เริ่มต้นทริปนี้อย่างง่ายๆ ด้วยการเห็นน้องที่ออฟฟิศโพสต์ภาพที่พักภาพนี้ ภาพเดียวเลย
โอ้วววววววว นี่มันที่พักแนวเต้นท์ แค้มปิ้ง อยากที่ฝันไว้เลย จะไปๆๆๆ
ว่าแล้วก็รีบคลิกหาห้องว่างว่าอาทิตย์หน้ามีมั้ยใน booking.com
โชคดีสุดๆที่มีว่างพอดี รีบคลิกจองเลย ก่อนอด
บึ่งรถจากปากเกร็ด ขึ้นทางด่วนยาวๆ มาลงเชียงราก ผ่าน มธ.รังสิต แล้วเลี้ยวมาทางสระบุรี
ขับเข้าทางลัดมาเขาใหญ่ตรงซอยข้างๆแดรี่ฟาร์ม เพียงไม่ถึงสองชั่วโมง ก็ถึงแล้วจ้า เขาใหญ่
และนี่คือที่ที่เราจะเอนกาย พักร่างนิทราในคืนนี้ .. Lala Mukha Tented Resort
ชื่อก็พอจะบ่งบอกถึงกลิ่นอายของแคมปิ้ง และป่าซาฟารี ซึ่งพอมาเห็นสถานที่จริง
ด้วยโลเคชั่น บรรยากาศ และรายละเอียดทุกอย่างที่เค้าบรรจงจำลองมา ต้องบอกว่า..มันใช่ยิ่งกว่าใช่
ถูกใจ ไลค์เลย ไปทุกส่วน
ตั้งแต่โซนต้อนรับ
ชอบเจ้าม้าลายหน้ายาวนี่มากเลย
รับกระเป๋ายังชีพ เมื่อมีกระเป๋านี้ จึงจะมีชีวิตอยู่รอดได้ในลาลามูก้า (จริงจริ๊ง ไม่มีอยู่ไม่ได้จริงๆนะเอ้า)
ประกอบด้วย แผนผังรีสอร์ท(พกไว้จะได้ไม่หลง) คีย์การ์ด(ไว้แตะผ่านประตูโซนที่พักที่ห้ามคนนอกเข้า)
กุญแจเต๊นท์+การ์ดเปิด(ไว้ล็อกเต๊นท์) Ear Plug(ไว้อุดหูเผื่อเต๊นท์ข้างๆส่งเสียงดัง เพราะเต๊นท์อาจเก็บเสียง
สู้ห้องพักทั่วไปไม่ได้) โลชั่นกันยุง(กันยุงหาม)
หลังอบรมเรื่องกฏ กติกาต่างๆ คล้ายๆเวลาไปแคมปิ้ง (ชอบจัง รู้สึกเหมือนได้ผจญภัยนิดๆ)
พนักงานก็จะขับรถมาส่งที่เต๊นท์ จริงๆพาเดินไปก็ได้ แต่ถ้าคนไม่ชอบเดินหรือสัมภาระเยอะ
ก็นั่งมาเถอะ เพราะรีสอร์ทพื้นที่ค่อนข้างกว้างมากๆ
ที่นี่มีประตูกั้นเข้าโซนที่พักอยู่ 2 จุด ที่ต้องใช้คีย์การ์ดแตะเพื่อเข้าออก คนนอกที่แวะมาทานอาหาร
หรือชะโงกทัวร์แวะมาถ่ายภาพหมดสิทธิ์เข้า บรรยากาศจึงค่อนข้างสงบเป็นส่วนตั๊ว ส่วนตัว
มาถึงแล้วโซนที่พัก แค่ด้านหน้า ยังไม่เปิดเข้าเต๊นท์ไป ก็โดนใจจั๊ดนัก ได้บรรยากาศแค้มปิ้งสุดๆ
สวยจนอดใจไม่ไหว ก่อนสำรวจเต๊นท์หรือทำอะไร ต้องตั้งกล้องแชะก่อนหลายๆมุม
