คำว่าหุ้นเปลี่ยนขีวิต ถ้าจำไม่ผิด น่าจะเป็นชื่อหนังสือเล่มไหนเล่มหนึ่ง
ซึ่งความหมายมันตีความได้สองทางคือ
๑ เปลี่ยนชีวิตไปในทางที่ดีขึ้นกว่า ตอนก่อนเข้ามาแสวงหาเงินในตลาดหุ้น
๒ เปลี่ยนชีวิตไปสู่ความหายนะ มากกว่าก่อนเข้ามาแสวงหาเงินในตลาดหุ้น
หุ้นมันไม่มีชีวิตหรอก แต่เราเป็นคนทำให้มันมีชีวิต
ด้วยการใส่ความเชื่อ ความคิด การกระทำของเราเข้าไป
มันเลยสะท้อนชีวิตเรา ให้ดีหรือร้ายก็ได้
เมื่อวานในความคิดเห็นย่อยของกระทู้นี้
http://ppantip.com/topic/34796046/comment12
ได้มีเพื่อนสมาชิกถามเรื่องน่าสนใจไว้
เชื่อว่าจะมีคนจำนวนมาก อ่านข้ามความเห็นย่อยไป
คำตอบคุณปัญญา น่าสนใจ จนอดเอามาตั้งเป็นกระทู้ไม่ได้
ลองอ่าน แบบไม่ต้องนึกถึงชื่อหุ้น และจำนวนเงินดูครับ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ความคิดเห็นที่ 12-4
"แถมอีกนิด เรื่องหุ้นเปลี่ยนชีวิต
บางคนรอมาเกือบทั้งขีวิตการลงทุน
เพียงเพื่อใด้เจอหุ้นเปลี่ยนชีวิตจังๆ แค่ครั้งเดียวก็พอแล้ว
คุณคนเขลาเบาปัญญา เมื่อปีที่แล้วได้กำไรจากหุ้นตัวเดียว ยี่สิบสามล้านบาท
ตัวนั้นคือ ifs
ทำให้ลูกสาวที่กำลังจะเกิดในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
กลายเป็นว่าที่คุณหนูไปเลย "
---------
แนวคิดนี้ใช่แนวการลงทุนแบบดันโดหรือเปล่าครับ
หลายท่านในที่นี้คงสนใจและมองหาหุ้นเปลี่ยนชีวิต(ในทางที่ดีขึ้น) แบบนี้บ้าง
รบกวนเฮียคลายเครียดและเฮียคนเขลาเบาปัญญา ช่วยขยายความแนวคิด/วิธีการหาหุ้น/การติดตาม/ทำไมมั่นใจถือตัวเดียว/อื่นๆที่คิดว่าเป็นประโยชน์
เพื่อเป็นวิทยาทานกับ นลท.ด้วยครับ
สมาชิกหมายเลข 2338526
18 ชั่วโมงที่แล้ว
++++++++++++++++++++++++++++++++
คำตอบของผม
ความคิดเห็นที่ 12-6
คุณ สมาชิกหมายเลข 2338526
ยอมรับว่า ผมยังไม่รู้เลยว่า การลงทุนแบบดันโดเป็นอย่างไร
ก็เลยออกความเห็นแทนคุณปัญญาไม่ได้
ที่โพสต์ไว้ว่า หุ้นตัวเดียว ไม่ได้หมายความว่าถือตัวเดียวทั้งพอร์ตครับ
เพียงแต่เคยถือไว้เป็นมูลค่าสูงสุดของพอร์ตเมื่อสองปีก่อน ประมาณเจ็ดล้านกว่าหุ้น
ล่าสุดหลุดโผผู้ถือหุ้นรายใหญ่ไปเรียบร้อยแล้ว เพราะขายล้างพอร์ตเมื่อต้นปีก่อน
สำหรับตัวผมเอง
พอร์ตใหญ่แทบจะไม่เคยถือหุ้นต่ำกว่าสิบตัว
เพราะอย่างที่ชอบพูดเล่นๆว่า ไม่ถนัดลงทุนแบบสวนสัตว์เชียงใหม่
ถ้าหมีแพนด้าเป็นอะไรไปตัวเดียว สวนสัตว์แทบจะหมดรายได้
ผมถนัดแบบสวนสัตว์เขาดิน เสือตาย ก็ยังเหลือสิงห์ กระทิง แรด ไว้สร้างรายได้
