‘เหย! เรียบจบแล้วอย่าเพิ่งรีบทำงานนะ ไปเที่ยวก่อนๆ เดี๋ยวไม่มีเวลา’
เป็นประโยคที่ได้ยินอยู่บ่อยม้ากกก แต่…ถ้าไม่ทำงานก่อน แล้วเอาเงินไหนเที่ยวอ่ะ งั้นทำงานก่อนแล้วกัน
...
ผ่านมา 2 ปี ถ้าไม่นับ Outing กับ Office หรือ Trip ครอบครัว เอ้อ! นี่ก็ยังไม่ได้ไปไหนแบบที่ตั้งใจไปเองเลยสักที ก็คงต้องไปสักหน่อยแล้วแหละ (ถ้าไม่ไปสักทีก็ไม่ได้ไปสักทีอ่ะ)
แล้วไปไหนดี? ทะเลใต้สิ (ถ้านับตั้งแต่ป.5 ก็ไม่ได้ไปทะเลใต้อีกเลย)
แต่ต้องชิลล์ๆ ราคาเบาๆ นะ (อยู่ๆ Promotion Blue Sky Resort ก็ Pop-up ขึ้นมาหน้า Feed FB
อ่ะๆ ลองเข้าไปดูสักหน่อย แล้ว เกาะพยาม จ.ระนอง นี่ราคาถูกสุดละ) หลังจากนั้นก็เสิร์ชข้อมูลเกาะพยามไปเรื่อยๆ...ตัดภาพอีกทีก็จองตั๋วสมบัติทัวร์ไปเรียบร้อยแล้วจ้า
ไป-กลับ กรุงเทพฯ - ระนอง 20.30 - 05.30 ราคา 470 x 2 = 940 บาท
และแล้วก็ถึงบขส.ระนองโดยสวัสดิภาพ พอลงจากรถปุ๊บ ก็จะมีพี่คนขับสองแถวเข้าชาร์จ “ไปท่าเรือขึ้นรถเลยครับ” นี่ก็ตกลงไปกะเค้าด้วย ตกคนละ 50 บาท (ซึ่งจริงๆ ถ้าโบกเองจะถูกกว่านี้อีก) แต่พี่คนขับอัธยาศัยดีมากเด้อ
ซึ่งท่าที่จะไปเนี่ย เป็นที่ซื้อตั๋วหรือจะกินข้าวเช้าก็มีร้านอาหาร แต่นี่เลือกล้างหน้าแปรงฟันแล้วมานั่งชาร์ตแบตโทรศัพท์ รอต่อรถไปอีกท่านึง เราเลือกขึ้น Speed Boat (Nava Andaman) ตอน 07.30 น. กะรับวิตามินดีสวยๆ พอดีงี้ (จริงๆ รอ Slow Boat ไม่ไหว กว่าจะออกก็ 09.30 น.)
ใช้เวลาเดินทางประมาณ 30 นาที ระหว่างนั้นก็ตื่นเต้นกับวิวสวยๆ ลมเย็นๆ ไปตลอดทาง
คืนแรกเราพักที่ Lazy Hut (อ่าวใหญ่) - luxury bamboo 1,000 บาท และเช่ามอเตอร์ไซค์ที่นี่เลย วันละ 150 บาท เพราะว่าขับลงหาดได้ (บางที่เค้าห้าม ถ้าจับได้โดนปรับ 2,000 บาทเด้อ) พอถึงท่าเรือพี่เค้าก็มารับ พร้อมกับมอเตอร์ไซค์ ให้เราขี่ตามไปที่พักอีกที (ไม่มีรูปที่พักเลย ขออภัยด้วยนะ)
แต่ว่ามีวิวสวยๆ ข้างหน้าที่พักแทน เอาจริงๆ ป่ะ...ไม่ต้องพยามรัก ก็รักพยามแล้ว
กินไปด้วย พักเหนื่อยไปด้วย ศึกษาเส้นทางไปด้วย หลังจากเก็บของ อาบน้ำแล้วเรียบร้อย ที่แรกที่เราจะไปเดินเล่น ก็คือ ‘อ่าวเขาควาย - หินทะลุ’ เพราะน่าจะไปง่ายสุด เร็วสุดแล้ว
ซึ่งก็จริง ขี่รถมาแป๊บเดียว ดูวิวบ้าง เถียงกันบ้าง แกล้งกันบ้าง บ่นว่าร้อนบ้างก็ถึงแล้ว หืมม...ที่นี่น้ำใสกว่าฝั่งอ่าวใหญ่อีก ดี๊ดี (รู้งี้ เตรียมชุดมาเล่นก็น่าจะดี) ด้วยความที่น้ำขึ้น การเดินพาร่างไปถ่ายรูปตรงช่องหินทะลุก็ลุ้นอีกทีนึง (ทั้งกล้องและมือถือ ไม่เปียกเนาะ ไม่เหยียบหินแล้วล้มเนาะ) พอถึงตรงนั้นก็รู้เลยว่า ขอนั่งพักนานๆ เลยนะ ไม่กลับแล้วนะ
