สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 2
วิชาปรัชญา เรียนจบไปทำงานอะไรคะ?
^
ปรัชญาคุณกับปรัชญาเราอาจคุยกันไม่รู้เรื่องก็ได้555
ครั้งแรกในชีวิตที่สัมผัสกับปรัชญาก็คือ เราไปเจอพวกนักศึกษาจาก colleges ต่างๆของ University of Cambridge ใส่เสื้อครุยดำๆ (พวกเค้าใส่เสื้อครุยเดินเล่นทุกวัน ไม่ใช่ใส่แต่รับปริญญาเหมือนคนไทย) จับกลุ่มกันใน pub ริมแม่น้ำ Cam (เมืองนี้ชื่อ Cambridge เพราะมีแม่น้ำ Cam + สะพานคือ bridge ยังไงล่ะ ก็เลยกลายเป็น Cambridge) แล้ว philosophize กัน...(เราได้ยินแว่วๆว่าพวกเขาคุยกันเรื่องแนวคิดของ Socrates, Plato, Aristotle และพวกปราชญ์แนวนี้อีกหลายคน) นักศึกษาพวกนี้อวดภูมิด้านปรัชญาแข่งกันว่าใครจะ intellectual มากกว่ากัน...ตอนนั้นเราอายุ 17 พำนักอาศัยในนคร Cambridge ประเทศอังกฤษ
^
เราอยากฉลาดแบบพวกเค้าเราจึงไปซื้อตำราปรัชญาแนวตะวันตกมาอ่านแบบพวกเค้า
แล้วอยู่มาวันหนึ่งเราไปดูหนังจีน ในเนื้อเรื่องพระเอกคนจีนกำลังจะดวลกับนักวรยุทธ์ญี่ปุ่น พระเอกเลยไปหายอดฝีมือเพื่อเรียนวรยุทธ์เพิ่มเติม แต่พอเห็นสำนักวรยุทธ์ที่โอ่อ่า พระเอกไม่สน กลายเป็นหันไปมองขอทานที่นอนเมาอยู่ข้างทาง แล้วเผอิญเพื่อนพระเอกไปเตะขอทาน แต่ขอทานขณะทำท่ากลัวขณะหลบหลีกการโดนเตะต่อย พระเอก "ตาแหลม" มองรู้ว่าขอทานคนนี้เป็นยอดฝีมือแปลงร่างมา พระเอกจึงบอกให้เพื่อนเข้าไปยั่วขอทานอีก คราวนี้ขอทานเอาจริงขณะทำท่ากลัว แต่เคลื่อนไหวตัวแบบกึ่งคนเมากึ่งคนบ้า แกล้งเตะต่อยและออกอาวุธอื่นออกมาเป็นชุด แบบตั้งใจอำพรางว่า "ตัวเองไม่รู้วรยุทธ์แต่บังเอิญฟลุ๊กเตะต่อยโดนเป้า" แต่โดนเพื่อนพระเอกกระเด็นล้มไปหมด ซึ่งในขณะนั้นพระเอกแอบเรียนเพลงยุทธ์วิชาหมัดเมาจากขอทานไปเรียบร้อยแล้ว และเอาวิชานี้ไปดวลกับนักวรยุทธ์ญี่ปุ่นชนะได้สำเร็จ ฉากที่ตลกก็คือพอถึงวันดวลนักวรยุทธ์ญี่ปุ่นเห็นท่าเคลื่อนไหวตัวพระเอกแล้วบอกว่า "เฮ้ยเอ็งเมาทำไมไม่ไปนอนก่อนวะ" พระเอกก็บอกว่า "ข้าสู้ทั้งยังงี้แหละไว้ย" พอชาวญี่ปุ่นออกอาวุธมาเป็นชุดมันกลายเป็นว่าอาวุธเหล่านั้นสัมผัสกับความว่างเปล่าเพราะท่าเมาของพระเอกมันพริ้วหลบอาวุธได้หมดเลย555
^
พอดูหนังจีนเรื่องนี้แล้วเรากลายเป็นเลื่อมใสยอดฝีมือที่ฉลาดแต่แกล้งโง่แกล้งบ้ามากกว่าเลื่อมใสพวกฝรั่งที่เป็นนักศึกษาวิชาปรัชญาจาก University of Cambridge ที่ไปนั่ง philosophize แข่งกันเพื่ออวดภูมิปัญญากัน เราจึงเบนเข็มไปเป็นศึกษาปรัชญาเต๋าของจีนซะแทน
ที่สนุกก็คือตอนอ่านประวัติของจางซานฟง เขาฝึกวรยุทธ์จนใกล้จะเป็นเซียน
“เขาแกล้งบ้าเพื่ออำพรางวรยุทธ์ของเขา”
