### ศิษย์เก่า มจร. เตือน ไพบูลย์ อย่าลุอำนาจ ###


บทความโดย ผศ ดร นเรศ สุรสิทธิ์ ในฐานะชาวพุทธ และศิษย์เก่า มจร.

กรณีคุณไพบูลย์ นิติตะวัน และ มจร.
ในฐานะศิษย์และอาจารย์ของมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ขอใช้พื้นที่นี้ตรวจทานความเข้าใจกับท่านไพบูลย์ นิติตะวัน ในปัญหาที่ท่านยกขึ้นมาเพื่อปฏิรูปพระพุทธศาสนา ดังนี้ครับ

1. คำกล่าวว่า พระภิกษุ มจร. เน้นให้เรียนทางโลกมากไป ข้อนี้สามารถตรวจสอบได้ง่ายๆ โดยให้ท่านเข้าไปดูหลักสูตรของมหาจุฬาฯ ว่ามีสัดส่วนธรรมะกี่% นอกเหนือจากนี้พระสงฆ์ทุกวัดต้องเรียนหลักสูตรนักธรรมชั้นตรี-โท-เอก (แต่ละชั้นจะมี 4 วิชาคือ พุทธประวัติ วินัย ธรรมะ และกระทู้ธรรม) ซึ่งเป็นธรรมะของพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นหลักสูตรบังคับเรียนอยู่แล้ว ตลอดถึงหลักสูตร บาลี (เปรียญธรรม 1-9) แยกต่างหาก (ถ้ารวมเรียน มจร. ด้วยก็เป็นการเรียนธรรมถึง 3 องค์กร ไม่ใช่สามหลักสูตรนะครับ) ทั้งหมดนี้ว่าด้วยเรื่องธรรมะล้วนๆ รับรองได้ว่าพระนิสิต รวมถึงเยาวชนที่เรียนด้วย จะรู้ธรรมะผู้บริหาร (เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ได้อย่างดี) รู้เรื่องอคติ 4 เป็นอย่างดี (ฉันทาคติ ทุกคนรู้วว่าหมายถึงความลำเอียงเพราะรัก โทสาคติ ลำเอียงเพราะเกลียด เพราะชังจนหน้ามืดตามัว ภยาคติ ลำเอียงเพราะกลัว เพราะเกรงใจ กลัวเขาไม่ให้ตำแหน่ง และโมหาคติ ลำเอียงเพราะไม่รู้ เพราะโง่งมงาย ไปถามนิสิต หรือพระเณรทั่วไปก็สามารถอธิบายธรรมพวกนี้ได้และเข้าใจลึกซึ้ง) นั่นแสดงว่านอกจากเรียนตามหลักสูตรมหาจุฬาฯ แล้วยังต้องเรียนหลักสูตรดังกล่าวด้วย ที่สำคัญครับ ทุกหลักสูตรได้รับการรับรอง การควบคุณ การกำกับดูแลจากหน่วยงานของรัฐอย่าง สกอ สมส เป็นต้นอยู่แล้วนะครับท่าน องค์กรเหล่านั้นมีหน้าที่โดยตรงในการตรวจสอบคุณภาพอยู่แล้ว

