การ "โดนเพื่อนแกล้งครั้งใด" ที่คุณจำไม่เคยลืมครับ ?

กระทู้คำถาม
เจ้าของกระทู้ตอนสมัยมัธยมเคยพึ่งซื้อกระเป๋าใหม่ ใส่หนังสือ อย่างดี เพื่อนแกล้งเอาลิคลิชเปเปอร์มาป้ายใสจนเละไปหมดซักไม่ออก เพื่อนมันนั่งหัวเราะชอบใจ แต่เราเสียกระเป๋าใบนั้นไปเลยครับ คิดแล้วเศร้า
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 78
อนุบาล
- ก่อนหน้าวันที่ต้องรำในงานโรงเรียน โดนพี่ชายเพื่อนเอาบุ้งมาวางบนหน้า
- ไม่นานหลังจากนั้นมันก็เอารองเท้านักเรียนไปซ่อน
- เอาตุ๊กตาไปอวดเพื่อน โดนพวกผู้ชายขโมยไปเล่นเป็นศีรษะมาร

ป.1 ทุกคนเริ่มเรียกว่าอีเหลือง เพราะมีโรคประจำตัว เลยตัวซีดๆเหลืองๆ

ป.2 ไปเข้าห้องน้ำกับเพื่อน โดนพวกเพื่อนผู้ชายวิ่งตามมาต่อยแล้วกดเราลงกับพื้นห้องน้ำ แล้วก็ร้องบอกว่า "ข่มขืนๆ" พยายามกรี๊ดให้เพื่อนวิ่งไปตามครู เพื่อนก็ไป แต่ครูไม่มาสักที สุดท้ายสลัดออกมาได้วิ่งกลับไปที่ห้อง เจอเพื่อนตัวดีนั่งเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ป.3
- อันนี้ไม่เชิงแกล้ง แต่เป็นโบ้ยความผิด กับเพื่อนคนเดิม ไปไหนด้วยกันสักที่ ที่ต้องเดินผ่านกองไม้แล้วก็รถครู ขากลับก็แบบวิ่งๆกระโดดๆ ทำอีท่าไหนไม่รู้ไม้ที่กองไว้ล้มลงมา จำได้ว่ารู้ตัวอีกทีมีครูมารื้อไม้ออกแล้วโดนหิ้วไปห้องพยาบาล ส่วนเพื่อนโดนทับอยู่ใต้ตัวเราไม่โดนอะไรเลย แต่วิ่งร้องไห้โฮไปฟ้องแม่ที่เป็นครูอีกตึกว่าโดนเราทำเจ็บ สุดท้ายคือทั้งเจ็บตัวและโดนลงโทษ
เลิกคบกับอิสตอเบอรี่นี่อย่างเด็ดขาดนับแต่นั้น
- รายการแท็คทีมกำลังฮิต พวกผู้ชายหัวโจกก็รวมตัวกันแล้วตะโกนว่าแท็กทีม ก่อนจะเข้าไปรุมอัดคนเคราะร้ายที่อยู่ในระยะสายตา ซึ่งเราเป็นหนึ่งในนั้น

ป.4 ปีนี้ค่อนข้างเป็นลูกรักของคุณครูประจำชั้น เลยไม่มีใครกล้าหือด้วย แต่คนที่มีเรื่องด้วยกลายเป็นครูที่นิสัยไม่ดีในโรงเรียนแทน /แต่ปกติแกก็มีเรื่องกับทุกคนอยู่แล้วไม่ว่าจะเด็ก ผู้ปกครองหรือครูๆด้วยกัน