คำสอนปรัชญาตะวันออกพวกนี้เขียนเป็น paradoxes ที่เข้าใจยากมากๆ ปราชญ์โบราณของจีนมักจะเขียนคำสอนวิชาขั้นสุดยอดเหมือนคนสติไม่ดีเขียน ถ้าเขียนใน pantip ก็จะโดนคนตั้งหลายพันคนรุมด่าหาว่า "เหลวไหล" และจะมีคนตั้งหลายพันคนกด "ขำกลิ้ง" กับกด "สยอง"5555
^
ปราชญ์จีน "แกล้งบ้ากับแกล้งโง่ตอนเขียนคัมภีร์โบราณอันมีค่า เพื่อไม่ให้คนที่สมองคิดตื้นๆและมีอคติได้วิชาดีๆไป" ซึ่งเป็นอะไรที่น่าประทับใจมากๆสำหรับเรา
และช่วงหลังๆเราเริ่มศึกษาปรัชญาฮินดู เพราะมันคล้ายกับปรัชญาเต๋า และศาสตร์ 2 อย่างนี้มีความสัมพันธ์กับการแพทย์ชั้นสูงของจีนกับอินเดีย ส่วนวิชา western philosophy ที่เหลือซากในสมองเรา มันเหลือแค่ส่วนน้อยๆของมัน คือวิชา logic เท่านั้นเอง
เราศึกษาคัมภีร์โบราณของเต๋า เพื่อพยายามเปลี่ยน cells ร่างกายและสมองเราแบบ biological transmutation ซึ่งในคัมภีร์เค้าอ้างว่า "ถ้าฝึกตั้งแต่เด็กๆจะไม่มีวันแก่เฒ่า หรือถ้าผู้สูงอายุฝึกแล้วจะกลับเป็นเด็กได้" ซึ่งจะจริงเท็จอย่างไรเราก็ยังพิสูจน์ไม่ได้ ก็ต้องค่อยๆฝึกไปแล้วดูผลระยะยาว
ตอนนี้เราฝึกได้ถึงขั้นแค่เมื่ออายุมากๆเรายังสุขภาพดีและสมองยังคิดได้ไว แต่คงอีกไกลกว่าเราจะบรรลุเป็นเซียนได้ ตอนนี้เราใช้ปรัชญาจีนในการทำงาน คือเราทำงานแปลเอกสาร
นักแปลอายุมากๆได้เปรียบนักแปลอายุน้อยๆด้านความรู้และประสบการณ์ แต่เสียเปรียบที่สมองคนแก่มันช้า ถ้าทำงานแปลที่ยากๆเร่งๆด่วนๆบางทีเส้นเลือดในสมองแตกตาย หรือเป็นอัลไซเมอร์ หรือสมองล้าหรือถึงกับเลอะเลือนเครียดจนเสียสุขภาพได้ หากแต่เราไม่มีข้อเสียเปรียบแบบนี้เลย เพราะเรายิ่งอายุมากขึ้นเรื่อยๆแต่ร่างกายเรายังเคลื่อนไหวได้รวดเร็ว ยืดหยุ่น แม่นยำ และทรงพลัง อีกทั้งสมองเรากลายเป็นคิดค้นและเรียนรู้ได้ไวมากขึ้นเรื่อยๆซึ่งสวนทางกับผู้สูงอายุโดยทั่วๆไป
เราภูมิใจมากๆที่เราเคยแปะแนวคิดเรื่องสุขภาพที่เป็น paradoxes ใน pantip แล้วโดนคนอ่านตั้งหลายร้อย (อาจถึงพันคน) หัวเราะเยาะหาว่า "ไร้สาระ" แล้วกด "ขำกลิ้ง" กับกด "สยอง" ให้เรา จนถึงกับมีคนไปเปิด facebook เพื่อรุมด่าเราเรื่องความโง่และความไร้สาระของเรา
^
แต่เรายืนยันว่าแนวคิดเรื่องโง่ๆที่ไร้สาระของเรา ที่เราเคยเขียนหรือตอบกระทู้ใน pantip ช่วยดูแลสุขภาพเราได้เป็นอย่างดีเยี่ยม และทำให้เราประสบความสำเร็จทางด้านการเงินได้เป็นอย่างมากอีกด้วย โดยที่เราเริ่มตีความคำสอนบางอย่างของเต๋าได้ว่าจะใช้ the law of attraction (กฎแห่งแรงดึงดูด) ให้ได้เงินและสิ่งที่ดีๆให้เข้ามาในชีวิตเราได้ยังไง
^