พอร์ตเล็กเคยถือหุ้น lit ไว้เพียงตัวเดียว พร้อมกับถือทุ่งคาอีกสี่พันเจ็ดร้อยบาท
หลักการแบบมวยวัดของผมคือ
ถ้าพอร์ตนี้เจ๊งจนเหลือศูนย์ ผมรับความเสี่ยงได้หรือไม่
ทำตอบคือ ได้ เพราะมีเงินสดคงค้างในบัญชีอีกกว่าเจ็ดแสนบาท
ก็เลยถือไว้แค่ตัวเดียว เมื่อสองปีก่อน
ตอนนี้กลับมากระจายเป็นถือสามตัว ไม่นับหุ้นโดนเอสพีอย่างทุ่งคาแล้วครับ
กลับมากระจายความเสี่ยง เพื่อรอกินเงินปันผล ที่ให้ยีลด์ปันผลดีกว่าถือ lit ไว้ตัวเดียว
สำหรับความเห็นของคุณปัญญา
เดี๋ยวผมจะหลังไมค์ฺให้เข้ามาอ่านครับ
เข้าใจว่า คงอ่านข้ามไป
endophine
14 ชั่วโมงที่แล้ว
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
คุณปัญญาได้ตอบกลับมาตอนดึกเมื่อคืนนี้ดังนี้
ความคิดเห็นที่ 12-7
ตอบคุณ สมาชิก 2338526 ครับผม
*************************
อย่างที่เฮีย endophine กล่าวไว้ความเห็นข้างบนนี้ครับ
ผมไม่ได้ถือ IFS ตัวเดียว........ครับ เพราะประสบการณ์ที่ผ่านมา สอนให้รู้ว่า มั่นใจยังไงก็ต้องมีทางเลือกอื่นให้ชีวิตด้วยเสมอ
เพราะหากสิ่งที่เรามั่นไจไว้มันพลาด ก็ยังมีโอกาสแก้ตัวได้อีก อีกอย่างผมเองไม่เคยมั่นใจในหุ้นตัวไหน 100 % เลย
ตลอดตั้งแต่เข้ามาในตลาดหุ้น และได้รู้จักโลกการเงินและการลงทุน จึงเข้าใจในสัจธรรมที่ว่า "ทุกสิ่งไม่มีสิ่งใดจีรัง ยั่งยืน และแน่นอน"
ส่วนที่ว่า หุ้นเปลี่ยนชีวิต... อาจไม่ถึงขนาดนั้นครับ เพียงแต่วันนี้สิ่งที่ได้เพียร...พยายามทำมาตลอด ต้องผ่านทั้งคราบเลือดและน้ำตา
มันตกตะกอนพอที่จะทำให้การลงทุนของเราไม่ผิดพลาดมากเหมือนเมื่อก่อนแค่นั้นเอง และปันผลที่ได้พอจะเลี้ยงตัวได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น
โดยส่วนตัว ยังไม่ถือว่าตัวเองประสบความสำเร็จเท่าไร เพราะถ้าเทียบกับ พอร์ตของ พี่ๆ เฮียๆ หลายๆท่านที่มางาน meeting
ตัวผมถือว่าเป็นแค่นักลงทุนตัวเล็กๆ เท่านั้นเอง อีกทั้งก่อนปีใหม่ ผมได้คืนเงินในส่วนที่ครอบครัวฝากไว้เพื่อลงทุน คืนกลับ
เงินกองกลางของครอบครัวไปแล้ว เพื่อความสบายใจของพี่ น้อง ทุกคน พอร์ตผมทุกวันนี้ก็ถือว่าเล็กมาก...เพียงแค่พอเลี้ยงครอบ
ครัวได้ไม่เดือดร้อนเท่าไร
*************************
ส่วนหลักคิดในเรื่องของการลงทุน
ส่วนตัวให้ความสำคัญกับ techincal 60% พื้นฐาน 30% จินตนาการ 10% ครับ
ยิ้มเรื่อง...technical ก็ใช้ความรู้จากที่ลองผิดลองถูก เรียนรู้จาก...หลายๆแหล่งที่หาได้ พยายามศึกษาทุกแนวเพื่อนำมา