ป.5
- เอาลูกบอลเล็กๆไปเล่นที่โรงเรียน พวกผู้ชายแย่งไปเล่นแล้วโดนทำหาย
- นั่งเรียนในห้องซาวนด์แล็บรวมกัน2ห้อง สักพักครูออกไปไหนไม่รู้ เพื่อนที่นั่งหลังห้องก็เปิดไมค์แล้วเรียก พอหันไปมันก็ด่าใส่ว่าแรด แล้วทุกคนในห้องก็พอกันมายืนล้อม ชี้หน้าด่า หัวเราะเยาะเย้ยทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรเลย หลังจากนั้นหยุดเรียนไปสองอาทิตย์

ป.6
- เป็นปีที่หิ้วปิ่นโตข้าวไปโรงเรียน วันนึงโดนเพื่อนคนเดิม(ต้นเรื่องตอนป.5)กับพรรคพวกขโมยข้าวไปกิน จำได้ว่าเป็นครั้งเดียวที่โกรธมากจนถึงกับอาละวาดในห้องเรียน คือเอาปิ่นโต(เป็นปิ่นโตเถาสแตนเลสแบบสองชั้นน่ะ)ขว้างใส่หัวไอ้พวกขี้ขโมย...... #เรื่องกินเรื่องใหญ่จำไว้

ม.1 ในรร.ใหม่ เทอมแรกไม่ค่อยโดนอะไรมากนอกจากยังถูกเรียกว่าอีเหลือง กับโดนจับคู่แซวกับเพื่อนผู้ชายที่นั่งข้างๆเพราะไปชมเขาว่าหน้าเหมือนแฮรี่พอตเตอร์ (ก็มันเหมือนจริงๆนี่หว่า) กับแกล้งคนอื่นมากกว่า

แต่การรังแกมันเริ่มขึ้นในเทอมสอง ตอนที่ครูคนนึงสั่งให้เขียนรายละเอียดเกี่ยวกับตัวเองให้ละเอียดที่สุดส่ง โดยให้วางบนโต๊ะครูก่อนครูจะเข้าสอน เราวางคนแรกสุดแล้วโดนหัวโจกผู้ชายขโมยไปอ่าน จากนั้นเริ่มถูกคนทั้งห้องเรียกว่าอีจส.100 (เพราะเขียนว่าชอบฟังจส.100) อีดิจิม่อน (เพราะเขียนว่าชอบดิจิม่อน)

การแกล้งจากฝั่งผู้ชายไม่ค่อยมีอะไร ขำๆ มันชอบเล่นกับพวกผู้ชายด้วยกันมากกว่า แต่จากกลุ่มผู้หญิงมันแรงกว่าเยอะตรงที่พวกนี้สามารถเข้านอกออกในตามเราไปได้ทุกที่
หลายๆคนคงเคยเจอแหละ เด็กผู้หญิงในโรงเรียนที่ซอยผมผิดระเบียบ คอซองห้อยยาว กระโปรงถกสั้นถุงเท้าลูกฟูก แต่งหน้าทาปากทาเล็บ จับกลุ่มกันเป็นแก๊งคอยกรี๊ดกร๊าดเอาแต่หาผู้ชาย คุยโทรศัพท์ ไม่ตั้งใจเรียน ใช่ โรงเรียนเราก็มี และที่ซวยคือกลุ่มใหญ่ที่สุดที่มีความประพฤติแรงๆจนครูๆส่ายหน้า กว่าครึ่งในนั้นรวมกันอยู่ในห้องเรา

ทำการบ้านวิชาอังกฤษเสริมแล้วส่งรวมกันกับเพื่อนไป แต่ครูกลับบอกว่าไม่ได้ส่ง สมุดหายไปอย่างไร้ร่องรอย แล้วก็ลงโทษเราพร้อมรายงานความประพฤติกับครูประจำชั้น
วันนึงเพื่อนในกลุ่มขอดูรูปหมาเรา เราก็เลยเอาอัลบั้มไปให้ดู ปรากฏพอมันวนกลับมารูปก็หายไปครึ่งนึง
หลังจากนั้น วันนึงโดยบังเอิญ เราไปเจอสมุดงานของเราที่หายไปในถังขยะของห้อง เปิดดูก็เห็นว่าถูกเขียนเล่น รูปที่หายไปจากอัลบั้มถูกตัดแปะในสมุด เขียนว่าเราเป็นคนกินหมา
มารู้หลังจากนั้นว่าสมุดเล่มนั้นถูกเวียนไปให้คนนั้นแก๊งเด็กไม่เรียนบ้าๆนั่นอ่านจนหมด