ไล่สำรวจไปจากด้านนอก มีเก้าอี้สนามและพื้นที่นั่งเล่น และตะเกียงไฟฟ้าหน้าบ้าน
ด้านใน มีครบทุกอย่างที่ต้องการในเต๊นท์นี้ โซฟาเบด ทีวี แอร์ ตู้เย็น ไปจนถึงตู้เซฟ ฯลฯ
ที่ฟินสุดคือ ชา กาแฟ ผลไม้ ถั่ว ขนม และน้ำทุกอย่างในตู้เย็นที่เห็นทั้งหมดนี้ กินได้ฟรีๆๆ
ไม่มีค่ามินิบาร์ ยอดเยี่ยม ได้ใจไปโลด
ในห้องยังมี Props หมวกให้ยืมใส่ถ่ายรูปและกันแดด และถุงผ้าเก๋ไก๋ให้ยืมใช้ใส่ของ รึขนอุปกรณ์ไปอาบน้ำด้วย เวิร์คมาก
ผ้าขนหนู ทั้งผ้าขนหนูอาบน้ำ ใช้ที่สระน้ำ รองเท้าแตะ ร่ม พร้อมมมม
เตียงก็นุ่มฟู น่านอน หัวเตียงแต่งได้บรรยากาศอยู่ในป่าซาฟารีดีจริง
เต๊นท์เราเป็นเต๊นท์แบบสุพีเรียร์ ใช้ห้องน้ำรวม ราคาอยู่ที่ 2835 - 3240 บาท แล้วแต่ซีซั่น
จะว่าไปก่อนจองก็ลังเลใจอยู่นานเรื่อง ห้องน้ำรวม นี่ล่ะ เพราะเคยไปหลายๆที่ ประสบการณ์ไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่
แต่เมื่อมาเห็นห้องน้ำรวมที่นี่ บอกเลยว่าสบายใจมากกกก
แบ่งโซนหญิง ชาย ชัดเจน ด้านบนเป็นโซนหญิง ส่วนนี่เป็นโซนท่านชาย
เข้ามาด้านในจะเจอโซนอ่างล้างหน้าก่อน
ฝั่งซ้ายเป็นห้องน้ำ ฝั่งขวาเป็นห้องอาบน้ำและห้องแต่งตัว
หน้าตาห้องน้ำ
มีที่วางของกว้างขวาง ไว้วางอุปกรณ์ที่เตรียมมาอาบน้ำด้านหลัง ระหว่างปลดทุกข์หนัก เบา (อธิบายละเอียดไปมั้ยน่ะ 55)
มาดูห้องอาบน้ำบ้าง
ครีมอาบน้ำ แชมพูพร้อม น้ำอุ่นร้อนไวดีมาก
ใครไม่อยากอาบเดี่ยวเดียวดายในห้องน้ำ จะมาอาบโชว์โซนโอเพ่นแอร์ด้านนอกก็ได้นะจ๊ะ
เอ่อ แต่เราไม่ไหว ขอบายดีกว่า 55
ที่ชอบสุดคือห้องแต่งตัว มีทั้งมุมเป่าผม แต่งหน้า ล็อกเกอร์เก็บของ เวิร์คจริงจัง
อุปสรรคอย่างเดียวสำหรับการใช้ห้องน้ำรวม หรือแยกออกมาจากเต๊นท์ คือ อากาศ ถ้ามาหน้าหนาว ถ้ามีตัวหาร พักห้องดีลักซ์ แบบมีห้องน้ำในตัวน่าจะเวิร์คกว่า ทำไมนะรึ ให้นึกถึงอากาศสิบกว่าองศา(ช่วงที่ไป ตอนกลางคืน 13 องศา) ต้องลุกจากที่นอนและเต๊นท์แสนอุ่น ฝ่าอากาศหนาวมาเข้าห้องน้ำนั้นมันทรมาณแค่ไหน แต่ถ้าทนได้ คิดซะว่าไปแคมปิ้ง ได้ผจญภัยอะไรเล็กๆน้อยๆ ก็โอนะ ประหยัดได้โขอยู่ 55
