพ่เค้ามาเรื่อยๆ ไปดูหนัง ไปเที่ยว จนมาวันนึงเราต้องย้ายไปทำงานที่อื่น เดือนนึงจะกลับมาครั้งนึง เราเลยยอมมีอะไรกันกับเพ่เค้า แต่เราป้องกันนะ กินยาคุมฉุกเฉิน พอเราไปทำงานเราก็คุยกันปกติ เราเป็นคนไม่เซ้าซี้ไม่ถามมาก อยากบอกอยากเล่า ก็ฟัง ไม่อยากพูดก็ไม่ถาม เป็นแบบนี้ของเรา พอถึงกลับหนดกลับเค้าก็มารับเราปกติทุกอย่าง แต่ด้วยความที่เราเริ่มไม่สบายหนัก เป็นไข้ ด้วยความเอะใจเราซื้อที่ตรวจท้องมา สรุปคือขึ้น 2 ขีด เราว่ามันอาจเป็นเพราะยาที่เรากินต่างๆนาๆก็ได้ เราตรวจแบบนี้ 3 วันติด คือเราอยากมีลูกนะ แต่เรารับไม่ได้เพราะเราต้องทำให้ลูกลำบาก งานก็ไม่มั่นคง เรายังมีหนี้สินต่างๆ แต่เราก็ไม่เคยคิดทำแท้งนะ เพราะเราตัวคนเดียวอยู่แล้ว ถ้ามีลูกมีคนที่รักเรามาอยู่ด้วยก็ดี แต่เรื่องมันกลับเลวร้าย พอเราบอกเพ่เค้าเท่านั้นและค่ะ บอกให้เราไปทำแท้ง เราเสียใจมาก เค้าบอกเค้ายังไม่พร้อมไม่อยากมี อีกอย่างเค้ายังมีแม่เค้าอีก มีแฟนเค้าอีก เราได้ยินอย่างนั้นเราอึ้งมาก ไหนบอกเลิกกับแฟนแล้ว แล้วนี่ลูกเค้านะ ทำไมถึงพูดออกมาง่ายๆ สรุปคือเค้าจะไม่รับผิดชอบ เราก็เลยบอกไปว่าไม่เป็นไร ไม่ต้องรับผิดชอบเราดูแลเอง ลูกคนเดวเราต้องดูแลได้ แต่ให้เราต้องลำบากและทุกข์มากแค่ไหน เราไม่มีทางเลือกทางที่ผิด และเราต้องกลับไปทำงานต่ออีกหนึ่งเดือน เราเลยบอกว่าเราจะกลับมาฟังคำตอบว่าเค้าจะบอกแฟน บอกแม่เค้ายังไง จะรับผิดชอบหรือไม่ พอเรากลับไปทำงานทุกอย่างเปลี่ยนไป ไม่สนใจ ไม่เทคแคร์เหมือนก่อน เราโทหาทุกครั้ง คุณเคข้าใจอารมณ์คนท้องมั้ย ที่คิดมาก ขี้หวง ขีวีน ขี้โวยวาย เราเป็นแแบนั้นเลย เป็นนิสัยที่งี่เง่ามาก เพราะปกติเราไม่เคยเป็น เราก็พยายามแข็งใจ ทำใจแล้วว่าเราต้องอยู่กับลูกแค่สองคน นอนร้องไห้ทุกคืน ทุกวัน จนเราถามเค้าอีกครั้งจะเอายังไง เรื่องของเราสรุปจะเอายังไง จะอยู่เป็นครอบครัวหรือ จะไม่รับผิดชอบ เพราะเราจะได้วางแผนอนาคตถูก ว่าเราต้องเริ่มตรงไหน เราได้คำตอบว่า เค้าไม่พร้อมมีครอบครัว เค้ายังมีอะไรหลายๆอย่างที่อยากทำ เราฟังแล้วรู้สึกว่านี่หรอผู้ชายที่เรามองว่าเป็นคนดีแต่ทำไมจิตใจถึงได้ดำขนาดนี้ เรามองคนผิดหรอ กับชีวิตที่เราที่ผิดหวังกับความรักมาโดยตลอด เราก็เจอแบบนี้อีกแล้ว หนักหนากว่าเดิม เราทุกข์หนักมาก แต่เราก็คิดว่าเราต้องเข้มแข็งเพราะเรายังมีอีกชีวิตที่ปกป้อง จากเมื่อก่อนเราตัวคนเดียวชอบคิดสั้นชอบทำร้ายตัวเอง แต่ตอนนี้ตั้งแต่เรารู้ว่าเรามีเด็กน้อย เราไม่เคยคิดสั้นและท้อแท้เลย เราพยายามกัดฟันให้ผ่านวิกฤติไปให้ได้ เราลำบาก ทุกข์แค่ไหนไม่เป็นไร อย่างน้อยเรารู้แล้วว่าเราต้องทำเพื่อใคร เรามีเป้าหมายแล้ว ครบหนึ่งเดือนเรากลับมา เค้าก็มาหาเรานะ มาเอาใจเราสารพัด พาไปกินนั่นกินนี่ ตามอาการคนท้องยาก เราเลยงงมาก กับสิ่งที่เค้าพูดมันส่วนทางกัน แต่เค้าไม่พูดถึงเรื่องที่จะบอกแม่เค้ากับแฟนเค้าเลย เราก็ไม่กล้าถามเพราะเรายังมีความสุขอยู่ที่เป็นแบบนี้ แต่เอาก้นอนร้องไห้ทุกคืน กับการตั้งคำถามเอง สุดท้ายเราก็ถามเค้า...เค้าตอบกลับมาว่า อย่ามาบังคับเค้าอย่ามากดดันเค้า เราทุกข์และท้อหนักมาก จนเราตกเลือด เราไปหาหมอ หมอบอกว่าเราต้องอยู่นิ่ง ห้ามขยับ ห้ามเดิน เพราะเรามีภาวะแท้งง่าย คิดแค่นี้เราก็ท้อแล้ว เราอยู่บ้านคนเดียว เราไม่มีใครดูแล ต้องทำอะไรเองคนเดียวหมดทุกอย่าง แถมเด่วเราก็ต้องเดินทางไปทำงานอีก สรุปเราก็พักฟื้นได้ 3 วันเราก็ไปทำงานต่อ และการไปคราวนี้เรารู้แล้วหมดหวังที่จะให้เค้ารับผิดชอบแล้ว เราเลยพยายามทำงาน เพื่อเก็บเงินให้ได้สักก้อน เพื่อหวังจะกลับมาดูแลตัวเองระหว่างท้อง ต่อไปอาจทำงานไม่ได้แล้ว เพราะที่ทำงานเราคนท้องห้ามทำงาน และมีผลต่อสุขภาพด้วย คือเราทำงานในคาสิโน ผับ ซึ่งมีแต่ควันบุหรี่ ยอมรับค่ะว่าแพ้ท้องหนักมาก ร้องไห้ไป ท้อไป บอกแค่ต้องอดทนเพื่อลูก ซึ่งเราไม่สามารถเล่าหรือบอกกับใครได้เลย ว่าเราเจอกับอะไรอยู่ ได้แต่เก็บกดกล้ำกลืน เราไม่มีที่ปรึกษา ไม่มีผู้ใหญ่ให้แนะนำ เพิ้ลเราที่สนิทเค้าก็แยกย้ายมีครอบครัว คงไม่มีเวลามานั่งฟังความทุกข์เรา เราเป็นอยู่แบบนี้ เราคิดว่าเราคงทำไม่ไหว กลับบ้านคราวนี้คงกลับมาอีกไม่ได้ เพราะเรากลัวว่าควันบุหรี่ จะทำร้ายลูกเราในท้อง กลัวไม่แข็งแรง แถมเราแพ้ท้องก็ทำงานได้ไม่มาก เงินเก็บที่เราคาดหวังก็ไม่ได้ สุดท้ายเราก็เลยคิดว่าคงต้องทำสัญญาให้เค้ารับผิดชอบค่าเลี้ยงดูก็แล้วกัน...