เมื่อปีที่แล้วตอนเรามีรายได้น้อยเพราะโดนผลกระทบทางด้านการเมือง (mobs ชน mobs กับรัฐประหารทำให้งานแปลเราลดลง เพราะลูกค้าเราย้ายฐานการลงทุนและการผลิตหนีจากไทยไปประเทศเพื่อนบ้าน) เราเลยพยายามหางานแปลเพิ่ม และไปเยือน websites หลายๆแห่ง ของบริษัทหลายๆบริษัท แล้วแค่คิดว่าเราอยากได้งานจากบริษัทเหล่านี้ แล้วแปลกแต่จริงที่ อยู่ดีๆ 2 ในหลายๆบริษัทที่เราไปเยือน websites พวกเค้า "ติดต่อเรามาเองและเอางานมาให้เราทำ" ฟังดูแล้วเหลือเชื่อมากๆ แต่มันเป็นไปได้เพราะพวกเค้ารู้ email address กับเบอร์โทรเรา จากคนที่เรารู้จัก มันเป็น connections ที่มหัศจรรย์สุดๆ ที่เราพอจะอธิบายได้ แต่ก็ไม่อยากเขียนเรื่องพวกนี้ใน pantip ให้โดนคนรุมด่าอีก เพราะไม่อยากเสียเวลา
ตอนนี้เราใช้ชีวิตอย่างมีความสุขมากๆ แล้วก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มๆอย่างดีใจที่แนวคิดเราซึ่งทำให้เราโดนคนตั้งเป็นพันๆคนรุมด่า (paradoxes ของเต๋าสอนให้เราคิดอะไรไม่เหมือนชาวบ้านเค้า) กลายเป็นทำให้เราประสบความสำเร็จอย่างงดงาม คือเราทำงานแค่นิดเดียวแต่ก็มีเงินใช้เหลือเฟือ อยากกินอะไร อยากเที่ยวที่ไหน หรืออยากซื้อข้าวของอะไรฟุ่มเฟือยก็ย่อมทำได้ แต่เรากลายเป็นมักจะใช้เวลาอยู่กับบ้าน และเอาเวลาว่างไปเรียนรู้ esoteric arts (ศาสตร์เร้นลับ) ต่อไปเรื่อยๆอย่างไม่หยุดยั้ง
^
ปรัชญาคุณกับปรัชญาเราอาจคุยกันไม่รู้เรื่องก็ได้555
ครั้งแรกในชีวิตที่สัมผัสกับปรัชญาก็คือ เราไปเจอพวกนักศึกษาจาก colleges ต่างๆของ University of Cambridge ใส่เสื้อครุยดำๆ (พวกเค้าใส่เสื้อครุยเดินเล่นทุกวัน ไม่ใช่ใส่แต่รับปริญญาเหมือนคนไทย) จับกลุ่มกันใน pub ริมแม่น้ำ Cam (เมืองนี้ชื่อ Cambridge เพราะมีแม่น้ำ Cam + สะพานคือ bridge ยังไงล่ะ ก็เลยกลายเป็น Cambridge) แล้ว philosophize กัน...(เราได้ยินแว่วๆว่าพวกเขาคุยกันเรื่องแนวคิดของ Socrates, Plato, Aristotle และพวกปราชญ์แนวนี้อีกหลายคน) นักศึกษาพวกนี้อวดภูมิด้านปรัชญาแข่งกันว่าใครจะ intellectual มากกว่ากัน...ตอนนั้นเราอายุ 17 พำนักอาศัยในนคร Cambridge ประเทศอังกฤษ
^
เราอยากฉลาดแบบพวกเค้าเราจึงไปซื้อตำราปรัชญาแนวตะวันตกมาอ่านแบบพวกเค้า
แล้วอยู่มาวันหนึ่งเราไปดูหนังจีน ในเนื้อเรื่องพระเอกคนจีนกำลังจะดวลกับนักวรยุทธ์ญี่ปุ่น พระเอกเลยไปหายอดฝีมือเพื่อเรียนวรยุทธ์เพิ่มเติม แต่พอเห็นสำนักวรยุทธ์ที่โอ่อ่า พระเอกไม่สน กลายเป็นหันไปมองขอทานที่นอนเมาอยู่ข้างทาง แล้วเผอิญเพื่อนพระเอกไปเตะขอทาน แต่ขอทานขณะทำท่ากลัวขณะหลบหลีกการโดนเตะต่อย พระเอก "ตาแหลม" มองรู้ว่าขอทานคนนี้เป็นยอดฝีมือแปลงร่างมา