เต๊นท์อีกแบบ อัพเกรด ไฮโซโบว์ใหญ่ มีห้องน้ำในตัว เรียกว่าแบบดีลักซ์ ราคาอยู่ที่ 3840-4440 บาท ราคาก็อัพตามไป
ทั้งหมดนี้เป็นภาพโซนเต๊นท์ดีลักซ์ จะอยู่เรียงรายรอบบึงน้ำ แน่นอนห้องแพงกว่า วิวหน้าบ้านก็ต้องดีกว่านิดนึง
ที่รีสอร์ท มีจักรยานตีนโตอยู่ 2 คัน ไว้ให้แขกยืมไปปั่น แต่ไม่ค่อยเห็นคนยืมไปปั่นกันจริงจังสักเท่าไหร่
เห็นเอามาแอ็คถ่ายรูปกันซะมากกว่า
สำหรับใครที่มีจักรยานพับหรือเอาใส่รถมาได้ จะเอาใส่รถมาปั่นกันแถวนี้ก็เวิร์คดีเหมือนกัน
สามารถปั่นรอบๆรีสอร์ท ปั่นบนถนนหน้ารีสอร์ท หรือปั่นไปกินอาหารร้านต่างๆ แถวๆนี้ได้ ท่าทางจะชิลดี
(แบบว่าถ้าปั่นไหว รึเป็นนักปั่นจริงจังอ่ะนะ)
มุมที่ชิลสุดๆของที่นี่ ขอยกให้มุมสระน้ำ
วิวสวยสุดๆ มีเก้าอี้หลากหลายแบบให้นั่งชมหนุ่มสาวเล่นน้ำ พร้อมไปกับกินลม ชมวิว
(แต่ตอนเราไป อากาศสิบกว่าองศา ไม่มีใครมาเล่นน้ำเลย ได้แต่ชมวิวอย่างเดียว 55)
มุมอาบน้ำล้างตัว
มุมสะพานแขวน ก็ชิล น่าแชะ
หรือจะเป็นบึงน้ำหน้ารีสอร์ท โพสอวดสายตาคนทั้งรีสอร์ทไปเลย อย่าได้อาย (แต่เราไปคนเดียว
จะตั้งกล้องละไปยืนโพสต์หน้าคนทั้งรีสอร์ท ถอยยยยดีกว่า ไม่อาววววดีกว่า ถ้าเป็นมุมอื่นละพอไหว 55)
เปลนี้น่านอนมากกกก แต่ไม่เห็นใครนอนซักคนเลยนะ มีแต่มาแชะภาพ
สงสัยมันตั้งเด่นกลางรีสอร์ทจนเกินไป เลยไม่มีใครกล้านอน (เราด้วยคนล่ะ อิอิ)
ความสุขของเราอีกอย่างเวลามาพักผ่อนแบบนี้ คือการตื่นมาเก็บบรรยากาศยามเช้า
และสำคัญสุดๆ เป็นแรงใจให้ตื่น คือ ตื่นมากินเบรกฟาสต์ (อันนี้สำคัญกว่าอันแรก 55)
อาหารเช้าที่นี่รวมๆแล้วไม่จัดว่าเลิศเลออะไรมาก กาแฟรสจืดจางมาก ข้าวต้มรสจืดมากๆ ไม่มีเบคอน มีแต่แฮม
และความวาไรตี้มีให้เลือกค่อนข้างน้อย ถ้าคนจู้จี้ ซีเรียสเรื่องอาหารเช้า อาจไม่ค่อยชอบใจ
(เห็นชาวต่างชาติคอมเพลนเรื่องไม่มีเบคอนอยู่นานเป็นวรรคเป็นเวร สงสาร พนง.)
แต่เราโอเค ด้วยราคาเท่านี้ บรรยากาศดีงาม มองมุมไหนก็สวยไปหมดขนาดนี้
ต่อให้แค่มีกาแฟ ปาท่องโก๋ เรายังว่าโอเลยอ่ะ (กินง่าย อยู่ง่ายไปมะ ^^)
เอาเป็นว่า..