ประมวลหาข้อดี ข้อเสีย จนได้วิธีที่พอจะใช้เป็นหลักยึดของตัวเองได้ก็เท่านั้น ส่วนตรงนี้ขอข้ามไปเลยละกันครับ
อธิบายยาก
ยิ้มเรื่อง....พื้นฐาน ยกตัวอย่าง IFS ละกันครับ ตอนที่ผมเริ่มเก็บ อยู่ช่วงปี 54 ราคาหุ้นจะวิ่งอยู่ในช่วง 1.4 - 1.6 บาท
เท่ากับ book value ที่ประมาณ 1.5 กว่าๆ เท่ากับว่าความเสี่ยงไม่สูงมาก P/BV ประมาณ 1 ...... ok
ที่นี้มาดูเรื่อง กำไรต่อหุ้นซึ่งมีผลต่อการจ่ายปันผล จำไม่ผิดน่าจะกำไรต่อหุ้นประมาณ 0.15 - 0.16 กับนโยบายปันผล
ไม่ต่ำกว่า 50% คำนวนได้ว่า...ราคาที่ซื้อ P/E 10 เท่า จ่ายปันผลครึ่งนึง..คิดเป็นอัตราผลตอบแทนประมาณ 5-6%
ซึ่งดีกว่าเงินฝากประจำพอควร ก็เลยตัดสินใจซื้อ
ส่วนเรื่องจุดที่ซื้อ....หรือ การซื้อเฉลี่ยขาลง จะใช้ technical และการวางแผนการจัดสรรเงินลงทุน(money management)
ในการตัดสินใจซื้อ ณ.ราคาใดๆก็ตาม ไม่ใช่หลับหูหลับตาเฉลี่ยขาลงเพื่อความสะใจ
ส่วนการหาจุดขาย หรือการ cut loss ก็ใช้ technical อีกเช่นกัน แต่มีการคำนวนพื้นฐานมาประกอบด้วย
อย่าง IFS ตอนที่ขายคือคิดไว้แล้วว่า ถ้าราคาอยู่ในโซนนั้นจะขายออก แต่จะขายมากขายน้อยหรือขายหมด ก็ดู technical
ประกอบอีกเช่นกันครับ
ตอนที่ขาย IFS ไปที่เกือบๆ 5 บาท ช่วงต้นปี 2558 เพราะคำนวนกำไรทั้งปีน่าจะไม่เกิน 0.30 บาท ปันผลก็น่าจะได้ประมาณ
0.15 ถ้าเทียบกับราคาเกือบ 5 บาท เท่ากับได้ผลตอบแทนประมาณ 3% เลยตั้งเป้าไว้ว่าถ้าราคาวิ่งขึ้นมาเร็วเกินไปใน
ระดับราคานี้จะทยอยขายครับ ผมว่านักลงทุนหลายๆคนก็คงคิดคล้ายๆกัน เพราะดูจากรายชื่อ ผถห.ที่ผ่านมาก็มีการ
เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางเดียวกันกับที่ผมทำ
สำหรับผม กำไรก้อนนี้จริงๆแล้ว น่าจะมาจากความพยายาม + โชคด้วยเหมือนกันครับ
เพราะ IFS เหมือนจะเป็นหุ้นรอบหลังๆที่ถูกไล่ราคาขึ้นมา ก่อนหน้าที่ set จะปรับตัวลงในรอบนี้เลยทีเดียว
ซึ่งส่วนตัวแล้วก็ เสียวๆเหมือนกัน เพราะผมมองว่า...set ในช่วงนั้นน่าจะมีการปรับตัวลง ในไม่ช้า
เพราะหุ้นส่วนมากในตลาดมีการปรับตัวขึ้นไปสูงมากในรอบแรก ช่วงปี 56 ..หลังจากวิกฤติ subprime ปี 51-52 เป็นต้นมา
สร้างเซียนหุ้นหน้าใหม่เต็มตลาด ออกหนังสือกันเป็นว่าเล่นเต็มแผงกันเลยทีเดียว
ตอนนี้น IFS ราคาขยับขึ้นมานิดเดียว แล้วร่วงลงไปอีก ตอน set ปรับฐานตอนต้นปี 57 จนปลายปี 57 ที่ set ฟื้นขี้นมาอีกรอบ
IFS ตอนนั้นราคาก็ขยับขึ้นมาอีกไม่มากเท่าไร จนผมอดน้อยใจในโชคชะตากับหุ้นสุดที่รักไม่ได้เลยทีเดียว