นอกจากนี้ยังมี
ชีทเรียนถูกฉีกครึ่ง
รายงานถูกฉีกปก
ลูกตะกร้อถูกขโมย
ฟอร์ตโฟลิโอถูกเทน้ำใส่
เดินไปไหนก็ถูกดึงเสื้อไม่ก็เปิดกระโปรง
หนังสือที่ยืมมาจากห้องสมุดโดนโยนทิ้ง ต้องไปจ่ายค่าปรับกับซื้อหนังสือใหม่มาใช้คืน
โดนขโมยลูกปิงปองกับขลุ่ย
สมุดวาดเขียนถูกละเลงสีใส่ หรือรูปที่วาดเล่นลงสมุดตัวเองก็จะถูกเอาปากกามาวาดเติมอย่างน่าเกลียด
(หลังจากอ่านบนๆแล้วก็ยังดีใจที่ไม่ถึงกับโดนสาดน้ำใส่)

พอไปค่ายลูกเสือเนตรนารี ครูก็จัดหน่วยตามเลขที่ หน่วยละ7คน บังเอิญที่หน่วยเราดันมีพวกนี้อยู่3คน แล้วพวกนี้ก็ดันคนอื่นที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มออกไป ดึงคนของตัวเองเข้ามา สุดท้ายก็กลายเป็นหน่วยที่มีเรา (ถูกบังคับให้เป็นหัวหน้า) และกลุ่มเด็กไม่เรียนพวกนั้นอีกหกคน
ตอนเข้าค่ายพวกนางก็ทำอะไรตามใจตัวเองทุกอย่าง ตื่นสาย คุย แต่งกายผิดระเบียบ มาช้า เราเดินทางไกลอยู่ข้างหน้าก็กระตุกไม้ เอาของมาเขี่ย เปิดกระโปรง ถีบ ฯลฯ
และ...ถ้ามีอะไรที่ไม่เรียบร้อยหรือผิดปกติ ครูก็จะลงโทษแค่หัวหน้า หรือลงโทษหัวหน้าหนักที่สุดเสมอ

สองปีครึ่งของม.ต้นเป็นอะไรที่ทรมาณมากจนไม่รู้จะอธิบายยังไง เราหยุดเรียนบ่อยมากจนถึงกับมีครูคนนึงที่ชอบจิกกัดเรา(เพราะเราใส่กระโปรงนักเรียนที่ค่อนข้างยาวเพราะแม่ตัดให้-เผื่อโต-)พูดใส่หน้าเราต่อหน้าคนทั้งห้องว่าทำไมไม่ลาออกไปเลยให้หมดเรื่องหมดราว แล้วพวกนั้นที่นั่งรวมกันอยู่หลังห้องก็หัวเราะเยาะเราเสียงดัง

เพื่อนคนอื่นก็พยายามให้ความช่วยเหลืออยู่ห่างๆนะ ห่างมากๆ แต่เราก็พอเข้าใจ เพราะไม่มีใครอยากตกเป็นเป้าแทนน่ะสิ

บอกครูประจำชั้น ครูก็แค่ฟังแต่เหมือนทำอะไรไม่ได้ ประมาณว่า บอกครูแล้วไง?
ถ้าพวกนั้นรู้ว่าบอกครูก็จะยิ่งโดนหนัก

บอกพ่อแม่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ หยุดเรียนก็จะโดนบังคับให้ไป /อันที่จริงก็พูดอะไรไม่ได้ ขนาดไม่สบายแม่ก็ยังชอบบังคับให้ไปโรงเรียน