ถ้าคุณหลงไหลวิวภูเขา บึงน้ำ รักธรรมชาติ
ถ้าชอบบรรยากาศแบบแคมปิ้ง อยากนอนเต๊นท์
ถ้าอยากได้ฟีลผจญภัย แต่ยังติดหรู อยู่สบาย
Lala Mukha Tented Resort ตอบโจทย์ ครบทุกอย่างที่ต้องการ
ไปเขาใหญ่ครั้งต่อไป นี่จะเป็นชื่อแรกที่เรานึกถึงอย่างแน่นอน
นอนกลางดิน กินกลางเขา(ใหญ่) @Lala Mukha Tented Resort
เริ่มต้นทริปนี้อย่างง่ายๆ ด้วยการเห็นน้องที่ออฟฟิศโพสต์ภาพที่พักภาพนี้ ภาพเดียวเลย
โอ้วววววววว นี่มันที่พักแนวเต้นท์ แค้มปิ้ง อยากที่ฝันไว้เลย จะไปๆๆๆ
ว่าแล้วก็รีบคลิกหาห้องว่างว่าอาทิตย์หน้ามีมั้ยใน booking.com
โชคดีสุดๆที่มีว่างพอดี รีบคลิกจองเลย ก่อนอด
บึ่งรถจากปากเกร็ด ขึ้นทางด่วนยาวๆ มาลงเชียงราก ผ่าน มธ.รังสิต แล้วเลี้ยวมาทางสระบุรี
ขับเข้าทางลัดมาเขาใหญ่ตรงซอยข้างๆแดรี่ฟาร์ม เพียงไม่ถึงสองชั่วโมง ก็ถึงแล้วจ้า เขาใหญ่
และนี่คือที่ที่เราจะเอนกาย พักร่างนิทราในคืนนี้ .. Lala Mukha Tented Resort
ชื่อก็พอจะบ่งบอกถึงกลิ่นอายของแคมปิ้ง และป่าซาฟารี ซึ่งพอมาเห็นสถานที่จริง
ด้วยโลเคชั่น บรรยากาศ และรายละเอียดทุกอย่างที่เค้าบรรจงจำลองมา ต้องบอกว่า..มันใช่ยิ่งกว่าใช่
ถูกใจ ไลค์เลย ไปทุกส่วน
ตั้งแต่โซนต้อนรับ
ชอบเจ้าม้าลายหน้ายาวนี่มากเลย
รับกระเป๋ายังชีพ เมื่อมีกระเป๋านี้ จึงจะมีชีวิตอยู่รอดได้ในลาลามูก้า (จริงจริ๊ง ไม่มีอยู่ไม่ได้จริงๆนะเอ้า)
ประกอบด้วย แผนผังรีสอร์ท(พกไว้จะได้ไม่หลง) คีย์การ์ด(ไว้แตะผ่านประตูโซนที่พักที่ห้ามคนนอกเข้า)
กุญแจเต๊นท์+การ์ดเปิด(ไว้ล็อกเต๊นท์) Ear Plug(ไว้อุดหูเผื่อเต๊นท์ข้างๆส่งเสียงดัง เพราะเต๊นท์อาจเก็บเสียง
สู้ห้องพักทั่วไปไม่ได้) โลชั่นกันยุง(กันยุงหาม)
หลังอบรมเรื่องกฏ กติกาต่างๆ คล้ายๆเวลาไปแคมปิ้ง (ชอบจัง รู้สึกเหมือนได้ผจญภัยนิดๆ)
พนักงานก็จะขับรถมาส่งที่เต๊นท์ จริงๆพาเดินไปก็ได้ แต่ถ้าคนไม่ชอบเดินหรือสัมภาระเยอะ
ก็นั่งมาเถอะ เพราะรีสอร์ทพื้นที่ค่อนข้างกว้างมากๆ
ที่นี่มีประตูกั้นเข้าโซนที่พักอยู่ 2 จุด ที่ต้องใช้คีย์การ์ดแตะเพื่อเข้าออก คนนอกที่แวะมาทานอาหาร
หรือชะโงกทัวร์แวะมาถ่ายภาพหมดสิทธิ์เข้า บรรยากาศจึงค่อนข้างสงบเป็นส่วนตั๊ว ส่วนตัว
มาถึงแล้วโซนที่พัก แค่ด้านหน้า ยังไม่เปิดเข้าเต๊นท์ไป ก็โดนใจจั๊ดนัก ได้บรรยากาศแค้มปิ้งสุดๆ