แต่พอกลับไปดู อีกทีก็ยังพอจะเห็นแสงร่ำไรบ้างว่า น่าจะมีโอกาสในเร็วๆนี้ เพราะตอนนั้นผมกลัวว่าถ้า set ปรับตัวลงไปอีก
ทีในรอบนี้ อาจลาก IFS ให้ร่วงไปอีกนานเลยก็ได้ เพราะตอนนั้น set เริ่มเสียทรงแล้วเหมือนกัน
จนเหมือนทุกอย่างลงตัว จังหวะเวลามาพอดี ราคาหุ้นถูกไล่ขึ้นมาในจุดที่เราเตรียมตัวไว้แล้ว.....ก็เลยจัดการซะเลยครับ
เรื่องทั้งหมดก็เป็นมาอย่างนี้แหละครับ ไม่รู้เหมือนกันว่าจะพอช่วยให้คุณ 2338526 ได้อะไรบ้างรึเปล่านะครับยิ้ม
ตอบกลับ
1 2
คนเขลาเบาปัญญา
+++++++++++++++++++++
ผมเข้าใจหุ้นเปลี่ยนขีวิตของคุณปัญญาได้ดี
จำได้แม่น จากที่คุณปัญญาเล่าให้ฟังที่บ้านใร่กาแฟเอกมัยว่า
ตอนบอกว่าที่ภรรยาก่อนแต่งงานว่า มีรายได้หลักจากการซื้อขายหุ้น
ว่าที่ภรรยา ฟังแล้วน้ำตาซึม
(เพราะว่าที่พ่อตา เคยมีพอร์ตหุ้นจาก ๗๐ ล้าน แล้วเหลือเพียง ๔๐ ล้าน)
รายละเอียดมากกว่านี้ ถ้าคุณปัญญาอยากจะเล่า
คงจะได้อ่าน
++++++++++++++++++++++++
ขอตัดแปะเพิ่มความเห็นว่าด้วยการเล่น tfex และ option ของคุณพ่อโปรเจ็กต์
อ่านแล้วชอบมากๆ ทั้งๆที่ผมไม่เคยคิดจะยุ่งกับมัน
จะว่าไปแล้ว หลักการในการเดินทางแสวงหาเงินในตลาดหุ้น ไม่ว่าแนวทางไหน
มันก็ประมาณนั้นเหมือนกัน
๙ แล้ว ๖ ๖ แล้ว ๙ ว่าด้วย "หุ้นเปลี่ยนชีวิต"
ซึ่งความหมายมันตีความได้สองทางคือ
๑ เปลี่ยนชีวิตไปในทางที่ดีขึ้นกว่า ตอนก่อนเข้ามาแสวงหาเงินในตลาดหุ้น
๒ เปลี่ยนชีวิตไปสู่ความหายนะ มากกว่าก่อนเข้ามาแสวงหาเงินในตลาดหุ้น
หุ้นมันไม่มีชีวิตหรอก แต่เราเป็นคนทำให้มันมีชีวิต
ด้วยการใส่ความเชื่อ ความคิด การกระทำของเราเข้าไป
มันเลยสะท้อนชีวิตเรา ให้ดีหรือร้ายก็ได้
เมื่อวานในความคิดเห็นย่อยของกระทู้นี้
http://ppantip.com/topic/34796046/comment12
ได้มีเพื่อนสมาชิกถามเรื่องน่าสนใจไว้
เชื่อว่าจะมีคนจำนวนมาก อ่านข้ามความเห็นย่อยไป
คำตอบคุณปัญญา น่าสนใจ จนอดเอามาตั้งเป็นกระทู้ไม่ได้
ลองอ่าน แบบไม่ต้องนึกถึงชื่อหุ้น และจำนวนเงินดูครับ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ความคิดเห็นที่ 12-4
"แถมอีกนิด เรื่องหุ้นเปลี่ยนชีวิต
บางคนรอมาเกือบทั้งขีวิตการลงทุน
เพียงเพื่อใด้เจอหุ้นเปลี่ยนชีวิตจังๆ แค่ครั้งเดียวก็พอแล้ว
คุณคนเขลาเบาปัญญา เมื่อปีที่แล้วได้กำไรจากหุ้นตัวเดียว ยี่สิบสามล้านบาท
ตัวนั้นคือ ifs
ทำให้ลูกสาวที่กำลังจะเกิดในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