นั่งพักชมวิวให้ลมพัดผ่านสัก 10 นาที ถ่ายรูปอีกสัก 10 นาที ก็ Move! หาไรกินกัน ทีแรกก็ตั้งใจว่าจะกินพิซซ่า แต่ดันหาร้านไม่เจอ วนไปวนมาก็ไปจบที่ร้านก๋วยเตี๋ยว แล้วเราก็แพลนนู่นนี่เสร็จสรรพ แต่ๆๆๆ ฟ้าครึ้มมาเฉยนี่ก็เลยต้องขี่รถแข่งกับฝน ดีนะที่ชนะ ถึงที่พักซะก่อน อืมนะ...จากนอนริมหาดกลายเป็นนอนเปลหน้าที่พัก
ตื่นมาอีกทีก็...ปลาหมึกกุ้งกับน้ำจิ้มแซ่บๆ และเมฆเต็มฟ้า อืม...ก็โอเครอ่ะ วิวพระอาทิตย์ตกที่สวยที่สุด(รอพรุ่งนี้ก็ได้ๆ)!!!
ดึกหน่อยก็ออกไปนั่งฟังเพลงที่ Bar Irie Island - อ่าวใหญ่ ที่นี่มีแจมดนตรีกันทุกวันอังคารและวันศุกร์ รู้สึกเหมือนไปปาร์ตี้บ้านเพื่อนที่เป็นชาวต่างชาติยังไงยังงั้น ใครมีฝีมือก็ลุยแจมเลย ส่วนถ้าสายจอยอย่างเรา นั่งฟังเฉยๆ ก็หนุกแล้ว เผลอแป๊บๆ ก็คุยกับเพื่อนข้างๆ ไม่หยุด ฟ้าและฝนที่นี่ก็เหมือนกัน ตกไม่หยุด!...ช่วงเวลาที่ฝนซาเราเลยรีบบึ่งกลับที่พัก แต่พอออกมาเท่านั้นแหละ แรง! กว่าเดิมอีกเด้อ ถึงที่พักด้วยความเปียกและพังมาก...สวีทดรีม!!!
ฝนหยุดตกอีกทีก็สายแล้ว ถึงงัวเงียแต่ก็ต้องรีบหน่อย เพราะจะย้ายไปพักที่ Green Beach Hut คืนละ 700 บาท ซึ่งอยู่ติดกันเลย (ไม่มีรูปอีกแล้ว...มัวแต่เพลินอยู่) ที่นี่ร่มรื่น สบายสบาย นอนเล่นริมหาดทั้งวันไม่ไปไหนก็ไม่เบื่อ แต่นี่ขอไปขี่รถเที่ยวนิดนึงก่อน เดี๋ยวกลับมา
ขี่ไปไกลอีกหน่อย ก็ถึงอ่าวเขาควายฝั่งฮิปปี้บาร์ เดินเลียบหาดไปเรื่อยๆ มาจนสุดทาง หืม...น้ำใส วิวสวย มองขวาก็เขียวขจี มองซ้ายก็เป็นสีฟ้าคราม สดชื่น สบายตา น่าลงไปดำน้ำหรือไม่ก็นอนอาบแดดมาก
ดื่มด่ำบรรยากาศจนอิ่มใจ ก็ถึงทีกินข้าวให้อิ่มท้อง ที่ฮิปปี้บาร์นี่แหละ (น้ำมะพร้าวปั่นคือว้าวมากๆ)
ตอนขึ้นไปลืมโฟกัสเลยว่าสูง พอตอนลง โอ๊ยตายๆ นั่งพักแล้วพักอีก แล้วเราก็ไปขี่รถเล่นต่อที่นู่นนี่นั่น เรื่อยๆ จนเมฆครึ้มแวะมาหาอีกแล่ว...กลับที่พักสิ รออัลไล
สงสัยเค้าอยากให้อยู่ที่พักมั่งมั้ง พอกลับมาถึงคือฝนไม่ตกเลย แต่เมฆก็เต็มฟ้า ไว้กลับมาดูพระอาทิตย์ตกคราวหน้าก็ได้