สวยจนอดใจไม่ไหว ก่อนสำรวจเต๊นท์หรือทำอะไร ต้องตั้งกล้องแชะก่อนหลายๆมุม
ไล่สำรวจไปจากด้านนอก มีเก้าอี้สนามและพื้นที่นั่งเล่น และตะเกียงไฟฟ้าหน้าบ้าน
ด้านใน มีครบทุกอย่างที่ต้องการในเต๊นท์นี้ โซฟาเบด ทีวี แอร์ ตู้เย็น ไปจนถึงตู้เซฟ ฯลฯ
ที่ฟินสุดคือ ชา กาแฟ ผลไม้ ถั่ว ขนม และน้ำทุกอย่างในตู้เย็นที่เห็นทั้งหมดนี้ กินได้ฟรีๆๆ
ไม่มีค่ามินิบาร์ ยอดเยี่ยม ได้ใจไปโลด
ในห้องยังมี Props หมวกให้ยืมใส่ถ่ายรูปและกันแดด และถุงผ้าเก๋ไก๋ให้ยืมใช้ใส่ของ รึขนอุปกรณ์ไปอาบน้ำด้วย เวิร์คมาก
ผ้าขนหนู ทั้งผ้าขนหนูอาบน้ำ ใช้ที่สระน้ำ รองเท้าแตะ ร่ม พร้อมมมม
เตียงก็นุ่มฟู น่านอน หัวเตียงแต่งได้บรรยากาศอยู่ในป่าซาฟารีดีจริง
เต๊นท์เราเป็นเต๊นท์แบบสุพีเรียร์ ใช้ห้องน้ำรวม ราคาอยู่ที่ 2835 - 3240 บาท แล้วแต่ซีซั่น
จะว่าไปก่อนจองก็ลังเลใจอยู่นานเรื่อง ห้องน้ำรวม นี่ล่ะ เพราะเคยไปหลายๆที่ ประสบการณ์ไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่
แต่เมื่อมาเห็นห้องน้ำรวมที่นี่ บอกเลยว่าสบายใจมากกกก
แบ่งโซนหญิง ชาย ชัดเจน ด้านบนเป็นโซนหญิง ส่วนนี่เป็นโซนท่านชาย
เข้ามาด้านในจะเจอโซนอ่างล้างหน้าก่อน
ฝั่งซ้ายเป็นห้องน้ำ ฝั่งขวาเป็นห้องอาบน้ำและห้องแต่งตัว
หน้าตาห้องน้ำ
มีที่วางของกว้างขวาง ไว้วางอุปกรณ์ที่เตรียมมาอาบน้ำด้านหลัง ระหว่างปลดทุกข์หนัก เบา (อธิบายละเอียดไปมั้ยน่ะ 55)
มาดูห้องอาบน้ำบ้าง
ครีมอาบน้ำ แชมพูพร้อม น้ำอุ่นร้อนไวดีมาก
ใครไม่อยากอาบเดี่ยวเดียวดายในห้องน้ำ จะมาอาบโชว์โซนโอเพ่นแอร์ด้านนอกก็ได้นะจ๊ะ
เอ่อ แต่เราไม่ไหว ขอบายดีกว่า 55
ที่ชอบสุดคือห้องแต่งตัว มีทั้งมุมเป่าผม แต่งหน้า ล็อกเกอร์เก็บของ เวิร์คจริงจัง
อุปสรรคอย่างเดียวสำหรับการใช้ห้องน้ำรวม หรือแยกออกมาจากเต๊นท์ คือ อากาศ ถ้ามาหน้าหนาว ถ้ามีตัวหาร พักห้องดีลักซ์ แบบมีห้องน้ำในตัวน่าจะเวิร์คกว่า ทำไมนะรึ ให้นึกถึงอากาศสิบกว่าองศา(ช่วงที่ไป ตอนกลางคืน 13 องศา) ต้องลุกจากที่นอนและเต๊นท์แสนอุ่น ฝ่าอากาศหนาวมาเข้าห้องน้ำนั้นมันทรมาณแค่ไหน แต่ถ้าทนได้ คิดซะว่าไปแคมปิ้ง ได้ผจญภัยอะไรเล็กๆน้อยๆ ก็โอนะ ประหยัดได้โขอยู่ 55
เต๊นท์อีกแบบ อัพเกรด ไฮโซโบว์ใหญ่ มีห้องน้ำในตัว เรียกว่าแบบดีลักซ์ ราคาอยู่ที่ 3840-4440 บาท ราคาก็อัพตามไป