ทั้งค่าคลอดค่าอะไร เมื่อเรากลับไปอีกครั้งเราตั้งใจจะพูดให้เด็ดขาด แต่เราก็ใจอ่อน เพราะเค้าก็ปฏิบัติตัวและเอาใจใส่เราเหมือนเดิม เรางงกับเค้าว่าจะเอายังไง...บอกจะพาเราไปฝากท้อง...แต่พอถึงเวลาก็อ้างนั่นอ้างนี่ แต่มาหามานอนกับเราทุกคืน เราลืมบอกไปค่ะ เราทำกับข้าวให้เค้าทุกวัน อยากินไรเราทำให้หมด เราเอาใจทุกอย่าง บางวันเค้าใจดีก็พาเราไปกิน แต่เค้าก็บ่นว่าไม่มีเงิน ซึ่งเราก็บอกว่า เราซิต้องพูดเพราะฝากท้องเราไปเอง ค่าหมอค่ายาบำรุงต่างๆเรารับผิดชอบเองหมด เราไม่เคยขอเค้าเลยสักบาทนึง นอกจากค่าข้าวที่เค้าพาเราไปกิน ...แต่เรารู้มาว่าเค้าต้องรับผิดชอบค่าเทอมค่ากินลูกติดของแฟนเค้าด้วย เค้าเลยไม่มีเงินเก็บ มันทำให้เราทุกข์ใจมาก ทำไมลูกคนอื่นเค้ารักได้ ทำไมลูกในท้องเค้า เค้ากลับไม่รัก เรานั่งโทษตัวเองเราไม่มีตรงไหน เพราะอะไร เราจน เราไม่มีอะไรเลย เรามีหนี้สินจากกิจการเจ้ง การงานก็ล้มเหลว อย่างนั้นหรอ หรือเราทำหน้าที่อะไรบกพร่อง เราเอาใจใส่เค้าตั้งแต่หัวจรดเท้าเวลาอยู่ด้วยกัน อยากกินอะไรทำให้ อยากทำไรให้ทำ เรายังไม่ดีพอ ที่ทำให้เค้าเลือกเราใช่มั้ย เราน้อยใจมากกับโชคชะตาที่เล่นตลกกับเราแบบนี้ เราก็พยายามทุกอย่าง แต่เราก้ไม่เสียใจเรื่องเค้าเท่าไหร่นะ แต่มันเป็นเรื่องแปลกมากตั้งแต่เราท้อง ลูกเราทำให้เรายิ้มง่าย ร่าเริง เพราะปกติเราเป็นผู้หญิงเก็บตัว ไม่ค่อยยิ้ม แต่เรามีลูกแล้วทำให้รู้สึกว่าเรามีความสุขมาก....เราจึงเริ่มต้นหางานทำที่บ้าน อย่างน้อยก็ไม่ต้องกลับไปทำงานที่ต้องทำร้ายลูก แต่เชื่อมั้ยไม่มีที่ไหนรับเรา เพราะเศรษฐกิจแบบนี้ด้วย แต่เราไม่ได้บอกเค้านะว่าเราท้อง เราจะได้กลับมาว่าวุฒิสูงเกินไป บอกนิดนึงเรา จบปริญญาตรี บริหารธุรกิจ จบปริญญาโท รปศ. ค่ะ อย่างที่เราบอกนะค่ะ เราอยู่ตัวคนเดียว ใช้ชีวิตคนเดียว ทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย ทำงานทุกอย่าง ให้ได้เงิน นอนวันละ 2 ชม. เท่านั้น เราเลยมีประสบการณ์ในการทำงานมาก แต่เราไม่ได้เก่งทุกอย่างนะค่ะ เพียงแต่เรามีความรู้หลายอย่างจากประสบการณ์ที่เคยทำ เราเคยเปิดร้านอาหาร ให้เป็นผจก.