เมื่อวานเราเห็นพี่คนนึง อยากจะได้ Fitness Trackers หรือเรียกง่ายๆ ว่าตัวนับก้าว แต่ว่าพอซื้อมาแล้วมันกลับใช้ไม่ได้ แล้วจะทำเรื่องคืนเงิน ตอนแรกบอกพี่เขาแล้วนะว่า ของแบบนี้ มันต้องลองก่อน เพราะซื้อมาแล้วจะเสียใจทีหลังได้ เพราะราคาขั้นต่ำๆ เอาแบบใช้งานดี (ไม่มีแบนด์ก็ 3,000 กว่าบาทเข้าไปแล้ว) แล้วบางคนซื้อมาก็ไม่ได้ใช้ สรุปว่าซื้อมันดีหรือไม่ดีหละ ลองถามคำถามตัวเองสัก 3 ข้อ ก่อน ถ้าผ่านได้ทั้ง 3 ข้อนี้ค่อยซื้อครับ จะได้ไม่เสียใจเหมือนพี่เขาครับ
1. ซื้อไม่ซื้อ? ซื้อ Fitness Trackers หรือ Smart Watch ดี
ถามตัวเองก่อนว่าออกกำลังกายมากแค่ไหน? โดยเฉพาะการวิ่ง เพราะความสามารถหลักๆ ของ Fitness Trackers หรือ Smart Watch มันคือ นับก้าว นับระยะเวลาที่เราวิ่ง ความเร็ว ส่วนเสริม มันอาจนำการเต้นของหัวใจ เวลานอนได้ด้วย แต่สุดท้ายมันจะเป็นได้แค่ กำไรข้อมือ ถ้าไม่ได้วิ่ง!
ไม่ได้วิ่ง
-> แนะนำอย่าซื้อ มันไม่ได้ช่วยอะไรเลย หรือลอง ทางเลือกถัดไป
ลองใช้ App หรือ จดบันทึกกิจกรรมการออกกำลังกายของตัวเองก่อน
-> ลองใช้ App พวก Calorie Counter อย่าง MyFitnessPal, Health (iOS), S Health (Samsung) ก่อน App พวกนี้ก็นับก้าวได้เหมือนกัน แต่เราต้องพกโทรศัพท์ติดกางเกงไว้ตลอดเวลา (เผลอๆ นับตรงกว่าที่ข้อมือด้วย)
-> หรือใช้การจัดบันทึกใน Memo หรือไดอารี่ ก่อนเช่น วันนี้วิ่งกี่นาที
-> ถ้าใน 7 วันวิ่งเกิน 2 วัน ก็ถึงลองมาคิดดูใหม่ว่าต้องการจริงไหม?
วิ่งหนัก ๆ 3 - 5 วันต่อสัปดาห์ หรือต้องการจับการเคลื่อนไหวในแต่ละวัน
-> Smart Watch ที่โดนน้ำได้ หรือ Fitness Tracker เช่น fitbit Jawbone พวกนี้จะสามารถใช้วิ่งออกกำลังกายได้ดี
-> แถมสามารถจับเวลาที่เรานอนได้ด้วยว่าแต่ละวันเรานอนหลับสนิทแค่ไหน
-> เพิ่มเติมด้วยการวัดการเต้นของหัวใจ ซึ่งเหมาะกับผู้ที่วิ่ง เพราะเราจะได้รู้ว่าหัวใจเราเต้นแรงขนาดไหน อยู่ใน Fitness Zone ระดับไหน
-> บางตัวมี GPS ในตัว ทำให้เราแทบไม่ต้องพกโทรศัพท์ไปด้วยเวลาวิ่ง
ออกกำลังกายแบบอื่นๆ จำเป็นต้องซื้อไหม?