2. นอกจากการเรียนตามที่กล่าวมาแล้ว พระนิสิตและนิสิตทุกรูปทุกคน ต้องเข้าปฏิบัติธรรมทุกปี เป็นระยะเวลา 4 ปี (ตามสถานที่ๆ มหาวิทยาลัยกำหนด และน่าจะมีเฉพาะมหาจุฬาฯ และมหามกุฎ สำหรับหลักสูตรนี้ มหาวิทยาลัยที่ท่านเรียนมีอย่างนี้ไหมครับท่าน (ขออภัยที่ถามครับ)) สมัยผมเรียนต้องปฏิบัติศาสนกิจอีก 1 ปีนะครับ ไม่มีเงินค่าตอบแทน แต่ได้ตอบแทนบุญคุณชาวบ้าน ตอบแทนบุญคุณมหาวิทยาลัยและพระศาสนา (มหาวิทยาลัยภายนอกเรียน 4 ปี จบ รับปริญญา แต่เราต้องปฏิบัติศาสนกิจเพื่อตอบแทนพระศาสนา ตอบแทนชาวบ้านอีก 1 ปี จึงจะได้รับปริญญาครับ) ในระหว่างเรียนพระนิสิตยังได้อาสาเป็นครูอาสาตามโรงเรียนต่างๆ เพื่อสอนธรรมะให้กับเยาวชนของชาติอีกด้วย (ตรวจสอบได้จากระบบโรงเรียนต่างๆ) ดังนั้นที่บอกว่าพระนิสิต มจร เรียนธรรมะ น้อยไป ผมว่าหลักสูตรทางโลกที่คุณไพบูลย์ร่ำเรียนมาต่างหากครับที่บรรจุธรรมของพระพุทธเจ้าให้ท่านเรียน้อยไป (แทนที่จะเพิ่มให้ลูกหลานเรียนธรรมะในโรงเรียนมากขึ้น กลับตัดออกแล้วให้นำคำสอนศาสนาอื่นมาให้เรียนเท่ากับพุทธ ทั้งๆ ที่คนพุทธกว่า 90% คิดได้ไง) ยิ่งกว่านั้นนะครับท่านนิสิตมหาจุฬาฯ จะออกปฏิบัติศาสนกิจระหว่างศึกษาอยู่นี้ทุกปีในรูปโครงการต่างๆ ท่านน่าจะเคยได้ยินครับ ช่วงปิดเทอมของเด็กๆ รัฐเคยมีโครงการอะไรให้เด็กทั่วประเทศหรือเปล่า (ผมไม่ทราบ) แต่มจร ส่งพระนิสิตไปจัดโครงการบรรพชาสามเณรภาคฤดูร้อนเป็นร้อยโครงการต่อปี เยาวชนของชาติได้มีโอกาสในการศึกษาธรรมะจากพระนิสิตเป็นเดือน (ไหนบอกว่าพระเรียนธรรมะน้อย แล้วไปสอนเขาได้ไง !!! นั่นสิ) ทำให้เยาวชนห่างไกลยาเสพติด ห่างไกลจากการติดเกม พ่อแม่สบายใจ ส่วนเงินอุปถัมภ์ส่วนมากเลยมาจากชาวบ้านทั้งนั้นครับ (ไร้ค่าจ้างครับ พูดจากประสบการณ์การเป็นประธานโครงการบรรพชาสามเณรภาคฤดูร้อน 3 สมัยครับ)

3. คำกล่าวว่า พระอยู่ฟรี กินฟรี ฟรีทุกอย่าง ข้อนี้ผมขอตอบท่านนะครับ (ท่านพูดเหมือนท่านตายไม่เป็น มองศาสนาเหมือนพวกคอมมิวนิสสมัยก่อนมอง) ประเด็นแรกที่ว่าพระอยู่ฟรี กินฟรี ถามนิดนะครับท่านเดือดร้อนอะไร ในเมื่อท่านก็ไม่เคยทำบุญให้ทานอยู่แล้ว หรือว่าท่านอิจฉาพระ ที่ส่วนหนึ่งเป็นลูกชาวบ้าน ขาดโอกาสทางการศึกษาเข้ามาบวช มาพึ่งพระศาสนา พึงข้าวชาวบ้าน (ความจริงเป็นศาสนาต่างหากที่ต้องได้รับการชื่นชมที่ทำหน้าที่ขัดเกลา อบรม ให้การศึกษาแก่เด็กชาวบ้านเหล่านี้ แบกภาระแทนรัฐ จนมีการศึกษาเท่าเทียมคนมีเงิน มาร่วมพัฒนาชาติ ส่วนที่สึกออกมาก็ทำประโยชน์ให้สังคมเป็นครู อาจารย์ เต็มบ้านเต็มเมือง (ได้ครูที่มีธรรมะ มันผิดตรงไหน) ไม่เป็นภาระสังคม ไม่เป็นโจรขโมย ไม่ดีหรือครับ) แต่ถ้าท่านคิดว่าเขาเอาเปรียบให้ให้ลูกหลาน และตัวท่านเองมาบวชก้ได้นะครับ ชีวิตจะได้ร่มเย็นขึ้น รับรองว่าชาวบ้านทำบุญให้อยู่แล้วครับ เพราะชาวบ้านเข้าถึงธรรมมาก และมีใจบุญสุญทาน ไม่เหมือนใครบางคนครับ ชอบมองหาแต่ข้อผิด มองโลกแง่ร้าย