มันดูเป็นปัญหาเล็กๆ แต่ยอมรับว่าช่วงนั้นเครียด อยากหนี หนีออกจากบ้าน โดดเรียน ไปจนถึงฆ่าตัวตายให้พ้นๆ แต่สุดท้ายก็ทนๆจนผ่านมันมาได้...
เหมือนตอนนั้นจะไม่สนใจเรื่องเรียนแล้ว อยู่โรงเรียนแทบไม่พูดกับใคร กลับบ้านมาก็นั่งอ่านการ์ตูน ขึ้นห้องได้ก็ไปเล่นคอม ดูการ์ตูน อ่านนิยาย เล่นเกม อยู่คนเดียว ไม่สนใจโลกไม่สนใจใครทั้งนั้น

พยายามจะลืม แต่ก็อย่างที่เห็น ยังมาเล่าให้ฟังได้ เพราะว่าไม่เคยลืมมันไปได้เลยค่ะ



******
มาอีดิทเพิ่มเอา78-8ขึ้นมานะคะ จะได้อ่านต่อกันไปเลยทีเดียว


คือตอนนี้ก็ถือว่าไม่มีใครกล้าทำอะไรแล้วล่ะค่ะ
อันที่จริงก็ตั้งแต่ช่วงม.ปลาย ซึ่งก็มีคนทักว่าเราค่อนข้างเปลี่ยนไป ประมาณว่ามีบรรยากาศไม่น่าเข้าใกล้น่ะค่ะ รวมถึงถึงจะยังป่วยเหมือนเดิม แต่ตัวเองก็ไม่ได้ซีดๆแห้งๆแคระแกร็นเหมือนแต่ก่อนด้วย ถ้าใครกล้าหาเรื่องก็คงไม่กลัวไซส์เราที่สามารถซัดกลับได้โดยไม่เกรงใจ
แต่ตอนนั้นที่ทำได้ก็คือพยายามหลีกเลี่ยงการผูกมิตรกับคนอื่นจนเกินไปอะไรแบบนั้นมากกว่า



คือ...โตมาแล้วเราถึงพอเข้าใจน่ะค่ะ

การที่คนเราชอบแกล้งคนอื่นมาจากหลายสาเหตุ
ทั้งการเลี้ยงดู ครอบครัว ธรรมชาติโดยนิสัยและร่างกายของคนที่เป็นฝ่ายแกล้ง บรรยากาศของคนรอบข้างที่ไม่ห้ามปราม

และสาเหตุที่เราคิดว่าเป็นไปได้มากที่สุดคือ การมีความสุขในการที่ได้เป็นฝ่ายแสดงอำนาจเหนือคนอื่น โดยเฉพาะคนที่อ่อนแอกว่าตัวเองมากๆ
ซึ่งเราว่า....รูปแบบการแสดงพฤติกรรมลักษณะนี้มันฝังรากอยู่ในตัวมนุษย์ทุกคนนี่ล่ะค่ะ ขึ้นอยู่กับว่าปัจจัยแวดล้อมของแต่ละบุคคลจะสามารถดึงจุดนี้ให้แสดงออกมาได้มากหรือรุนแรงขนาดไหน

บางคนก็แค่แกล้งแซวๆเล็กๆน้อยๆขำๆ (แต่อีกฝ่ายอาจจะไม่ขำด้วย)
บางคนก็แสดงออกรุนแรงไปถึงขั้นรังแก ขั้นกว่าไปอีกก็ทำร้ายกดขี่
ส่วนบางคนก็แสดงออกในลักษณะอื่นแต่มีนัยยะที่ตอบสนองความต้องการเดียวกัน