ทั้งหมดนี้เป็นภาพโซนเต๊นท์ดีลักซ์ จะอยู่เรียงรายรอบบึงน้ำ แน่นอนห้องแพงกว่า วิวหน้าบ้านก็ต้องดีกว่านิดนึง
ที่รีสอร์ท มีจักรยานตีนโตอยู่ 2 คัน ไว้ให้แขกยืมไปปั่น แต่ไม่ค่อยเห็นคนยืมไปปั่นกันจริงจังสักเท่าไหร่
เห็นเอามาแอ็คถ่ายรูปกันซะมากกว่า
สำหรับใครที่มีจักรยานพับหรือเอาใส่รถมาได้ จะเอาใส่รถมาปั่นกันแถวนี้ก็เวิร์คดีเหมือนกัน
สามารถปั่นรอบๆรีสอร์ท ปั่นบนถนนหน้ารีสอร์ท หรือปั่นไปกินอาหารร้านต่างๆ แถวๆนี้ได้ ท่าทางจะชิลดี
(แบบว่าถ้าปั่นไหว รึเป็นนักปั่นจริงจังอ่ะนะ)
มุมที่ชิลสุดๆของที่นี่ ขอยกให้มุมสระน้ำ
วิวสวยสุดๆ มีเก้าอี้หลากหลายแบบให้นั่งชมหนุ่มสาวเล่นน้ำ พร้อมไปกับกินลม ชมวิว
(แต่ตอนเราไป อากาศสิบกว่าองศา ไม่มีใครมาเล่นน้ำเลย ได้แต่ชมวิวอย่างเดียว 55)
มุมอาบน้ำล้างตัว
มุมสะพานแขวน ก็ชิล น่าแชะ
หรือจะเป็นบึงน้ำหน้ารีสอร์ท โพสอวดสายตาคนทั้งรีสอร์ทไปเลย อย่าได้อาย (แต่เราไปคนเดียว
จะตั้งกล้องละไปยืนโพสต์หน้าคนทั้งรีสอร์ท ถอยยยยดีกว่า ไม่อาววววดีกว่า ถ้าเป็นมุมอื่นละพอไหว 55)
เปลนี้น่านอนมากกกก แต่ไม่เห็นใครนอนซักคนเลยนะ มีแต่มาแชะภาพ
สงสัยมันตั้งเด่นกลางรีสอร์ทจนเกินไป เลยไม่มีใครกล้านอน (เราด้วยคนล่ะ อิอิ)
ความสุขของเราอีกอย่างเวลามาพักผ่อนแบบนี้ คือการตื่นมาเก็บบรรยากาศยามเช้า
และสำคัญสุดๆ เป็นแรงใจให้ตื่น คือ ตื่นมากินเบรกฟาสต์ (อันนี้สำคัญกว่าอันแรก 55)
อาหารเช้าที่นี่รวมๆแล้วไม่จัดว่าเลิศเลออะไรมาก กาแฟรสจืดจางมาก ข้าวต้มรสจืดมากๆ ไม่มีเบคอน มีแต่แฮม
และความวาไรตี้มีให้เลือกค่อนข้างน้อย ถ้าคนจู้จี้ ซีเรียสเรื่องอาหารเช้า อาจไม่ค่อยชอบใจ
(เห็นชาวต่างชาติคอมเพลนเรื่องไม่มีเบคอนอยู่นานเป็นวรรคเป็นเวร สงสาร พนง.)
แต่เราโอเค ด้วยราคาเท่านี้ บรรยากาศดีงาม มองมุมไหนก็สวยไปหมดขนาดนี้
ต่อให้แค่มีกาแฟ ปาท่องโก๋ เรายังว่าโอเลยอ่ะ (กินง่าย อยู่ง่ายไปมะ ^^)
เอาเป็นว่า..
ถ้าคุณหลงไหลวิวภูเขา บึงน้ำ รักธรรมชาติ
ถ้าชอบบรรยากาศแบบแคมปิ้ง อยากนอนเต๊นท์
ถ้าอยากได้ฟีลผจญภัย แต่ยังติดหรู อยู่สบาย
Lala Mukha Tented Resort ตอบโจทย์ ครบทุกอย่างที่ต้องการ
ไปเขาใหญ่ครั้งต่อไป นี่จะเป็นชื่อแรกที่เรานึกถึงอย่างแน่นอน