-> เช่นยกเวท ว่ายน้ำ พิราทิส โยคะ ซิตอัพ ยิงธนู ไม่อยากแนะนำ
-> แต่แน่ละ ถ้าคุณออกกำลังกายอย่างอื่นด้วย คุณก็คงวิ่งออกกำลังกายด้วยใช่ไหมละ ;)
-> มี Fitness Tracker ในรูปแบบอื่นๆ ที่ไม่ใช่สายรัดข้อมืออีกมากมาย ถ้าเราไม่ใช่สายวิ่ง หรือไม่ได้ต้องการรู้ว่าทั้งวันเราทำอะไรบ้าง
-> ลองดูพวก Garmin มีทั้ง GPS ติดจักรยาน, ที่ติดดูวงสวิงไม้กล็อฟ ฯลฯ
-> นอกจาก Garmin แล้วยังมี สายนับการกระโดดเชือก, ผ้าโยคะอัฉริยะ
-> แม้กระทั้งเครื่องเล่นเกม ก็ยังมี Wii Fit ที่ให้ทั้งการออกกำลังกาย และได้ความสนุกไปด้วยพร้อมกัน
ซื้อเพื่อใช้งาน, เพิ่มความสะดวกเวลาทำงาน หรือ สวยงาม
-> Smart Watch ตัวไหนก็ได้ที่ชอบ iWatch, Gear S, Moto 360, Pebble ฯลฯ
-> แต่ละตัว ก็จะแตกต่างกันออกไป ส่วนใหญ่ขอให้คำนึงว่า เราใช้โทรศัพท์เจ้าไหน ก็ใช้ Smart Watch เจ้านั้น จะง่ายต่อการใช้งานมากที่สุด
2. ชั่งใจกับตัวเอง
-> ถามตัวเองว่าซื้อแล้วเอามาทำไม? เอามาใช้งานอะไรได้บ้าง?
-> ซื้อมาแล้วจะใช้จริงไหม?
ข้อนี้คิดหนักๆ เหมือนกับคำถามแรก คุณวิ่งหรือเปล่า? คุณออกกำลังกายไหม? ไม่หรอ?...จะซื้อทำไม!
-> ราคาของกับความคุ้มค่าที่เราใช้มันคุ้มกันไหม?
มีเงินแต่ไม่ต้องใช้เก็บไว้บ้างก็ได้ แน่นอนว่าการวัดแคลลอรี่เป็นสิ่งดี แต่คุณจะใช้ปากกาจดมันก็ได้ แต่ถ้าคิดว่าลงทุนแล้วใช้มันแทนนาฬิกาสักเรือน ใช้สัก 3 - 4 ปี ก็ถือว่าคุ้ม ของพวกนี้มันของฟุ่มเฟือย บางครั้งลงทุนกับมือถือยังดีกว่า เพราะราคาเท่ากัน มือถือยังได้ใช้จริงๆ
-> อย่าตัดสินใจเร็ว
สำคัญมาก จะไปที่ช้อป ลูบๆ คล่ำๆ กี่ครั้งก็ได้ แต่! อย่าพึ่งเสียเงิน เพราะเสียแล้วเสียเลย มันจะเป็นของคุณทันที!
-> หารีวิวในอินเตอร์เน็ต หรือ ถามจากผู้ใช้งานจริง
ทุกวันนี้อินเตอร์เน็ตมีทุกอย่าง แค่เสิร์จชื่อก็เจอรีวิวมากมาก อยากได้อันไหนก็เสิร์จเลย (อาจจะต่อจากชื่อสินค้าด้วย พันทิป ก็จะเจอกระทู้มากมาย) จขกท. เกือบซื้อเตารีดไอน้ำถูกๆ ที่เห็นว่าเขารีดเรียบทางทีวีไปแล้ว ถ้าไม่ได้อ่านรีวิวพันทิปก่อน
หรือถ้าเจอคนรู้จักใส่ ก็ลองถามดูว่าเป็นไงบ้าง เพราะเขาจะบอกเราทุกอย่างที่อยากรู้ แล้วเผลอๆ เราอาจจะได้ขอยืมเขาเล่นดูก่อนก็ได้
-> ให้เวลากับตัวเองกับคำถามพวกนี้สัก 7 วัน ถ้ายังอยากได้อยู่ ซื้อเลย
3. หลังจากตัดสินใจจะซื้อแล้วต้องลอง!