กลายเป็นว่าที่คุณหนูไปเลย "
---------
แนวคิดนี้ใช่แนวการลงทุนแบบดันโดหรือเปล่าครับ
หลายท่านในที่นี้คงสนใจและมองหาหุ้นเปลี่ยนชีวิต(ในทางที่ดีขึ้น) แบบนี้บ้าง
รบกวนเฮียคลายเครียดและเฮียคนเขลาเบาปัญญา ช่วยขยายความแนวคิด/วิธีการหาหุ้น/การติดตาม/ทำไมมั่นใจถือตัวเดียว/อื่นๆที่คิดว่าเป็นประโยชน์
เพื่อเป็นวิทยาทานกับ นลท.ด้วยครับ
สมาชิกหมายเลข 2338526
18 ชั่วโมงที่แล้ว
++++++++++++++++++++++++++++++++
คำตอบของผม
ความคิดเห็นที่ 12-6
คุณ สมาชิกหมายเลข 2338526
ยอมรับว่า ผมยังไม่รู้เลยว่า การลงทุนแบบดันโดเป็นอย่างไร
ก็เลยออกความเห็นแทนคุณปัญญาไม่ได้
ที่โพสต์ไว้ว่า หุ้นตัวเดียว ไม่ได้หมายความว่าถือตัวเดียวทั้งพอร์ตครับ
เพียงแต่เคยถือไว้เป็นมูลค่าสูงสุดของพอร์ตเมื่อสองปีก่อน ประมาณเจ็ดล้านกว่าหุ้น
ล่าสุดหลุดโผผู้ถือหุ้นรายใหญ่ไปเรียบร้อยแล้ว เพราะขายล้างพอร์ตเมื่อต้นปีก่อน
สำหรับตัวผมเอง
พอร์ตใหญ่แทบจะไม่เคยถือหุ้นต่ำกว่าสิบตัว
เพราะอย่างที่ชอบพูดเล่นๆว่า ไม่ถนัดลงทุนแบบสวนสัตว์เชียงใหม่
ถ้าหมีแพนด้าเป็นอะไรไปตัวเดียว สวนสัตว์แทบจะหมดรายได้
ผมถนัดแบบสวนสัตว์เขาดิน เสือตาย ก็ยังเหลือสิงห์ กระทิง แรด ไว้สร้างรายได้
พอร์ตเล็กเคยถือหุ้น lit ไว้เพียงตัวเดียว พร้อมกับถือทุ่งคาอีกสี่พันเจ็ดร้อยบาท
หลักการแบบมวยวัดของผมคือ
ถ้าพอร์ตนี้เจ๊งจนเหลือศูนย์ ผมรับความเสี่ยงได้หรือไม่
ทำตอบคือ ได้ เพราะมีเงินสดคงค้างในบัญชีอีกกว่าเจ็ดแสนบาท
ก็เลยถือไว้แค่ตัวเดียว เมื่อสองปีก่อน
ตอนนี้กลับมากระจายเป็นถือสามตัว ไม่นับหุ้นโดนเอสพีอย่างทุ่งคาแล้วครับ
กลับมากระจายความเสี่ยง เพื่อรอกินเงินปันผล ที่ให้ยีลด์ปันผลดีกว่าถือ lit ไว้ตัวเดียว
สำหรับความเห็นของคุณปัญญา
เดี๋ยวผมจะหลังไมค์ฺให้เข้ามาอ่านครับ
เข้าใจว่า คงอ่านข้ามไป
endophine
14 ชั่วโมงที่แล้ว
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
คุณปัญญาได้ตอบกลับมาตอนดึกเมื่อคืนนี้ดังนี้
ความคิดเห็นที่ 12-7
ตอบคุณ สมาชิก 2338526 ครับผม
*************************
อย่างที่เฮีย endophine กล่าวไว้ความเห็นข้างบนนี้ครับ
ผมไม่ได้ถือ IFS ตัวเดียว........ครับ เพราะประสบการณ์ที่ผ่านมา สอนให้รู้ว่า มั่นใจยังไงก็ต้องมีทางเลือกอื่นให้ชีวิตด้วยเสมอ
เพราะหากสิ่งที่เรามั่นไจไว้มันพลาด ก็ยังมีโอกาสแก้ตัวได้อีก อีกอย่างผมเองไม่เคยมั่นใจในหุ้นตัวไหน 100 % เลย