พระเอกจึงบอกให้เพื่อนเข้าไปยั่วขอทานอีก คราวนี้ขอทานเอาจริงขณะทำท่ากลัว แต่เคลื่อนไหวตัวแบบกึ่งคนเมากึ่งคนบ้า แกล้งเตะต่อยและออกอาวุธอื่นออกมาเป็นชุด แบบตั้งใจอำพรางว่า "ตัวเองไม่รู้วรยุทธ์แต่บังเอิญฟลุ๊กเตะต่อยโดนเป้า" แต่โดนเพื่อนพระเอกกระเด็นล้มไปหมด ซึ่งในขณะนั้นพระเอกแอบเรียนเพลงยุทธ์วิชาหมัดเมาจากขอทานไปเรียบร้อยแล้ว และเอาวิชานี้ไปดวลกับนักวรยุทธ์ญี่ปุ่นชนะได้สำเร็จ ฉากที่ตลกก็คือพอถึงวันดวลนักวรยุทธ์ญี่ปุ่นเห็นท่าเคลื่อนไหวตัวพระเอกแล้วบอกว่า "เฮ้ยเอ็งเมาทำไมไม่ไปนอนก่อนวะ" พระเอกก็บอกว่า "ข้าสู้ทั้งยังงี้แหละไว้ย" พอชาวญี่ปุ่นออกอาวุธมาเป็นชุดมันกลายเป็นว่าอาวุธเหล่านั้นสัมผัสกับความว่างเปล่าเพราะท่าเมาของพระเอกมันพริ้วหลบอาวุธได้หมดเลย555
^
พอดูหนังจีนเรื่องนี้แล้วเรากลายเป็นเลื่อมใสยอดฝีมือที่ฉลาดแต่แกล้งโง่แกล้งบ้ามากกว่าเลื่อมใสพวกฝรั่งที่เป็นนักศึกษาวิชาปรัชญาจาก University of Cambridge ที่ไปนั่ง philosophize แข่งกันเพื่ออวดภูมิปัญญากัน เราจึงเบนเข็มไปเป็นศึกษาปรัชญาเต๋าของจีนซะแทน
ที่สนุกก็คือตอนอ่านประวัติของจางซานฟง เขาฝึกวรยุทธ์จนใกล้จะเป็นเซียน
“เขาแกล้งบ้าเพื่ออำพรางวรยุทธ์ของเขา”
คำสอนปรัชญาตะวันออกพวกนี้เขียนเป็น paradoxes ที่เข้าใจยากมากๆ ปราชญ์โบราณของจีนมักจะเขียนคำสอนวิชาขั้นสุดยอดเหมือนคนสติไม่ดีเขียน ถ้าเขียนใน pantip ก็จะโดนคนตั้งหลายพันคนรุมด่าหาว่า "เหลวไหล" และจะมีคนตั้งหลายพันคนกด "ขำกลิ้ง" กับกด "สยอง"5555
^
ปราชญ์จีน "แกล้งบ้ากับแกล้งโง่ตอนเขียนคัมภีร์โบราณอันมีค่า เพื่อไม่ให้คนที่สมองคิดตื้นๆและมีอคติได้วิชาดีๆไป" ซึ่งเป็นอะไรที่น่าประทับใจมากๆสำหรับเรา
และช่วงหลังๆเราเริ่มศึกษาปรัชญาฮินดู เพราะมันคล้ายกับปรัชญาเต๋า และศาสตร์ 2 อย่างนี้มีความสัมพันธ์กับการแพทย์ชั้นสูงของจีนกับอินเดีย ส่วนวิชา western philosophy ที่เหลือซากในสมองเรา มันเหลือแค่ส่วนน้อยๆของมัน คือวิชา logic เท่านั้นเอง
เราศึกษาคัมภีร์โบราณของเต๋า เพื่อพยายามเปลี่ยน cells ร่างกายและสมองเราแบบ biological transmutation ซึ่งในคัมภีร์เค้าอ้างว่า "ถ้าฝึกตั้งแต่เด็กๆจะไม่มีวันแก่เฒ่า หรือถ้าผู้สูงอายุฝึกแล้วจะกลับเป็นเด็กได้" ซึ่งจะจริงเท็จอย่างไรเราก็ยังพิสูจน์ไม่ได้ ก็ต้องค่อยๆฝึกไปแล้วดูผลระยะยาว
ตอนนี้เราฝึกได้ถึงขั้นแค่เมื่ออายุมากๆเรายังสุขภาพดีและสมองยังคิดได้ไว แต่คงอีกไกลกว่าเราจะบรรลุเป็นเซียนได้ ตอนนี้เราใช้ปรัชญาจีนในการทำงาน คือเราทำงานแปลเอกสาร
