[หนังโรงเรื่องที่ 125] Joy/เธอสู้เพื่อฝัน ; (David O. Russell,2015)
คะแนน : 7/10
เรื่องย่อ : จอย (Jennifer Lawrence)แม่บ้านชีวิตโคตรอาภัพลูกสองต้องเผชิญกับอภิมหาปัญหาต่างๆที่รายล้อมเข้ามาไม่ว่าจะเป็นสถานะครอบครัวที่ง่อนแง่นซับซ้อนและปัญหาทางการเงินที่ชักหน้าไม่ถึงหลัง กระนั้นเธอก็ยังมีแรงบันดาลใจในการประดิษฐ์ของใช้ใหม่ๆออกมาโดยหวังว่าจะเป็นโอกาสที่เธอและครอบครัวจะลืมตาอ้าปากได้ เป็นหนังดราม่าของนางเอกสู้ชีวิตนั่นแหละ
โอเค คือรู้สึกผิดเลยที่ตั้งความหวังกับหนังไว้สูงมากตอนที่ได้เห็นตัวอย่างหนังครั้งแรกซึ่งให้ฟีลลิ่งแบบ 'ว้าว เจนลอวจะได้เล่นบทดราม่าเท่ๆอีกแล้ว' แต่เอาเข้าจริงๆหนังกลับทำให้เราผิดหวังมากกก กับการเดินเรื่องที้แหม่งๆไม่สมูธกับบทพูดของตัวละครที่น้ำเน่าโคตรๆ ออกมาเป็นผลลัพย์ที่น่าอดสูเหลือเกิน
แค่ช่วงต้นเรื่องที่หนังพยายามจะปูให้เราเข้าไปรู้จักกับ 'ความประหลาด' ของครอบครัวตัวเองแบบติดตลกนั้นก็พังไม่เป็นท่าแล้ว คือหนังให้ความรู้สึกไม่เป็นธรรมชาติตั้งแต่ช่วงต้นเรื่องที่เล่าถึงภาระของบ้านนางเอก ซึ่งจะมีสมาชิกอยู่หลายคนอาทิเช่น แม่ที่วันๆดูแต่ละครไม่ทำมาหากินอะไรเลย, สามีเก่าที่หย่ากันไปสองปีแล้ว, ยายนางเอกที่เหมือนหลุดมาจากหนังดิสนี่ย์ซักเรื่อง แล้วก็ลูกสาวลูกชายมาเป็นตัวประกอบ A/B อีกสองคน ซึ่งแม่จอยนี่ก็ต้องรับผิดชอบทุกอย่างตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ เรียกได้ว่าสตรองไม่มีหยุดหย่อน
ซึ่งขอบอกว่าครึ่งชั่วโมงแรกของหนังนั้นเอาคนดูไม่อยู่เลยซักนิด คือเกิดอาการน้ำท่วมทุ่งแบบน่าหงุดหงิดใจเป็นที่สุด (หันไปดูคนข้างๆก็ยันคางจะหลับแล้ว) เหมือนหนังพยายามยืดเรื่องของตัวเองด้วยการอ้อมประเด็นหลักไปทางซ้ายทีขวาทีปนกับการใช้แฟลชแบคบ้างเป็นครั้งคราว กว่าจะเข้าสู่ช่วงพลิกชีวิตของนางเอกก็ปาเข้าไปค่อนชั่วโมงแล้ว ซึงช่วงที่นางเริ่มประดิษฐ์-ผลิตสินค้าของตัวเองนี่กอบกู้ชีวิตหนังได้ดีขึ้นเยอะโขเลย คือเป็นโมเม้นต์ที่เพลิดเพลินได้กับการที่ได้เห็นพัฒนาการของนางเอกเรื่อยๆ จนมันมาแป้กอีกรอบตอนช่วงท้ายเรื่องนี่แหละ
ประเด็นที่ผู้เขียนรู้สึกอี๋ที่สุดเลยคือความน้ำเน่าของบทหนังในเรื่องนี่แหละ คือในหลายๆฉาก(เกือบทุกฉาก)มันจะมีบทพูดที่พอเราได้ยินแล้วจะคิ้วขมวดเลย เป็นความรู้สึกว่า "เฮ้ย เอ็งจะพูดแบบนี้จริงดิ?" ซึ่งมันไม่เมคเซนส์อะไรเลย อาทิในบางฉากเช่นตอนพิธีกรชายเอาสินค้าของเธอไปสาธิตบนทีวีแล้วนางใช้ไม่เป็น คือมันซวยแบบไม่เป็นเป็นเหตุเป็นผลเอาซะเลยกับการที่พิธีกรนักขายมืออาชีพจะไม่หัดใช้สินค้าไปก่อนจะขึ้นเวที คือเหมือนหนังแค่หาเรื่องสาดความพินาศมาให้นางเอกต้องโชว์ดราม่าเฉยๆซะงั้น โดยเฉพาะสิ่งที่น่าผิดหวังที่สุดคือบทพูดจากพ่อของจอยอย่าง 'รูดี้' (Robert De Niro)ในตอนท้ายเรื่องที่ได้ยินแล้วต้องกลอกตารัวๆ
เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ ต้องมาเผชิญกับความพินาศอีกครั้งกับความพยายามจะเล่นบทดราม่าควีน หลังจากหนังเรื่องก่อนอย่าง Serena ที่พังไม่เป็นท่าเช่นกัน แต่ถึงกระนั้นนางก็ยังสวยได้ทุกสถานการณ์ไม่ว่าจะเป็นบทแม่ลูกสองสู้ชีวิตจนไปถึงเถ้าแก่เนียะของธุรกิจอันใหญ่โต (ยกเว้นฉากเมคอัพตอนขึ้นเวทีครั้งแรกนี่ทรามมาก อยากจะเรียกคนแต่งหน้ามาแบ็กแฮนด์ท้ายคอร์ท) คือตอนนี้มีความรู้สึกเหมือนเจนลอวกำลังถลำลึกไปในวิถีคล้ายๆกับนิโคลัส เคจ ที่รับบทแต่หนังดับๆมาจนปัจจุบันแทบจะไม่มีหนังดีๆให้เล่นแล้ว บางทีนางควรจะเบรกกับทางสายนี้ซักพักก็ดี
Joy เป็นหนังดราม่าที่มีรูปแบบเดินเรื่องที่ไม่ค่อยจะราบรื่นเท่าไหร่ แต่ตัวหนังเองก็ยังมีช่วงสนุกให้เราได้ติดตามได้บ้างจากความทรหดของ ประกอบกับหน้าสวยๆกับแอคติ้งหนักๆของเจนลอวก็อาจจะพอเป็นตัวเลือกรองๆเวลาไม่มีหนังจะดูก็ยังพอไหว
หากชื่นชอบรีวิวสามารถติดตามเพจได้ที่
https://www.facebook.com/expensivemovie หรือค้นหาคำว่า "ตั๋วหนังมันแพง" ได้ที่หน้า FB ครับ ...
[หนังโรงเรื่องที่ 125] Joy/เธอสู้เพื่อฝัน by ตั๋วหนังมันแพง
[หนังโรงเรื่องที่ 125] Joy/เธอสู้เพื่อฝัน ; (David O. Russell,2015)
คะแนน : 7/10
เรื่องย่อ : จอย (Jennifer Lawrence)แม่บ้านชีวิตโคตรอาภัพลูกสองต้องเผชิญกับอภิมหาปัญหาต่างๆที่รายล้อมเข้ามาไม่ว่าจะเป็นสถานะครอบครัวที่ง่อนแง่นซับซ้อนและปัญหาทางการเงินที่ชักหน้าไม่ถึงหลัง กระนั้นเธอก็ยังมีแรงบันดาลใจในการประดิษฐ์ของใช้ใหม่ๆออกมาโดยหวังว่าจะเป็นโอกาสที่เธอและครอบครัวจะลืมตาอ้าปากได้ เป็นหนังดราม่าของนางเอกสู้ชีวิตนั่นแหละ
โอเค คือรู้สึกผิดเลยที่ตั้งความหวังกับหนังไว้สูงมากตอนที่ได้เห็นตัวอย่างหนังครั้งแรกซึ่งให้ฟีลลิ่งแบบ 'ว้าว เจนลอวจะได้เล่นบทดราม่าเท่ๆอีกแล้ว' แต่เอาเข้าจริงๆหนังกลับทำให้เราผิดหวังมากกก กับการเดินเรื่องที้แหม่งๆไม่สมูธกับบทพูดของตัวละครที่น้ำเน่าโคตรๆ ออกมาเป็นผลลัพย์ที่น่าอดสูเหลือเกิน
แค่ช่วงต้นเรื่องที่หนังพยายามจะปูให้เราเข้าไปรู้จักกับ 'ความประหลาด' ของครอบครัวตัวเองแบบติดตลกนั้นก็พังไม่เป็นท่าแล้ว คือหนังให้ความรู้สึกไม่เป็นธรรมชาติตั้งแต่ช่วงต้นเรื่องที่เล่าถึงภาระของบ้านนางเอก ซึ่งจะมีสมาชิกอยู่หลายคนอาทิเช่น แม่ที่วันๆดูแต่ละครไม่ทำมาหากินอะไรเลย, สามีเก่าที่หย่ากันไปสองปีแล้ว, ยายนางเอกที่เหมือนหลุดมาจากหนังดิสนี่ย์ซักเรื่อง แล้วก็ลูกสาวลูกชายมาเป็นตัวประกอบ A/B อีกสองคน ซึ่งแม่จอยนี่ก็ต้องรับผิดชอบทุกอย่างตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ เรียกได้ว่าสตรองไม่มีหยุดหย่อน