ตลอดตั้งแต่เข้ามาในตลาดหุ้น และได้รู้จักโลกการเงินและการลงทุน จึงเข้าใจในสัจธรรมที่ว่า "ทุกสิ่งไม่มีสิ่งใดจีรัง ยั่งยืน และแน่นอน"
ส่วนที่ว่า หุ้นเปลี่ยนชีวิต... อาจไม่ถึงขนาดนั้นครับ เพียงแต่วันนี้สิ่งที่ได้เพียร...พยายามทำมาตลอด ต้องผ่านทั้งคราบเลือดและน้ำตา
มันตกตะกอนพอที่จะทำให้การลงทุนของเราไม่ผิดพลาดมากเหมือนเมื่อก่อนแค่นั้นเอง และปันผลที่ได้พอจะเลี้ยงตัวได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น
โดยส่วนตัว ยังไม่ถือว่าตัวเองประสบความสำเร็จเท่าไร เพราะถ้าเทียบกับ พอร์ตของ พี่ๆ เฮียๆ หลายๆท่านที่มางาน meeting
ตัวผมถือว่าเป็นแค่นักลงทุนตัวเล็กๆ เท่านั้นเอง อีกทั้งก่อนปีใหม่ ผมได้คืนเงินในส่วนที่ครอบครัวฝากไว้เพื่อลงทุน คืนกลับ
เงินกองกลางของครอบครัวไปแล้ว เพื่อความสบายใจของพี่ น้อง ทุกคน พอร์ตผมทุกวันนี้ก็ถือว่าเล็กมาก...เพียงแค่พอเลี้ยงครอบ
ครัวได้ไม่เดือดร้อนเท่าไร
*************************
ส่วนหลักคิดในเรื่องของการลงทุน
ส่วนตัวให้ความสำคัญกับ techincal 60% พื้นฐาน 30% จินตนาการ 10% ครับ
ยิ้มเรื่อง...technical ก็ใช้ความรู้จากที่ลองผิดลองถูก เรียนรู้จาก...หลายๆแหล่งที่หาได้ พยายามศึกษาทุกแนวเพื่อนำมา
ประมวลหาข้อดี ข้อเสีย จนได้วิธีที่พอจะใช้เป็นหลักยึดของตัวเองได้ก็เท่านั้น ส่วนตรงนี้ขอข้ามไปเลยละกันครับ
อธิบายยาก
ยิ้มเรื่อง....พื้นฐาน ยกตัวอย่าง IFS ละกันครับ ตอนที่ผมเริ่มเก็บ อยู่ช่วงปี 54 ราคาหุ้นจะวิ่งอยู่ในช่วง 1.4 - 1.6 บาท
เท่ากับ book value ที่ประมาณ 1.5 กว่าๆ เท่ากับว่าความเสี่ยงไม่สูงมาก P/BV ประมาณ 1 ...... ok
ที่นี้มาดูเรื่อง กำไรต่อหุ้นซึ่งมีผลต่อการจ่ายปันผล จำไม่ผิดน่าจะกำไรต่อหุ้นประมาณ 0.15 - 0.16 กับนโยบายปันผล
ไม่ต่ำกว่า 50% คำนวนได้ว่า...ราคาที่ซื้อ P/E 10 เท่า จ่ายปันผลครึ่งนึง..คิดเป็นอัตราผลตอบแทนประมาณ 5-6%
ซึ่งดีกว่าเงินฝากประจำพอควร ก็เลยตัดสินใจซื้อ
ส่วนเรื่องจุดที่ซื้อ....หรือ การซื้อเฉลี่ยขาลง จะใช้ technical และการวางแผนการจัดสรรเงินลงทุน(money management)
ในการตัดสินใจซื้อ ณ.ราคาใดๆก็ตาม ไม่ใช่หลับหูหลับตาเฉลี่ยขาลงเพื่อความสะใจ
ส่วนการหาจุดขาย หรือการ cut loss ก็ใช้ technical อีกเช่นกัน แต่มีการคำนวนพื้นฐานมาประกอบด้วย
อย่าง IFS ตอนที่ขายคือคิดไว้แล้วว่า ถ้าราคาอยู่ในโซนนั้นจะขายออก แต่จะขายมากขายน้อยหรือขายหมด ก็ดู technical
ประกอบอีกเช่นกันครับ