ส่วนที่บอกว่าพระไม่ต้องเสียตังค์เลย อยู่ฟรี กินฟรี (ขอตอบในฐานะที่บวชพระมาหลายปี) ผมไม่เข้าใจว่าท่านประสงค์จะให้พระไปทำไร่ไถนาหรือไงครับ ไปขับรถรับจ้างอย่างนี้หรือครับท่าน (ทำไมไม่ให้ท่านตั้งพรรคการเมืองเลยละครับ) (ไปศึกษาพระวินัย ข้อห้ามต่างๆ ของพระด้วยนะครับท่าน) เพิ่มเติมครับว่า พระต้องเสีย ค่าไฟค่าน้ำ ค่าสมุด หนังสือ ค่ารถเมล์ไม่เสีย แต่แทบจะไม่ได้ขึ้น เพราะรถเต็มตลอด (คนเต็มรถ พระก็เกรงใจ ไม่กล้าขึ้น เพราะขึ้นไปแล้วไม่มีใครลุกให้ท่าน ท่านก็เป็นตัวตลกสิครับ) หลายครั้งต้องเดินไปเรียน ค่าเรียนก็เสียครับ แต่จะเสียน้อยกว่าชาวบ้านหน่อย (ถ้าพ่อแม่มีเงินเสียค่าเทอมเท่ากับชาวบ้าน คงไม่ให้ลูกมาบวช ส่วนที่ขาดไปท่านผู้มีใจบุญทั้งหลาย (ไม่รวมคุณไพบูลย์นะครับ) ช่วยอุปถัมภ์ค้ำจุนครับ ท่านเหล่านั้นก็หวังบุญกุศลที่ได้ทำนุบำรุงพระศาสนา และได้สร้างพระ สร้างคนครับ

ค่าเดินทางไปต่างจังหวัด ไปสอน ไปเทศน์เสียทั้งนั้นครับ (อยากให้ท่านลองมาบวชดูนะครับ) มีบางวัดเท่านั้นแหละครับที่มีลาภสักการะ ไม่กี่ % ส่วนที่เหลือยากจนทั้งนั้น

4. ท่านบอกว่า เป็นการเอาเปรียบนักศึกษาที่ไม่ได้บวช ผมว่าท่านใจแคบมากนะครับ ถ้าเช่นนั้นก็ให้คนที่คิดว่าเอาเปรียบมาบวชสิครับ จะได้ไม่เอาเปรียบ (ถ้าผมบอกว่าท่านส่งลูกหลานไปเรียนต่างประเทศ ท่านเอาเปรียบผม และชาวไร่ชาวนาที่ทำงานเสียภาษีเพื่อเป็นเงินเดือนให้ท่าน ท่านว่าผมถูกหรือผิดครับ) ข้อนี้ผมขอตอบในฐานะที่เป็นอาจารย์พิเศษที่ มจร มากว่า 15 ปี นะครับ ผมจะไม่รับงานสอนที่ไหนเลยในวันจันทร์ เพราะจะเก็บไว้สอนให้มหาจุฬาฯ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ทำบุญในฐานะชาวพุทธ ตามคำสอนของครูบาอาจารย์ที่ว่าการให้ธรรมะเป็นทาน เป็นการให้อันสูงสุด 2. เพื่อตอบแทนสถาบันที่ตนเองจบมาครับ โดยค่าตอบแทนที่ได้ในหลายปีแรกคือ 80 บาทต่อชั่วโมง และปัจจุบัน ป.ตรี 300 ต่อชั่วโมง เมื่อก่อนไม่มีค่าเดินทางให้ด้วย ในขณะที่ผมสอนที่มหาวิทยาลัยอื่นชั่วโมงละ 1000 บาทครับ ถึงตอนนี้น่าจะพอเข้าใจได้แล้วนะคครับว่าทำไมค่าเทอมที่ มจร ถูกกว่าที่อื่น ก็เพราะมีอาจารย์วุฒิ ผศ ดร หรือสูงกว่านี้ที่เป็นศิษย์เก่าอย่างผม และอีกหลายท่าน ยินดีกลับไปสอนให้กับสถาบันที่ตัวเองจบมา ในอัตราแล้วแต่จะให้ไงครับท่าน (การที่ มจร มีศิษย์อย่างนี้จำนวนมาก เป็นความสำเร็จหรือล้มเหลวของสถาบันแห่งนี้ครับท่าน)

