ใครเป็นคนคิดลอจิกส์ของการแบ่งหมวดหมู่"แม่"?

คือกระทู้นี้เราแค่อยากจะเตือนแม่ๆหรือคนที่ไม่ใช่แม่แต่ฟังคนโน้นคนนี้ ดูคนโน้นคนนี้ตัดสินคนอื่นด้วยมุมมองแคบๆของตัวเองแล้วคล้อยตาม ให้ลองมองแบบกว้างๆ หรือก่อนจะตัดสินอะไรใคร พยายามดูเหตุประกอบหลายๆอย่างกว้างๆก่อนดีกว่านะคะ

เพราะ
เราทุกคนไม่ได้มาจากพื้นฐานครอบครัวแบบเดียวกัน การศึกษา ฐานะก็ต่างกัน ดังนั้นนิยามของคำพวกนี้สำหรับแต่ละคนมันต่างกันโดยสิ้นเชิง

แม่ฟูลไทม์
แม่ทำงาน
แม่นมแม่ล้วน
แม่นมผง
แม่ไอแพด
แม่โลวเทค

ทำไมชอบตัดสินกันเองจัง ว่าแม่ทำงานต้องใส่ใจลูกน้อยกว่าแม่ฟูลไทม์ แม่ฟูลไทม์ นั่งๆนอนๆสบายกว่าแม่ทำงาน นมแม่ล้วนมาจากความพยายามมากกว่านมเสริม ฯลฯ แม่ไอแพดมักง่าย ให้ลูกดูไอแพดไปแล้วตัวเองสบาย แม่โลวเทคสิมีความอดทน ไม่หลงเทคโนโลยี พยายามใส่ใจลูกจริงจัง ....

ในความคิดของคนส่วนใหญ่ แม่ฟูลไทม์ อาจจะเหมือนว่างจัด ทั้งที่มันมีทั้งแบบ แม่ที่ปกติก็ไม่ได้ทำงานอยู่แล้ว เค้าก็ใช้ชีวิตปกติของเค้าไป อาจจะอดนั่งๆนอนๆกินๆตามใจเหมือนตอนยังไม่มีลูก อดนอนบ้างไรบ้าง ส่วนแม่บางคนทำงานมีหน้าที่การงานดีๆ แต่ทนความกดดันที่ทำงานไปเลี้ยงลูกไปไม่ได้ เพราะบางทีลูกไม่สบายก็ต้องหยุด ทำให้เสียงาน เป็นภาระคนอื่นเลยออกมาเลี้ยงลูกอย่างเดียว แล้วด้วยความที่เคยแอคทิฟมาทั้งชีวิต พอต้องมาเลี้ยงลูกอย่างเดียว ก็เป็นแม่ไฮโพรไฟล์ พยายามใส่ใจทุกรายละเอียด รู้จริงรู้ลึก เลี้ยงลูกเป็นแบบแผน จนผ่านการเลี้ยงลูกมายากยิ่งกว่างานนอกบ้าน แล้วก็จะภูมิใจในตัวเองว่าได้ออกมาทำงาน"แม่" อย่างเต็มที่ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ยังมีอีกหลายปัจจัย แม่ฟูลไทม์ก็มีทั้งแบบที่ เลี้ยงคนเดียวจริงๆ รอบข้างไม่มีใคร ไม่มีคนใช้ พ่อไม่ช่วยอะไรเลย กะแม่ฟูลไทม์ที่แวดล้อมไปด้วย ปู่ย่าตายาย ญาติพี่น้อง พี่เลี้ยงคนใช้ มันก็มีความพยายามที่ต่างกันมากโข

ส่วนแม่นมแม่ล้วน หรือนมเสริมก็ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมอีก แม่นมล้วน ก็มีสองแบบอีก แบบที่ไม่ได้ทำงาน เอาลูกเข้าเต้าได้บ่อยเท่าไหร่ก็ได้ ลูกหลับก็ปั๊ม เมื่อไหร่ก็ได้ ก็มีนมให้ลูกกินตลอด นี่ก็ภูมิใจระดับนึง แต่กะแบบ ต้องทำงานก็ยังหาโอกาสปั๊ม เป็นแม่นมล้วนได้ ก็ภูมิใจมากเข้าไปอีกว่า ขนาดไม่ค่อยสะดวกยังพยายามจนได้ (ซึ่งก็เชื่อสิว่าพยายามในระดับที่สภาพแวดล้อมยังอำนวยในระดับนึงเพราะถ้าที่ทำงานไม่มีที่ปั๊ม ห้องทำงานนั่งรวมหลายคน จะเข้าห้องน้ำสกปรก หรือทำงานแบบไม่มีโอกาสได้พักระหว่างวันเลย แม้จะอยากพยายามแค่ไหนก็ทำไม่ได้ แต่แม่ที่ไม่เจอแบบนี้ก็มักจะคิดว่า ยังพยายามไม่พอ อยู่ดี)