จะว่าไปแล้วผลพวงของเรื่องนี้ บอกตามตรงว่ายังส่งผลกระทบกับเรามาจนถึงตอนนี้ค่ะ

เรากลายเป็นคนที่ไม่กล้าเข้าสังคม กลัวคน ไม่ชอบคุยกับคนแปลกหน้า หวาดระแวง มีโลกส่วนตัวสูง สร้างกำแพงป้องกันตัวเอง จนทำให้คนที่มารู้จักกันทีหลังเข้าใจผิดว่าเราเป็นคนหยิ่งยโส แล้วก็มีเรื่องที่ทำให้ผิดใจกันเพราะเหตุนั้น
ที่แย่สุดๆคือ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย บางทีอยู่ดีๆก็ร้องไห้ได้ง่ายมากๆ แล้วก็เก็บกดอารมณ์ที่ค่อนข้างรุนแรงไว้จนถ้าเผลอระเบิดออกมาก็ทำให้ทุกคนกลัว คือแบบ รู้ตัวเลยว่าแต่ก่อนมันไม่ได้เป็นแบบนี้ ไม่ใช่เลย

แล้วมันทำให้ชีวิตเราลำบากมาก โดยเฉพาะเรื่องไม่กล้าคุยกับคนแปลกหน้า เวลาพูดก็เอาแต่อ้อมๆแอ้มๆเบาๆ ตาไม่สบ จนทุกคนต้องบอกให้พูดซ้ำ
แม้กระทั่งในโลกออนไลน์ ถ้าต้องทักไปคุยกับคนแปลกหน้าที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน เราก็ยังจะแบบ...ทั้งที่ไม่เห็นหน้าอีกฝ่ายแท้ๆ บางทีก็นั่งถามตัวเองซ้ำๆเป็นร้อยๆครั้งเลยว่าจำเป็นต้องคุยจริงๆมั้ย ไม่คุยได้มั้ย...

แล้วก็ทำให้มีปัญหากับการทำงานด้วย คือ...มันทำให้เราทำงานร่วมกับคนอื่นไม่ได้

ตอนนี้ก็ยังพยายามพาตัวเองออกมาสู่โลกภายนอกอยู่ แต่สักพักก็ยังพยายามหนีเข้าไปหลบในที่ๆปลอดภัยแล้วก็คิดแต่ว่า คนอื่นน่ะไว้ใจไม่ได้หรอก อะไรงี้
บอกตามตรงว่าก็เบื่อกับการที่ตัวเองเป็นแบบนี้นะคะ อยากเปลี่ยนแปลง แต่มันก็ดูยากลำบากเหลือเกิน




ในตอนนั้นเราก็เคยพยายามบอกพ่อแม่นะ
คือถ้าจะบอกว่าพ่อแม่ไม่ใส่ใจ....เราก็พูดอย่างนั้นไม่ได้น่ะค่ะ จริงๆพ่อแม่ดูแลเราดีมาก ครอบครัวเราไม่ใช่ประเภทไม่มีเวลาให้กัน อันที่จริงคือไม่มีคนออกไปทำงานนอกบ้านด้วยซ้ำ
แต่คือความที่เรากับคนในบ้านมี gap อายุที่ห่างกันมาก คือ40+/40+และ60+ปี ถึงพยายามจะอธิบายปัญหา แต่คือ ความที่เป็นคนที่ต่างเจเนเรชั่นกันเลย คนในบ้านจึงไม่สามารถทำความเข้าใจกับปัญหาของเราได้ และมองว่าการแกล้งกันรังแกกันมันก็แค่ปัญหาของเด็กๆ เขามองว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่ แถมเราก็เป็นประเภท ถ้าอธิบายไปรอบแล้วไม่เข้าใจเราก็จะไม่พยายามอธิบายซ้ำ เรื่องมันก็เลยเลยเถิดไปอย่างที่เห็น