อีกอย่างครับท่าน จากประวิติศาสตร์ พระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์ล้วนแต่อุปถัมภ์พระสงฆ์ทั้งนั้น ในอดีตพระมหากษัตริย์หลายพระองค์ พระองค์ท่านอนุโลมให้กับท่านที่บวชไม่ต้องเป็นทหารด้วยซ้ำ องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ล้นเกล้ารัฐกาลที่ 5 ทรงสถาปนา มจร นะครับ เพราะพระองค์ทรงอุปถัมภ์พระสงฆ์ให้มีการศึกษา แล้วไปสอนชาวบ้าน เพื่อให้ชาวบ้านอยู่ดีมีสุข นี่คือตัวอย่างในการทำนุบำรุงพระศาสนา เพราะพระนอกจากจะขัดเกลาจิตใจชาวบ้าน สั่งสอนชาวบ้านให้ดำรงชีพอย่างสุจริต ก็ทำให้ประเทศชาติไม่มีโจร ผู้ร้ายชุกชุม เมื่อไม่มีโจรผู้ร้ายชุกชุม ชาวบ้านก็ประกอบอาชีพได้ผลกำไร เมื่อได้ผลกำไรก็จ่ายภาษีให้ท่านทั้งหลายได้มีมีเงินเดือนนี่แหละครับ (หวังว่าท่านจะเข้าใจ) เมื่อโจรผู้ร้านไม่รบกวน ชาวบ้านก็มีความสุข แต่พวกท่านกลับมองพระศาสนา มองพระเป็นศรัตรู

ด้วยเหตุผลที่กล่าวมานี้ ผมจึงไม่เห็นด้วยกับคำกล่าวของท่านที่ประกอบด้วยอคติ (อคติผู้ยิ่งใหญ่ผมเคยเขียนลงใน face แล้ว) เพราะถ้าจะพัฒนาอย่างจริงจังก็ต้อง

พัฒนาชาติให้เริ่มต้นที่ประชาชน
พัฒนาคนให้เริ่มต้นที่จิตใจ
พัฒนาอะไรให้เริ่มต้นที่ตนเองก่อน

ทุกอย่างมีเกิด มีดับท่าน ไม่มีอะไรยั่งยืนหรอกครับ อย่าลุแก่อำนาจนักเลยปล่อยวางบ้าง

การปฏิรูปทำได้โดยการส่งเสริม ถ้ากวาดล้างเรียกว่าการปราบปรามครับ ซึ่งจะเป็นชนวนของปัญหาอีกร้อยแป็ดพันประการ ประเทศนี้เป็นของทุกคนเพราะล้วนแต่เสียภาษีและปู่ย่า ตา ทวดร่วมรบ ร่วมสร้างชาติ ร่วมรักษาผืนแผ่นดินนี้มาด้วยกันทุกวงษ์ตระกูล เพียงแต่คนจำนวนมาก ไม่มีโอกาสไปใช้อำนาจอย่างที่ท่านได้ใช้เท่านั้น

ตัวผมเองคงเล็กเกินไปที่ท่านจะมารับฟัง แต่ก็หวังว่าคนใกล้ตัวของท่านจะนำสื่อให้ท่านทราบบ้างครับ และหวังว่าเราจะมาร่วมกันทำนุบำรุงพระศาสนาอันเป็นรากฐานของบ้านเมืองเราครับ (โปรดใช้ธรรมะ (หลักการที่ประกอบด้วยธรรม ปราศจากอคติ) เป็นอำนาจ อย่าใช้อำนาจ (อคติ พวกพ้อง กิเลส) เป็นธรรม)

(อ่านแล้วไม่ถูกใจ ก็ใช่ว่าข้อเขียนนี้จะไม่ถูกต้อง แต่โปรดใช้คำสุภาพในการแสดงความเห็นนะครับ ใช้หลักพรหมวิหารธรรมในการปฏิบัติต่อกัน มืดมา สว่างไป ก็มีถมไปครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่