ส่วนแม่นมเสริม ก็มีสองแบบอีก คือ ไม่พยายาม ลูกไม่เข้าเต้า ก็ไม่ปั๊ม หรือพอไปทำงานแล้วหย่านมทันที ไม่หาโอกาส แบบนี้เป็นแบบแม่นมเสริมที่คนทั่วไปมักจะคิดสบประมาท แต่จริงๆก็ยังมีแม่นมเสริมอีกแบบที่พยายามแทบตาย ก็ยังนมไม่มี ไม่กล้ากินยาเรียกนม มีปัญหาสุขภาพเอยอะไรเอย หรือกลับไปทำงานแล้ว ที่ทำงานไม่อำนวยให้ปั๊มนม ต่อให้ใจอยากมีนมให้ลูกเท่าไหร่มันก็ทำไม่ได้ ก็จำต้องเลี้ยงลูกด้วยนมเสริม แต่พอบอกใครปุ๊บ ยังไม่ทันฟังเหตุผลอะไรเลย คนฟัง(ที่เป็นแม่) ส่วนใหญ่จะคิดไบแอสไปก่อนแล้วว่า ไม่พยายามนี่ ขี้เกียจนี่ ปั๊มสิปั๊ม สามชั่วโมงครั้งถ้ายังไม่มาทะลักก็ทุกชั่วโมงครึ่ง พยายามเข้าไป .... ส่วนแม่นมเสริมก็อาจจะมีมาแย้ง ชั้นเลี้ยงนมผง ลูกยังไม่เคยป่วย พวกนมแม่ล้วนบางคนยังป่วยบ่อยกว่าอีก ชั้นนมเสริมลูกอ้วนท้วนสมบูรณ์ แข็งแรง พัฒนาการดี อะไรทำนองนี้เห็นได้เยอะใน คลับแม่ๆที่ลูกรุ่นราวคราวเดียวกัน

อีกอย่างที่ช่างตัดสินกันเหลือเกิน เวลาที่เห็นใครเอาไอแพดให้ลูกดู ก็จะตัดสินทันทีว่า แม่คนนี้รักสบาย ไม่คำนึงถึงสุขภาพ หรือสายตา หรือพัฒนาการของลูก ทั้งที่คุณอยู่กะเค้าทั้งวันหรือก็ไม่ วันทั้งวันเค้าอาจจะให้ลูกดูแค่โมเม้นนั้นที่คุณเห็น แต่กับคนที่อ่านหนังสือนิทานให้คุณเห็นนอกบ้าน กลับบ้านอาจจะให้ลูกดูทีวีทั้งวันก็ได้ หรือแม่ที่ไม่ได้ใช้สื่อทางจอทั้งหลาย อาจจะไม่ได้สอนอะไรลูกเป็นเรื่องเป็นราวเลยก็ได้

เมื่อไหร่พวกแม่ๆจะเลิกตัดสินแม่คนอื่นจากข้อมูลเพียงแค่ว่า เป็นแม่แบบไหนในกรุ๊ปข้างบนนี่ คือตัวเองเป็นยังไงก็เป็นไป ดีมั๊ย ไม่ต้องแบบ ไปสบประมาทคนอื่น คุณอาจจะมีความกดดันอะไรมากจนต้องมาเลือกทางที่เป็นอยู่ตอนนี้ ซึ่งภายหลังคุณจะหาคุณค่าให้ตัวเองได้มากมายว่า ดีนะที่เลือกทางนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องประกาศปาวว่าเป็นแม่แบบนี้ พิสูจน์แล้วว่าดีกว่าแบบอื่น ซึ่งความภูมิใจของคุณ มันจะมีผลออกมาก็ต่อเมื่อลูกโตมาเป็นคนดี ตั้งใจเรียน ขยันขันแข็ง ไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใคร ซึ่งใครที่ยังเพิ่งผ่านการเลี้ยงลูกเล็กมาไม่กี่ปี อย่าเพิ่งคิดว่าประสบความสำเร็จเลยดีกว่า หนทางมันยังอีกยาวไกลนัก แม้แต่หมอเด็กหลายๆคนที่มีลูกเอง จริงๆก็ยังไม่สามารถการันตีผลจากวิธีการเลี้ยงของตัวเองได้ เพราะลูกก็ยังไม่ได้โตเป็นผู้ใหญ่ที่สร้างประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติ หรือคนที่เคยเขียนหนังสือเลี้ยงลูกจริงๆจังๆ ขายดิบขายดีบางคน เมื่อตอนลูกเล็กๆดูเหมือนจะมีความสุขดี คุณภาพชีวิตดี แต่พอโตมา ก็ไม่ตั้งใจเรียนก็มีเยอะไป

เราว่าพยายามทำแม่ในแบบของตัวเองให้ดีที่สุด ไม่ต้องเลียนแบบใคร ไม่ต้องฟังคำใครมากมาย คือฟังได้แต่ด้วยวิจารณญาณและเหตุผล แล้วก็ไม่ต้องไประบายความเครียดออกโดยการสบประมาทคนอื่น หรือพยายามจะไปแนะนำอะไรคนอื่น(อันนี้ก็เจอกับตัวเองนะ คือบางคนก็ชอบเสนอวิธีที่มันไม่เวิร์คกับเรา แต่พอเราไม่รับก็หาว่า ไม่เชื่อเค้า แต่ขณะเดียวกันพอเราไปแนะคนอื่นตามประสบการณ์ตัวเองบ้าง ก็เจอคนอื่นตอกกลับมาแบบนี้เหมือนกัน คือฉันรู้ดีแล้ว ดังนั้นสูตรใครสูตรมันเนาะ แม่นี่มันคือความล้ำลึก หลากหลาย ที่ใครก็เข้าไม่ถึงทั้งนั้นแหละนอกจากตัวเอง)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่