ส่วนทางครู เฮ้อ อันนี้เราก็พูดไม่ถูก
โรงเรียนเราช่วงนั้นมีฝ่ายปกครองที่เฮี๊ยบมาก ทุกคนกลัวมาก สำหรับคนทั่วไปก็รักษาระเบียบกันดี แต่สำหรับพวกแก๊งนี้ ฝ่ายปกครองก็เหมือนตำรวจจราจรน่ะค่ะ มาก็หลบ ไปแล้วก็โผล่ออกมาซ่าส์ต่อ เวลาโดนจับเข้าห้องปกครองก็เห็นหงอกันไปวันนึง..สองวันมากสุด แล้วทุกอย่างก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม
ส่วนครูประจำชั้นนั้นแทบไม่มีพาวเวอร์ในการพูดอะไรเลย ถึงบางครั้งครูจะโกรธจนตัวสั่นกันยังไม่วายจะถูกกลุ่มนี้ล้อเลียน

แล้วก็ขออธิบายเพิ่มเล็กน้อยนะคะ
แก๊งเด็กผู้หญิงที่รังแกเราเนี่ย ถึงเราจะบอกว่าเอาแต่คุย เล่น ไม่ค่อยตั้งใจเรียนก็จริง แต่หลายคนในนั้นผลการเรียนเค้าดีมากๆค่ะ คนที่เกรดสูงกว่าเราก็มี /แต่คือเราก็นอยด์จนทิ้งการเรียนเอง พูดไม่ได้
อีกอย่างคือเป็นกลุ่มที่ค่อนข้างล้ำเทรนด์ทางแฟชั่น และมีสตางค์...

คือก็มีสตางค์หนุนหลัง...นั่นแหละ พูดอะไรมากไม่ได้อะ
เงินเป็นใหญ่ในทุกระบบทุกสังคมเสมอ




ถ้าถามถึงว่า ตอนนี้เราคิดยังไงกับพวกนั้น

อืม กับคนที่กลับตัวได้ แล้วเคยมาคุยกับเราตอนหลังจากนั้น เราโอเคกับเขานะ

เพราะอย่างที่บอกข้างบนว่าเราเข้าใจพฤติกรรมและเหตุผลของเขา
เขารู้ตัวว่าทำผิด เขารู้สึกผิด เขายอมรับแล้วกลับตัว ขอโทษเราด้วย
คือเราว่าเขาต้องไปพบอะไรมาบางอย่างที่แย่มากๆ เจ็บมากๆกับตัวเอง แล้วช่วยเปิดตาเขาว่าสิ่งที่เคยทำมันไม่ใช่ ไม่ถูก ไม่ดี
เราอภัยให้ได้ ถึงจะรู้ว่าไม่สามารถกลับไปพูดคุยปกติเหมือนก่อนเกิดเรื่องทุกอย่างขึ้นก็เถอะ








ส่วนพวกที่เหลือ...
ถึงเราจะเห็นแล้วล่ะว่ามีบางคนในนั้นที่กรรมตามทัน /กรรมแบบติดจรวดด้วยสิ
แต่คือชาตินี้ก็ขอไม่เผาผีกันล่ะ ถึงตอนรู้ว่าตายอาจจะไม่สมน้ำหน้า แต่ถ้ามีใครมาบอกข่าวการตายให้เรารู้คือเราจะโกรธคนๆนั้น ข้อหากวนตะกอนให้ขุ่น

เราไม่ได้ใจร้ายไปเนอะ
ความคิดเห็นที่ 7
แกล้งทำเป็นชอบ ครับ คบกันมาได้ 3ปี.... สุดท้ายก็ต้องเลิกครับ เพราะมันแกล้ง T_T
ความคิดเห็นที่ 11
ส่วนตัวไม่เคยโดนแต่เห็นกับตา ลืมไม่ลงเลย

เพื่อนมันแกล้งเพื่อนอีกคนที่กำลังนอนหลับอยู่โดยการถอดกางเกงแล้วตดใส่หน้า

ปรากฏว่า มีเนื้อตามออกมาด้วยครับ อ้วกแตกกันเป็นแถว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่