งั้นก็...เล่นน้ำทะเลเลยแล้วกัน เราใช้เวลาอยู่ริมหาดจนดึกดื่น ค่อยกลับไปพัก แล้วตื่นเช้ามาวิ่ง แหม่...วิ่งแค่แป๊บเดียว ก็หอบแฮ่กๆ ละ เปลี่ยนเป็นเดินเล่นก็พอเนอะ เดินไปเดินมาก็รู้สึกว่า...อยากอยู่ที่นี่ไปนานๆ ก็ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน มันเป็นความรู้สึกที่พิเศษยิ่งกว่าการประทับใจในความสงบ เรียบง่าย ผู้คนน่ารัก อากาศสดชื่น ทะเลสีสวย หรือว่าอาหารอร่อย สงสัยจะรักเข้าแล้วล่ะมั้งหรือไม่ก็อยู่ในชั่วโมงต้องมนต์อะไรแบบนั้น ถึงไม่ได้ดูพระอาทิตย์ตกหรือเที่ยวให้ครบจนหมด ความรู้สึกพิเศษนั้นก็ยังฟูฟ่องในใจอยู่ดี <3
เล่นน้ำ กินอาหารเช้า เช็คเอาท์! แวะบ้านน้ำชาดื่มน้ำกะทิปั่นให้สดชื่นก่อนเดินทางอีกยาวปายยยย
ขากลับเราเลือกขึ้น Slow Boat ออกตอน บ่าย 2 ถึงระนองก็ 4 โมงเย็น ราคาอยู่ที่คนละ 200 บาท
ไปถึงท่าเรือ ก็นั่งรถต่อไปกินข้าวเย็นที่บ่อน้ำร้อนสวนสาธารณะรักษะวาริน คนละ 100 แล้วก็เดินกลับ บขส. อันที่จริงก็มีรถนะ แต่นี่เลือกเดินเพราะจะได้ไม่ต้องนั่งรอขึ้นรถนาน เดินแป๊บเดียวก็ถึง นั่งแป๊ปเดียวรถก็มาแล้ว...กลับละนา
<3
[CR] GET OUT FROM THE HOUSE - ต้องเที่ยวแล้วล่ะ...ป่ะ! ‘พยาม’ สักหน่อยเนอะ
‘เหย! เรียบจบแล้วอย่าเพิ่งรีบทำงานนะ ไปเที่ยวก่อนๆ เดี๋ยวไม่มีเวลา’
เป็นประโยคที่ได้ยินอยู่บ่อยม้ากกก แต่…ถ้าไม่ทำงานก่อน แล้วเอาเงินไหนเที่ยวอ่ะ งั้นทำงานก่อนแล้วกัน
...
ผ่านมา 2 ปี ถ้าไม่นับ Outing กับ Office หรือ Trip ครอบครัว เอ้อ! นี่ก็ยังไม่ได้ไปไหนแบบที่ตั้งใจไปเองเลยสักที ก็คงต้องไปสักหน่อยแล้วแหละ (ถ้าไม่ไปสักทีก็ไม่ได้ไปสักทีอ่ะ)
แล้วไปไหนดี? ทะเลใต้สิ (ถ้านับตั้งแต่ป.5 ก็ไม่ได้ไปทะเลใต้อีกเลย)
แต่ต้องชิลล์ๆ ราคาเบาๆ นะ (อยู่ๆ Promotion Blue Sky Resort ก็ Pop-up ขึ้นมาหน้า Feed FB
อ่ะๆ ลองเข้าไปดูสักหน่อย แล้ว เกาะพยาม จ.ระนอง นี่ราคาถูกสุดละ) หลังจากนั้นก็เสิร์ชข้อมูลเกาะพยามไปเรื่อยๆ...ตัดภาพอีกทีก็จองตั๋วสมบัติทัวร์ไปเรียบร้อยแล้วจ้า
ไป-กลับ กรุงเทพฯ - ระนอง 20.30 - 05.30 ราคา 470 x 2 = 940 บาท
และแล้วก็ถึงบขส.ระนองโดยสวัสดิภาพ พอลงจากรถปุ๊บ ก็จะมีพี่คนขับสองแถวเข้าชาร์จ “ไปท่าเรือขึ้นรถเลยครับ” นี่ก็ตกลงไปกะเค้าด้วย ตกคนละ 50 บาท (ซึ่งจริงๆ ถ้าโบกเองจะถูกกว่านี้อีก) แต่พี่คนขับอัธยาศัยดีมากเด้อ
ซึ่งท่าที่จะไปเนี่ย เป็นที่ซื้อตั๋วหรือจะกินข้าวเช้าก็มีร้านอาหาร แต่นี่เลือกล้างหน้าแปรงฟันแล้วมานั่งชาร์ตแบตโทรศัพท์ รอต่อรถไปอีกท่านึง เราเลือกขึ้น Speed Boat (Nava Andaman) ตอน 07.30 น. กะรับวิตามินดีสวยๆ พอดีงี้ (จริงๆ รอ Slow Boat ไม่ไหว กว่าจะออกก็ 09.30 น.)