ไม่ว่าจะซื้อสินค้าอะไร ถ้าไม่ได้ลองก่อน หรือ ไม่ได้ตรวจเช็คสินค้า ห้ามซื้อทุกอย่าง! เพราะ มันอาจเกิดอะไรขึ้นก็ได้
-> สำคัญมาก ลอง ลอง ลอง แล้วก็ลอง
สินค้าแบบนี้ มันใช้งานค่อนข้างยาก และ บางทีมันอาจเสีย หรือ มีตำหนิ เผลอๆ เราเดินไปร้านข้างๆ อาจเจอของถูกใจกว่า ซื้อของต้องใจเย็นๆ ของมันจะยังอยู่อย่างงั้น และอยู่ไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะสินค้าไอที ที่ของเก่าถูกลงทุกปี โดยเฉพาะการช็อปสินค้าออนไลน์บางเจ้า เช็คสินค้าก็ไม่ได้ด้วย ดังนั้น ซื้อของไอที จึงต้อง ลอง ลอง ลอง ลอง แล้วก็ลอง
-> สีและแบบ ไม่ตรงตามต้องการ
มันอาจอยู่กับคุณไปอีกหลายปี เลือกสิ่งที่เราชอบ สี แบบ ไม่ตรงใจ อย่าซื้อ
-> ของชำรุดจากโรงงาน
เกิดขึ้นได้บ่อย ชำรุดแล้วทำไงละทีนี้ เคลมสิครับ แถมถ้าหากสั่งซื้อออนไลน์ หรือ ทางไปรษณีย์ เราอาจเปลี่ยนของไม่ได้ หรือเปลี่ยนได้ก็ช้ามาก หรือถ้าร้ายที่สุดอาจโทษเราอีกว่า เราทำพังเอง
-> ใช้งานยากจนเราเข้าไม่ถึง
บางคนอยากได้ แต่ใช้ไม่เป็น มีทางออกสองทางคือ ไม่ซื้อ หรือ ใช้ให้เป็น แต่ถ้าลองแล้วยังใช้ไม่เป็น ก็???
-> ถามหาประกัน
ถ้ามี โดยเฉพาะอันละ 10,000 ขึ้นไป ควรสามารถเปลี่ยนเครื่องใหม่ได้ทันทีภายใน 7 วัน
-> เชื่อมต่อกับโทรศัพท์เราไม่ได้
โดนเฉพาะกับโทรศัพท์ Apple มักมีปัญหาเรื่อง Bluetooth กับสินค้านอกค่าย เวลาซื้อควรมองหาตรา Made for iPhone ด้วย
-> มันไม่ได้เหมาะกับข้อมือทุกคน
เพราะบางอันใส่แล้วหลวม หรือบางอันส่วมแล้วไม่เข้ารูปกับข้อมือของเราก็มี
-> บางคนแพ้จากการใส่สายนาฬิกา
บางทีสายอุปกรณ์พวกนี้ทำให้เกิดอาการแพ้ได้ เพราะส่วนใหญ่เป็นยางบ้าง ฯลฯ ทางทีดีลองใส่ดูก่อนดีที่สุด
ครบสามข้อแล้วถ้ายังอยากซื้อ ไปซื้อได้เลย จะไม่ห้ามแล้วจร้าาา
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ส่วนตัวตอนนี้ใช้ Samsung Gear S มา 1 ปีแล้ว จุดประสงค์คือเพื่อใช้ในเวลางาน งานที่ทำเวลางานเราใช้โทรศัพท์มือไม่ได้ ตัวเรือนมันค่อนข้างใหญ่ มองเห็นชัด และใช้งานง่าย คือ กดง่ายดีครับ เวลาออกกำลังกาย ก็พกแค่นาฬิกา กับ หูฟัง Bluetooth ก็ไปได้แล้ว ไม่ต้องพกมือถือครับ
มีคำถามลองถามได้ครับ จะพยายามตอบเท่าที่รู้ ;)
[CR] อ่านก่อนซื้อ Fitness Trackers หรือ Smart Watch จะได้ไม่เสียใจภายหลัง!
1. ซื้อไม่ซื้อ? ซื้อ Fitness Trackers หรือ Smart Watch ดี
ถามตัวเองก่อนว่าออกกำลังกายมากแค่ไหน? โดยเฉพาะการวิ่ง เพราะความสามารถหลักๆ ของ Fitness Trackers หรือ Smart Watch มันคือ นับก้าว นับระยะเวลาที่เราวิ่ง ความเร็ว ส่วนเสริม มันอาจนำการเต้นของหัวใจ เวลานอนได้ด้วย แต่สุดท้ายมันจะเป็นได้แค่ กำไรข้อมือ ถ้าไม่ได้วิ่ง!
ไม่ได้วิ่ง
-> แนะนำอย่าซื้อ มันไม่ได้ช่วยอะไรเลย หรือลอง ทางเลือกถัดไป
ลองใช้ App หรือ จดบันทึกกิจกรรมการออกกำลังกายของตัวเองก่อน
-> ลองใช้ App พวก Calorie Counter อย่าง MyFitnessPal, Health (iOS), S Health (Samsung) ก่อน App พวกนี้ก็นับก้าวได้เหมือนกัน แต่เราต้องพกโทรศัพท์ติดกางเกงไว้ตลอดเวลา (เผลอๆ นับตรงกว่าที่ข้อมือด้วย)
-> หรือใช้การจัดบันทึกใน Memo หรือไดอารี่ ก่อนเช่น วันนี้วิ่งกี่นาที
-> ถ้าใน 7 วันวิ่งเกิน 2 วัน ก็ถึงลองมาคิดดูใหม่ว่าต้องการจริงไหม?