ในหลายๆที่ เคยเป็นอาจารย์ที่ได้ทุนเรียนต่อ แต่ด้วยเรามีหนี้สินมาก เงินเดือนไม่พอเรามักจะทำงาน 2 อย่าง กลางวันกลางคืน เราเป็นขยัน อดทน งานหนักไม่เกี่ยง ไม่อวดวุฒิสูง แต่อย่างนึงที่ทำให้เราไม่สามารถก้าวหน้าในหน้าที่การงาน เราเป็นคนไม่ค่อยอดทนเรื่องคน เรื่องเจ้านาย เรื่องเพิ้ลร่วมงาน ที่ไม่ชอบให้ใครได้ดีกว่า ต้องประจบ ต้องเลียขา เราเลยออกจากงานจากสาเหตุเหล่านี้บ่อย อาจเป็นเพราะ ทั้งชีวิตเราหมกมุ่นอยู่แต่กับตัวเอง ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร เวลาว่างคือการนอน ทำให้เราขาดการเรียนรู้อยู่กับสังคม อันนี้เราเข้าใจข้อบกพร่องเรา แต่เราก็ทำงานได้ดีนี่ มันผิดหรอ....เราเลยไปทำงานในคาสิโน เพื่อหวังจะมีเงินเก็บสักก้อน จ่ายหนี้เปิดร้านของตัวเองอีกครั้ง แต่ทุกอย่างมันไม่เป็นอย่างที่คิด เราต้องมาเริ่มต้นใหม่ แต่ครั้งนี้เรามีเป้าหมายว่าเราทำเพื่อใคร สุดท้ายเราก็ไม่ได้ง่าย เพิ้ลเราชวนเราไปขายของตลาดคนเดินรอบดึก5 ทุ่มถึงตีสาม แต่เรายังไม่มีเงินลงทุนอะไรมาก เพราะเราต้องเอาเงินมาดูแลท้อง เราต้องมีค่าเช่าบ้าน หนี้บัตรอีก แต่เพิ้ลก้อจ่ายค่าจ้างเราไม่เยอะหรอก เค้าคนนั้นหลังจากนั้นก็เงียบหายไป ติดต่อมาบ้างมาหาบ้าง สรุปรู้มาว่าเค้าเดินโพยบอล ลค.ไม่จ่ายค่าบอล ทำให้เค้าต้องหาเงินก้อนมาจ่ายหนี้ เราก็ช่วยเค้าไปบ้างเล็กน้อย เรามีไม่มาก เราก็ใจดีอย่างนี้แระ ทำไงได้พ่อของลูก แต่ระหว่างที่เรายังไม่มีงาน ท้องยังไม่ใหญ่มาก เรายังสามารถรับงานอีเว้นท์พริตตี้ ได้อีก เราก็ทำไปเรื่อย จนวันนึงเป็นงานที่ต้องเดินทางไปต่างจังหวัด เรานั่งรถโดยสารไป ท้องเรากระแทกหลายรอบมาก แต่เราไม่รู้สึกปวดออะไร เราเลยว่าไม่เป็นไร ลูกเราแข็งแรงดี แต่พอวันรุ่งขึ้นอาการที่เราต้องแพ้ท้องเริ่มหายไปเรารู้สึกไม่ดี เราก้เลยรีบทำงานรีบกลับ จำได้คืนนั้นเป้นคืนวันที่ 30 ธันวา 58 เราเลยไปหาหมอที่เราฝากท้องแต่ปิด เลยไปหาคลีนิกที่เปิดอยู่ เพราะใจกังวล และสิ่งที่ได้ยิน คือหมอบอกว่า 80% เด็กไม่มีชีวิตแล้ว เพราะไม่ได้ยินเสียงหัวใจแล้ว หมอนัดเราให้มาตรวจและพร้อมเอาออก เราได้ยินเราทรุด น้ำตาไหลตลอดทางกลับบ้าน ไม่กินไม่นอนเศร้าทุกข์ ในคืนปีใหม่ ส่วนพ่อของลูกมาหาแล้วอวยพรปีใหม่ แต่เราก็ไม่กล้าบอกไม่กล้าเล่าให้ฟัง เพราะเราอยากมีช่วงเวลาที่ดีอยู่ และคิดว่ามันไม่เป็นความจริง หมออาจตรวจผิด อาการแพ้ท้องเราก็กลับมาอีก ด้วยความที่เรามีความหวัง ถ้าลุกเราตายจริงเราต้องตกเลือดซิ เราต้องไม่ท้องแล้วซิ เราเลยไปหาหมอบ้านๆซึ่งเป็นแม่เพิ้ล จับเส้น แกบอกเด็กเต้นหัวใจอ่อนมาก อย่างน้อยเราก็มีความหวัง พอวันที่ 2 คลีนิกหมอที่เราฝากท้อง เราไปตรวจหมอบอกเด็กตัวโตจากเดือนที่แล้วมาก เรายิ้ม เราดีใจมากที่ลูกยังอยู่กับเรา แต่เราบอกหมอขอฟังเสียงหัวใจหน่อยหมอบอก อาจจะยังไม่ได้ยินเพราะอายุครรภ์ยังไม่มาก เราก็ว่าไม่เป็นไรอย่างน้อยลุกก็ยังมีชีวิตอยู่ เราได้เห็นลูก เราก็โอเคแล้ว หมอห้ามทำอะไรหนักๆ แต่ฉันก็ทำไม่ได้ ฉันทำงานบ้าน เดินขึ้นลงบันไดหลายรอบ แต่ก็คิดว่าคงไม่เป็นไรได้ออกกำลังกาย...แล้วฉันก็ไปขายของเหมือนเดิม กลับมาบ้านตอนตี 3 ซึ่งเค้าก็มานอนด้วย แต่หลังจากฉันอาบน้ำเส็ด มีเลือดตก ฉันพยายามซับ อย่าให้เป็นก้อนเลือด อย่าให้เป็นเลือดสด จนฉันคิดมาก แต่ไม่กล้าบอกเค้าพ่อของลูก จนถึงเช้าเค้ามานอนแล้วก็ออกไปทำงานขายของตามตลาดนัดแบบนี้ประจำ เรารีบลุกไปห้องน้ำ ภาวนาให้เลือดหยุดไหล ภาวนาให้ไม่ปวดท้องอะไร สุดท้ายก็มีเลือดอยู่ เลยรีบไปหาหมอและหมอก็สรุปว่าหัวใจเด็ไม่มีแล้ว เด็กฝ่อไปแล้ว ฉันร้องไห้ออกมาปล่อยโฮเลย แล้วฉันจะเหลือใครในชีวิตอีก ฉันไม่มีเหลือใครแล้ว คนที่ฉันรักที่สุดก็จากฉันไปแล้ว...แต่เรื่องราวของฉัน ต้องทำแท้งเอาเด็กออกไม่เช่นนั้นฉันต้องช็อกตกเลือด แต่ติดตรงที่ว่าฉันไม่มีปกส.ไม่มีประกันชีวิต เพราะขาดไปแล้ว ถ้าไปทำกับหมอคลีนิกที่ฝากก็ต้องใช้เงินมาก ขอยืมใครไม่ได้ เงินที่มีฉันเอาไปลงทุนขายของกับเพิ้ลหมดแล้ว สุดท้ายเพิ้ลทนไม่ได้เลยบอกเพ่เค้าให้ ได้กลับมาว่าไม่มีเงิน แล้วบอกว่าทำไม ไม่บอกเค้าตั้งแต่เช้า คิดในใจจะให้บอกยังไง เพราะเค้าไม่เคยใส่ใจอะไรเราเลย มีแต่เราใส่ใจเค้า ฉันเลยตัดสินใจไปโรงพยาบาลรัฐ.....เด่วมาต่อนะค่ะ ได้เวลาไปขายของแล้ว พิมพ์ยาวไปเลยอาจน่าเบื่อนะค่ะ อย่างน้อยเราก็ได้ระบาย...
ในชีวิตขอแค่ใครสักคน