ใช้เวลาเดินทางประมาณ 30 นาที ระหว่างนั้นก็ตื่นเต้นกับวิวสวยๆ ลมเย็นๆ ไปตลอดทาง
คืนแรกเราพักที่ Lazy Hut (อ่าวใหญ่) - luxury bamboo 1,000 บาท และเช่ามอเตอร์ไซค์ที่นี่เลย วันละ 150 บาท เพราะว่าขับลงหาดได้ (บางที่เค้าห้าม ถ้าจับได้โดนปรับ 2,000 บาทเด้อ) พอถึงท่าเรือพี่เค้าก็มารับ พร้อมกับมอเตอร์ไซค์ ให้เราขี่ตามไปที่พักอีกที (ไม่มีรูปที่พักเลย ขออภัยด้วยนะ)
แต่ว่ามีวิวสวยๆ ข้างหน้าที่พักแทน เอาจริงๆ ป่ะ...ไม่ต้องพยามรัก ก็รักพยามแล้ว
กินไปด้วย พักเหนื่อยไปด้วย ศึกษาเส้นทางไปด้วย หลังจากเก็บของ อาบน้ำแล้วเรียบร้อย ที่แรกที่เราจะไปเดินเล่น ก็คือ ‘อ่าวเขาควาย - หินทะลุ’ เพราะน่าจะไปง่ายสุด เร็วสุดแล้ว
ซึ่งก็จริง ขี่รถมาแป๊บเดียว ดูวิวบ้าง เถียงกันบ้าง แกล้งกันบ้าง บ่นว่าร้อนบ้างก็ถึงแล้ว หืมม...ที่นี่น้ำใสกว่าฝั่งอ่าวใหญ่อีก ดี๊ดี (รู้งี้ เตรียมชุดมาเล่นก็น่าจะดี) ด้วยความที่น้ำขึ้น การเดินพาร่างไปถ่ายรูปตรงช่องหินทะลุก็ลุ้นอีกทีนึง (ทั้งกล้องและมือถือ ไม่เปียกเนาะ ไม่เหยียบหินแล้วล้มเนาะ) พอถึงตรงนั้นก็รู้เลยว่า ขอนั่งพักนานๆ เลยนะ ไม่กลับแล้วนะ
นั่งพักชมวิวให้ลมพัดผ่านสัก 10 นาที ถ่ายรูปอีกสัก 10 นาที ก็ Move! หาไรกินกัน ทีแรกก็ตั้งใจว่าจะกินพิซซ่า แต่ดันหาร้านไม่เจอ วนไปวนมาก็ไปจบที่ร้านก๋วยเตี๋ยว แล้วเราก็แพลนนู่นนี่เสร็จสรรพ แต่ๆๆๆ ฟ้าครึ้มมาเฉยนี่ก็เลยต้องขี่รถแข่งกับฝน ดีนะที่ชนะ ถึงที่พักซะก่อน อืมนะ...จากนอนริมหาดกลายเป็นนอนเปลหน้าที่พัก
ตื่นมาอีกทีก็...ปลาหมึกกุ้งกับน้ำจิ้มแซ่บๆ และเมฆเต็มฟ้า อืม...ก็โอเครอ่ะ วิวพระอาทิตย์ตกที่สวยที่สุด(รอพรุ่งนี้ก็ได้ๆ)!!!
ดึกหน่อยก็ออกไปนั่งฟังเพลงที่ Bar Irie Island - อ่าวใหญ่ ที่นี่มีแจมดนตรีกันทุกวันอังคารและวันศุกร์ รู้สึกเหมือนไปปาร์ตี้บ้านเพื่อนที่เป็นชาวต่างชาติยังไงยังงั้น ใครมีฝีมือก็ลุยแจมเลย ส่วนถ้าสายจอยอย่างเรา นั่งฟังเฉยๆ ก็หนุกแล้ว เผลอแป๊บๆ ก็คุยกับเพื่อนข้างๆ ไม่หยุด ฟ้าและฝนที่นี่ก็เหมือนกัน ตกไม่หยุด!...ช่วงเวลาที่ฝนซาเราเลยรีบบึ่งกลับที่พัก แต่พอออกมาเท่านั้นแหละ แรง! กว่าเดิมอีกเด้อ ถึงที่พักด้วยความเปียกและพังมาก...สวีทดรีม!!!