วิ่งหนัก ๆ 3 - 5 วันต่อสัปดาห์ หรือต้องการจับการเคลื่อนไหวในแต่ละวัน
-> Smart Watch ที่โดนน้ำได้ หรือ Fitness Tracker เช่น fitbit Jawbone พวกนี้จะสามารถใช้วิ่งออกกำลังกายได้ดี
-> แถมสามารถจับเวลาที่เรานอนได้ด้วยว่าแต่ละวันเรานอนหลับสนิทแค่ไหน
-> เพิ่มเติมด้วยการวัดการเต้นของหัวใจ ซึ่งเหมาะกับผู้ที่วิ่ง เพราะเราจะได้รู้ว่าหัวใจเราเต้นแรงขนาดไหน อยู่ใน Fitness Zone ระดับไหน
-> บางตัวมี GPS ในตัว ทำให้เราแทบไม่ต้องพกโทรศัพท์ไปด้วยเวลาวิ่ง
ออกกำลังกายแบบอื่นๆ จำเป็นต้องซื้อไหม?
-> เช่นยกเวท ว่ายน้ำ พิราทิส โยคะ ซิตอัพ ยิงธนู ไม่อยากแนะนำ
-> แต่แน่ละ ถ้าคุณออกกำลังกายอย่างอื่นด้วย คุณก็คงวิ่งออกกำลังกายด้วยใช่ไหมละ ;)
-> มี Fitness Tracker ในรูปแบบอื่นๆ ที่ไม่ใช่สายรัดข้อมืออีกมากมาย ถ้าเราไม่ใช่สายวิ่ง หรือไม่ได้ต้องการรู้ว่าทั้งวันเราทำอะไรบ้าง
-> ลองดูพวก Garmin มีทั้ง GPS ติดจักรยาน, ที่ติดดูวงสวิงไม้กล็อฟ ฯลฯ
-> นอกจาก Garmin แล้วยังมี สายนับการกระโดดเชือก, ผ้าโยคะอัฉริยะ
-> แม้กระทั้งเครื่องเล่นเกม ก็ยังมี Wii Fit ที่ให้ทั้งการออกกำลังกาย และได้ความสนุกไปด้วยพร้อมกัน
ซื้อเพื่อใช้งาน, เพิ่มความสะดวกเวลาทำงาน หรือ สวยงาม
-> Smart Watch ตัวไหนก็ได้ที่ชอบ iWatch, Gear S, Moto 360, Pebble ฯลฯ
-> แต่ละตัว ก็จะแตกต่างกันออกไป ส่วนใหญ่ขอให้คำนึงว่า เราใช้โทรศัพท์เจ้าไหน ก็ใช้ Smart Watch เจ้านั้น จะง่ายต่อการใช้งานมากที่สุด
2. ชั่งใจกับตัวเอง
-> ถามตัวเองว่าซื้อแล้วเอามาทำไม? เอามาใช้งานอะไรได้บ้าง?
-> ซื้อมาแล้วจะใช้จริงไหม?
ข้อนี้คิดหนักๆ เหมือนกับคำถามแรก คุณวิ่งหรือเปล่า? คุณออกกำลังกายไหม? ไม่หรอ?...จะซื้อทำไม!
-> ราคาของกับความคุ้มค่าที่เราใช้มันคุ้มกันไหม?
มีเงินแต่ไม่ต้องใช้เก็บไว้บ้างก็ได้ แน่นอนว่าการวัดแคลลอรี่เป็นสิ่งดี แต่คุณจะใช้ปากกาจดมันก็ได้ แต่ถ้าคิดว่าลงทุนแล้วใช้มันแทนนาฬิกาสักเรือน ใช้สัก 3 - 4 ปี ก็ถือว่าคุ้ม ของพวกนี้มันของฟุ่มเฟือย บางครั้งลงทุนกับมือถือยังดีกว่า เพราะราคาเท่ากัน มือถือยังได้ใช้จริงๆ
-> อย่าตัดสินใจเร็ว
สำคัญมาก จะไปที่ช้อป ลูบๆ คล่ำๆ กี่ครั้งก็ได้ แต่! อย่าพึ่งเสียเงิน เพราะเสียแล้วเสียเลย มันจะเป็นของคุณทันที!