นักแปลอายุมากๆได้เปรียบนักแปลอายุน้อยๆด้านความรู้และประสบการณ์ แต่เสียเปรียบที่สมองคนแก่มันช้า ถ้าทำงานแปลที่ยากๆเร่งๆด่วนๆบางทีเส้นเลือดในสมองแตกตาย หรือเป็นอัลไซเมอร์ หรือสมองล้าหรือถึงกับเลอะเลือนเครียดจนเสียสุขภาพได้ หากแต่เราไม่มีข้อเสียเปรียบแบบนี้เลย เพราะเรายิ่งอายุมากขึ้นเรื่อยๆแต่ร่างกายเรายังเคลื่อนไหวได้รวดเร็ว ยืดหยุ่น แม่นยำ และทรงพลัง อีกทั้งสมองเรากลายเป็นคิดค้นและเรียนรู้ได้ไวมากขึ้นเรื่อยๆซึ่งสวนทางกับผู้สูงอายุโดยทั่วๆไป
เราภูมิใจมากๆที่เราเคยแปะแนวคิดเรื่องสุขภาพที่เป็น paradoxes ใน pantip แล้วโดนคนอ่านตั้งหลายร้อย (อาจถึงพันคน) หัวเราะเยาะหาว่า "ไร้สาระ" แล้วกด "ขำกลิ้ง" กับกด "สยอง" ให้เรา จนถึงกับมีคนไปเปิด facebook เพื่อรุมด่าเราเรื่องความโง่และความไร้สาระของเรา
^
แต่เรายืนยันว่าแนวคิดเรื่องโง่ๆที่ไร้สาระของเรา ที่เราเคยเขียนหรือตอบกระทู้ใน pantip ช่วยดูแลสุขภาพเราได้เป็นอย่างดีเยี่ยม และทำให้เราประสบความสำเร็จทางด้านการเงินได้เป็นอย่างมากอีกด้วย โดยที่เราเริ่มตีความคำสอนบางอย่างของเต๋าได้ว่าจะใช้ the law of attraction (กฎแห่งแรงดึงดูด) ให้ได้เงินและสิ่งที่ดีๆให้เข้ามาในชีวิตเราได้ยังไง
^
เมื่อปีที่แล้วตอนเรามีรายได้น้อยเพราะโดนผลกระทบทางด้านการเมือง (mobs ชน mobs กับรัฐประหารทำให้งานแปลเราลดลง เพราะลูกค้าเราย้ายฐานการลงทุนและการผลิตหนีจากไทยไปประเทศเพื่อนบ้าน) เราเลยพยายามหางานแปลเพิ่ม และไปเยือน websites หลายๆแห่ง ของบริษัทหลายๆบริษัท แล้วแค่คิดว่าเราอยากได้งานจากบริษัทเหล่านี้ แล้วแปลกแต่จริงที่ อยู่ดีๆ 2 ในหลายๆบริษัทที่เราไปเยือน websites พวกเค้า "ติดต่อเรามาเองและเอางานมาให้เราทำ" ฟังดูแล้วเหลือเชื่อมากๆ แต่มันเป็นไปได้เพราะพวกเค้ารู้ email address กับเบอร์โทรเรา จากคนที่เรารู้จัก มันเป็น connections ที่มหัศจรรย์สุดๆ ที่เราพอจะอธิบายได้ แต่ก็ไม่อยากเขียนเรื่องพวกนี้ใน pantip ให้โดนคนรุมด่าอีก เพราะไม่อยากเสียเวลา
ตอนนี้เราใช้ชีวิตอย่างมีความสุขมากๆ แล้วก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มๆอย่างดีใจที่แนวคิดเราซึ่งทำให้เราโดนคนตั้งเป็นพันๆคนรุมด่า (paradoxes ของเต๋าสอนให้เราคิดอะไรไม่เหมือนชาวบ้านเค้า) กลายเป็นทำให้เราประสบความสำเร็จอย่างงดงาม คือเราทำงานแค่นิดเดียวแต่ก็มีเงินใช้เหลือเฟือ อยากกินอะไร อยากเที่ยวที่ไหน หรืออยากซื้อข้าวของอะไรฟุ่มเฟือยก็ย่อมทำได้ แต่เรากลายเป็นมักจะใช้เวลาอยู่กับบ้าน และเอาเวลาว่างไปเรียนรู้ esoteric arts (ศาสตร์เร้นลับ) ต่อไปเรื่อยๆอย่างไม่หยุดยั้ง
แสดงความคิดเห็น
วิชาปรัชญา เรียนจบไปทำงานอะไรคะ?