ฝนหยุดตกอีกทีก็สายแล้ว ถึงงัวเงียแต่ก็ต้องรีบหน่อย เพราะจะย้ายไปพักที่ Green Beach Hut คืนละ 700 บาท ซึ่งอยู่ติดกันเลย (ไม่มีรูปอีกแล้ว...มัวแต่เพลินอยู่) ที่นี่ร่มรื่น สบายสบาย นอนเล่นริมหาดทั้งวันไม่ไปไหนก็ไม่เบื่อ แต่นี่ขอไปขี่รถเที่ยวนิดนึงก่อน เดี๋ยวกลับมา
ขี่ไปไกลอีกหน่อย ก็ถึงอ่าวเขาควายฝั่งฮิปปี้บาร์ เดินเลียบหาดไปเรื่อยๆ มาจนสุดทาง หืม...น้ำใส วิวสวย มองขวาก็เขียวขจี มองซ้ายก็เป็นสีฟ้าคราม สดชื่น สบายตา น่าลงไปดำน้ำหรือไม่ก็นอนอาบแดดมาก
ดื่มด่ำบรรยากาศจนอิ่มใจ ก็ถึงทีกินข้าวให้อิ่มท้อง ที่ฮิปปี้บาร์นี่แหละ (น้ำมะพร้าวปั่นคือว้าวมากๆ)
ตอนขึ้นไปลืมโฟกัสเลยว่าสูง พอตอนลง โอ๊ยตายๆ นั่งพักแล้วพักอีก แล้วเราก็ไปขี่รถเล่นต่อที่นู่นนี่นั่น เรื่อยๆ จนเมฆครึ้มแวะมาหาอีกแล่ว...กลับที่พักสิ รออัลไล
สงสัยเค้าอยากให้อยู่ที่พักมั่งมั้ง พอกลับมาถึงคือฝนไม่ตกเลย แต่เมฆก็เต็มฟ้า ไว้กลับมาดูพระอาทิตย์ตกคราวหน้าก็ได้
งั้นก็...เล่นน้ำทะเลเลยแล้วกัน เราใช้เวลาอยู่ริมหาดจนดึกดื่น ค่อยกลับไปพัก แล้วตื่นเช้ามาวิ่ง แหม่...วิ่งแค่แป๊บเดียว ก็หอบแฮ่กๆ ละ เปลี่ยนเป็นเดินเล่นก็พอเนอะ เดินไปเดินมาก็รู้สึกว่า...อยากอยู่ที่นี่ไปนานๆ ก็ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน มันเป็นความรู้สึกที่พิเศษยิ่งกว่าการประทับใจในความสงบ เรียบง่าย ผู้คนน่ารัก อากาศสดชื่น ทะเลสีสวย หรือว่าอาหารอร่อย สงสัยจะรักเข้าแล้วล่ะมั้งหรือไม่ก็อยู่ในชั่วโมงต้องมนต์อะไรแบบนั้น ถึงไม่ได้ดูพระอาทิตย์ตกหรือเที่ยวให้ครบจนหมด ความรู้สึกพิเศษนั้นก็ยังฟูฟ่องในใจอยู่ดี <3
เล่นน้ำ กินอาหารเช้า เช็คเอาท์! แวะบ้านน้ำชาดื่มน้ำกะทิปั่นให้สดชื่นก่อนเดินทางอีกยาวปายยยย
ขากลับเราเลือกขึ้น Slow Boat ออกตอน บ่าย 2 ถึงระนองก็ 4 โมงเย็น ราคาอยู่ที่คนละ 200 บาท
ไปถึงท่าเรือ ก็นั่งรถต่อไปกินข้าวเย็นที่บ่อน้ำร้อนสวนสาธารณะรักษะวาริน คนละ 100 แล้วก็เดินกลับ บขส. อันที่จริงก็มีรถนะ แต่นี่เลือกเดินเพราะจะได้ไม่ต้องนั่งรอขึ้นรถนาน เดินแป๊บเดียวก็ถึง นั่งแป๊ปเดียวรถก็มาแล้ว...กลับละนา
<3