ซึ่งขอบอกว่าครึ่งชั่วโมงแรกของหนังนั้นเอาคนดูไม่อยู่เลยซักนิด คือเกิดอาการน้ำท่วมทุ่งแบบน่าหงุดหงิดใจเป็นที่สุด (หันไปดูคนข้างๆก็ยันคางจะหลับแล้ว) เหมือนหนังพยายามยืดเรื่องของตัวเองด้วยการอ้อมประเด็นหลักไปทางซ้ายทีขวาทีปนกับการใช้แฟลชแบคบ้างเป็นครั้งคราว กว่าจะเข้าสู่ช่วงพลิกชีวิตของนางเอกก็ปาเข้าไปค่อนชั่วโมงแล้ว ซึงช่วงที่นางเริ่มประดิษฐ์-ผลิตสินค้าของตัวเองนี่กอบกู้ชีวิตหนังได้ดีขึ้นเยอะโขเลย คือเป็นโมเม้นต์ที่เพลิดเพลินได้กับการที่ได้เห็นพัฒนาการของนางเอกเรื่อยๆ จนมันมาแป้กอีกรอบตอนช่วงท้ายเรื่องนี่แหละ
ประเด็นที่ผู้เขียนรู้สึกอี๋ที่สุดเลยคือความน้ำเน่าของบทหนังในเรื่องนี่แหละ คือในหลายๆฉาก(เกือบทุกฉาก)มันจะมีบทพูดที่พอเราได้ยินแล้วจะคิ้วขมวดเลย เป็นความรู้สึกว่า "เฮ้ย เอ็งจะพูดแบบนี้จริงดิ?" ซึ่งมันไม่เมคเซนส์อะไรเลย อาทิในบางฉากเช่นตอนพิธีกรชายเอาสินค้าของเธอไปสาธิตบนทีวีแล้วนางใช้ไม่เป็น คือมันซวยแบบไม่เป็นเป็นเหตุเป็นผลเอาซะเลยกับการที่พิธีกรนักขายมืออาชีพจะไม่หัดใช้สินค้าไปก่อนจะขึ้นเวที คือเหมือนหนังแค่หาเรื่องสาดความพินาศมาให้นางเอกต้องโชว์ดราม่าเฉยๆซะงั้น โดยเฉพาะสิ่งที่น่าผิดหวังที่สุดคือบทพูดจากพ่อของจอยอย่าง 'รูดี้' (Robert De Niro)ในตอนท้ายเรื่องที่ได้ยินแล้วต้องกลอกตารัวๆ
เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ ต้องมาเผชิญกับความพินาศอีกครั้งกับความพยายามจะเล่นบทดราม่าควีน หลังจากหนังเรื่องก่อนอย่าง Serena ที่พังไม่เป็นท่าเช่นกัน แต่ถึงกระนั้นนางก็ยังสวยได้ทุกสถานการณ์ไม่ว่าจะเป็นบทแม่ลูกสองสู้ชีวิตจนไปถึงเถ้าแก่เนียะของธุรกิจอันใหญ่โต (ยกเว้นฉากเมคอัพตอนขึ้นเวทีครั้งแรกนี่ทรามมาก อยากจะเรียกคนแต่งหน้ามาแบ็กแฮนด์ท้ายคอร์ท) คือตอนนี้มีความรู้สึกเหมือนเจนลอวกำลังถลำลึกไปในวิถีคล้ายๆกับนิโคลัส เคจ ที่รับบทแต่หนังดับๆมาจนปัจจุบันแทบจะไม่มีหนังดีๆให้เล่นแล้ว บางทีนางควรจะเบรกกับทางสายนี้ซักพักก็ดี
Joy เป็นหนังดราม่าที่มีรูปแบบเดินเรื่องที่ไม่ค่อยจะราบรื่นเท่าไหร่ แต่ตัวหนังเองก็ยังมีช่วงสนุกให้เราได้ติดตามได้บ้างจากความทรหดของ ประกอบกับหน้าสวยๆกับแอคติ้งหนักๆของเจนลอวก็อาจจะพอเป็นตัวเลือกรองๆเวลาไม่มีหนังจะดูก็ยังพอไหว
หากชื่นชอบรีวิวสามารถติดตามเพจได้ที่ https://www.facebook.com/expensivemovie หรือค้นหาคำว่า "ตั๋วหนังมันแพง" ได้ที่หน้า FB ครับ ...