-> หารีวิวในอินเตอร์เน็ต หรือ ถามจากผู้ใช้งานจริง
ทุกวันนี้อินเตอร์เน็ตมีทุกอย่าง แค่เสิร์จชื่อก็เจอรีวิวมากมาก อยากได้อันไหนก็เสิร์จเลย (อาจจะต่อจากชื่อสินค้าด้วย พันทิป ก็จะเจอกระทู้มากมาย) จขกท. เกือบซื้อเตารีดไอน้ำถูกๆ ที่เห็นว่าเขารีดเรียบทางทีวีไปแล้ว ถ้าไม่ได้อ่านรีวิวพันทิปก่อน
หรือถ้าเจอคนรู้จักใส่ ก็ลองถามดูว่าเป็นไงบ้าง เพราะเขาจะบอกเราทุกอย่างที่อยากรู้ แล้วเผลอๆ เราอาจจะได้ขอยืมเขาเล่นดูก่อนก็ได้
-> ให้เวลากับตัวเองกับคำถามพวกนี้สัก 7 วัน ถ้ายังอยากได้อยู่ ซื้อเลย
3. หลังจากตัดสินใจจะซื้อแล้วต้องลอง!
ไม่ว่าจะซื้อสินค้าอะไร ถ้าไม่ได้ลองก่อน หรือ ไม่ได้ตรวจเช็คสินค้า ห้ามซื้อทุกอย่าง! เพราะ มันอาจเกิดอะไรขึ้นก็ได้
-> สำคัญมาก ลอง ลอง ลอง แล้วก็ลอง
สินค้าแบบนี้ มันใช้งานค่อนข้างยาก และ บางทีมันอาจเสีย หรือ มีตำหนิ เผลอๆ เราเดินไปร้านข้างๆ อาจเจอของถูกใจกว่า ซื้อของต้องใจเย็นๆ ของมันจะยังอยู่อย่างงั้น และอยู่ไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะสินค้าไอที ที่ของเก่าถูกลงทุกปี โดยเฉพาะการช็อปสินค้าออนไลน์บางเจ้า เช็คสินค้าก็ไม่ได้ด้วย ดังนั้น ซื้อของไอที จึงต้อง ลอง ลอง ลอง ลอง แล้วก็ลอง
-> สีและแบบ ไม่ตรงตามต้องการ
มันอาจอยู่กับคุณไปอีกหลายปี เลือกสิ่งที่เราชอบ สี แบบ ไม่ตรงใจ อย่าซื้อ
-> ของชำรุดจากโรงงาน
เกิดขึ้นได้บ่อย ชำรุดแล้วทำไงละทีนี้ เคลมสิครับ แถมถ้าหากสั่งซื้อออนไลน์ หรือ ทางไปรษณีย์ เราอาจเปลี่ยนของไม่ได้ หรือเปลี่ยนได้ก็ช้ามาก หรือถ้าร้ายที่สุดอาจโทษเราอีกว่า เราทำพังเอง
-> ใช้งานยากจนเราเข้าไม่ถึง
บางคนอยากได้ แต่ใช้ไม่เป็น มีทางออกสองทางคือ ไม่ซื้อ หรือ ใช้ให้เป็น แต่ถ้าลองแล้วยังใช้ไม่เป็น ก็???
-> ถามหาประกัน
ถ้ามี โดยเฉพาะอันละ 10,000 ขึ้นไป ควรสามารถเปลี่ยนเครื่องใหม่ได้ทันทีภายใน 7 วัน
-> เชื่อมต่อกับโทรศัพท์เราไม่ได้
โดนเฉพาะกับโทรศัพท์ Apple มักมีปัญหาเรื่อง Bluetooth กับสินค้านอกค่าย เวลาซื้อควรมองหาตรา Made for iPhone ด้วย
-> มันไม่ได้เหมาะกับข้อมือทุกคน
เพราะบางอันใส่แล้วหลวม หรือบางอันส่วมแล้วไม่เข้ารูปกับข้อมือของเราก็มี
-> บางคนแพ้จากการใส่สายนาฬิกา
บางทีสายอุปกรณ์พวกนี้ทำให้เกิดอาการแพ้ได้ เพราะส่วนใหญ่เป็นยางบ้าง ฯลฯ ทางทีดีลองใส่ดูก่อนดีที่สุด
ครบสามข้อแล้วถ้ายังอยากซื้อ ไปซื้อได้เลย จะไม่ห้ามแล้วจร้าาา
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
มีคำถามลองถามได้ครับ จะพยายามตอบเท่าที่รู้ ;)