ตอนที่ขาย IFS ไปที่เกือบๆ 5 บาท ช่วงต้นปี 2558 เพราะคำนวนกำไรทั้งปีน่าจะไม่เกิน 0.30 บาท ปันผลก็น่าจะได้ประมาณ
0.15 ถ้าเทียบกับราคาเกือบ 5 บาท เท่ากับได้ผลตอบแทนประมาณ 3% เลยตั้งเป้าไว้ว่าถ้าราคาวิ่งขึ้นมาเร็วเกินไปใน
ระดับราคานี้จะทยอยขายครับ ผมว่านักลงทุนหลายๆคนก็คงคิดคล้ายๆกัน เพราะดูจากรายชื่อ ผถห.ที่ผ่านมาก็มีการ
เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางเดียวกันกับที่ผมทำ
สำหรับผม กำไรก้อนนี้จริงๆแล้ว น่าจะมาจากความพยายาม + โชคด้วยเหมือนกันครับ
เพราะ IFS เหมือนจะเป็นหุ้นรอบหลังๆที่ถูกไล่ราคาขึ้นมา ก่อนหน้าที่ set จะปรับตัวลงในรอบนี้เลยทีเดียว
ซึ่งส่วนตัวแล้วก็ เสียวๆเหมือนกัน เพราะผมมองว่า...set ในช่วงนั้นน่าจะมีการปรับตัวลง ในไม่ช้า
เพราะหุ้นส่วนมากในตลาดมีการปรับตัวขึ้นไปสูงมากในรอบแรก ช่วงปี 56 ..หลังจากวิกฤติ subprime ปี 51-52 เป็นต้นมา
สร้างเซียนหุ้นหน้าใหม่เต็มตลาด ออกหนังสือกันเป็นว่าเล่นเต็มแผงกันเลยทีเดียว
ตอนนี้น IFS ราคาขยับขึ้นมานิดเดียว แล้วร่วงลงไปอีก ตอน set ปรับฐานตอนต้นปี 57 จนปลายปี 57 ที่ set ฟื้นขี้นมาอีกรอบ
IFS ตอนนั้นราคาก็ขยับขึ้นมาอีกไม่มากเท่าไร จนผมอดน้อยใจในโชคชะตากับหุ้นสุดที่รักไม่ได้เลยทีเดียว
แต่พอกลับไปดู อีกทีก็ยังพอจะเห็นแสงร่ำไรบ้างว่า น่าจะมีโอกาสในเร็วๆนี้ เพราะตอนนั้นผมกลัวว่าถ้า set ปรับตัวลงไปอีก
ทีในรอบนี้ อาจลาก IFS ให้ร่วงไปอีกนานเลยก็ได้ เพราะตอนนั้น set เริ่มเสียทรงแล้วเหมือนกัน
จนเหมือนทุกอย่างลงตัว จังหวะเวลามาพอดี ราคาหุ้นถูกไล่ขึ้นมาในจุดที่เราเตรียมตัวไว้แล้ว.....ก็เลยจัดการซะเลยครับ
เรื่องทั้งหมดก็เป็นมาอย่างนี้แหละครับ ไม่รู้เหมือนกันว่าจะพอช่วยให้คุณ 2338526 ได้อะไรบ้างรึเปล่านะครับยิ้ม
ตอบกลับ
1 2
คนเขลาเบาปัญญา
+++++++++++++++++++++
ผมเข้าใจหุ้นเปลี่ยนขีวิตของคุณปัญญาได้ดี
จำได้แม่น จากที่คุณปัญญาเล่าให้ฟังที่บ้านใร่กาแฟเอกมัยว่า
ตอนบอกว่าที่ภรรยาก่อนแต่งงานว่า มีรายได้หลักจากการซื้อขายหุ้น
ว่าที่ภรรยา ฟังแล้วน้ำตาซึม
(เพราะว่าที่พ่อตา เคยมีพอร์ตหุ้นจาก ๗๐ ล้าน แล้วเหลือเพียง ๔๐ ล้าน)
รายละเอียดมากกว่านี้ ถ้าคุณปัญญาอยากจะเล่า
คงจะได้อ่าน
++++++++++++++++++++++++
ขอตัดแปะเพิ่มความเห็นว่าด้วยการเล่น tfex และ option ของคุณพ่อโปรเจ็กต์
อ่านแล้วชอบมากๆ ทั้งๆที่ผมไม่เคยคิดจะยุ่งกับมัน
จะว่าไปแล้ว หลักการในการเดินทางแสวงหาเงินในตลาดหุ้น ไม่ว่าแนวทางไหน
มันก็ประมาณนั้นเหมือนกัน