สวัสดีครับ
ผมขอแทนตัวเองว่า W นะครับ
วันนี้ผมจะมาเล่าเรื่องของผมให้ฟัง
นี่เป็นกระทู้แรก ภาษาอาจจะอ่านไม่รู้เรื่องบ้างหรือมีภาษาวิบัติบ้างก็ขอโทษนะครับ -/\-
อาจจะมีบางอย่างผิดพลาดบ้าง เพราะผมเขียนมาจาก“ความทรงจำ”ล้วนๆ ครับ
เรื่องทั้งหมดต้องย้อนไปตอนใกล้จะจบ ม.6 ตอนไปเข้าค่าบ รด. ครับ
เนื่องจากจังหวัดผมมีศูนย์ฝึกอยู่ในจังหวัดแล้วจึงไม่ต้องไปเข้าที่เขาชนไก่
ผมเจอกับ J ครั้งแรกที่นี่ครับ J เป็นเพื่อนของเพื่อนอีกทีหนึ่ง แต่อยู่คนละโรงเรียนกัน
ตอนแรกยังไม่คิดอะไรและยังไม่สนใจครับ เพราะว่ายังมีเรื่องพัวพันกับคนเก่าอยู่ แต่เห็นว่าน่ารักดี
หลังจากจบค่ายและจบ ม.6 กันไป ผมก็มาเจอกับ J อีกทีหนึ่งที่งานประจำปีของจังหวัดงานหนึ่ง
ผมเจอกับเพื่อนของผมและ J ผมก็เลยทักทายกันเป็นเรื่องปกติ หลังจากนั้นกลับบ้านไปเปิดเฟซบุ๊ค
ชื่อของ J ก็เด้งมาให้ผมแอด ผมก็เลยกด Add Friend ตั้งแต่ตอนนั้นครับ
ทำให้รู้ว่าผมกับ J ก็ได้มาเรียนที่มหาลัยเดียวกันอีก ก็เลยคุยกันมาเรื่อยๆ และนานๆ ครั้ง
เวลาผ่านช่วงเทอมแรกของปี 1 ไป ผมพึ่งเห็นว่า J สมัครเฟซใหม่ ผมเลยแอดไป เนื่องจาก J อัพรูปค่อนข้างบ่อย
ผมเลยชอบไปเมนต์แซว J ทั้งใน FB และ IG จากนั้นก็ยังคุยกันมาเรื่อยๆ จนมาถึงช่วงปิดเทอมปี 1 ขึ้นปี 2
ช่วงนั้นเป็นการปิดเทอมเพื่อต้อนรับอาเซียน เลยปิดปาไป 6 เดือนเต็ม เนื่องจากก่อนหน้าตอนปิดเทอม
ผมได้หาหอนอกไว้อยู่ เนื่องจากหอในต้องเตรียมพื้นที่สำหรับรับน้องปี 1 ในปีถัดไป โดยจะอยู่คนเดียว
เนื่องจากต้องการความเป็นส่วนตัวสูงมากๆ (ถึงแม้ตัวจริงจะร่าเริง เข้ากับคนอื่นได้ง่าย ไม่ชอบอยู่คนเดียวก็ตาม
แต่เมื่อปิดประตูห้องคือทุกคนห้ามรบกวนผมเด็ดขาด)
J จึงมาปรึกษาผมเรื่องหาหอใหม่ แล้วอยู่ดีๆ J ก็ถามผมในไลน์ว่า
J : เออ W เค้าไปอยู่กะแกได้มั้ยอ่ะ
W: หืม หมายถึงแชร์ห้องอยู่น่ะหรอ
J : ใช่ๆ เค้าไม่กล้าอยู่คนเดียวอ่ะ กลัวผี
W : อ่าาาา ถามพ่อแม่แปปนะ
ตอนแรกผมก็ไม่ยอมอ่ะครับ แต่เห็นหน้า J บวกกับสำเนียงการพูดต่างๆ
ก็เริ่มทำให้ผม “ได้กลิ่น” อะไรบางอย่างจาก J
เมื่อเอาเรื่องนี้ไปปปรึกษากับกระทรวงการคลังที่บ้าน ใช้เหตุผลว่าจะได้ประหยัดค่าใช้จ่าย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้(จริงๆ เหตุผลหลักคือจะลากผู้เข้าห้องนั่นเอง)
รัฐมนตรี (หม่อมแม่) และรองรัฐมนตรี (ท่านพ่อ) ก็ได้คำตอบกลับมาว่าไม่ต้องหรอก
เอาไว้พ่อแม่ไปหาจะได้ไม่ต้องเสียค่าโรงแรม
เอาค่าโรงแรมไปลงกับร้านเสื้อผ้าสีแดงสัญชาติญี่ปุ่นดีกว่า
ผมก็เอาเหตุผลข้างต้นไปบอกกับ J ว่าแชร์ห้องไม่ได้แล้วนะ ขอโทษที หลังจากนั้น J
ก็เริ่มเอารูปหอต่างๆ มาให้ผมดู ผมก็บอกว่า โถ๊ะ ก็จองหอไปแล้วจะให้ไปหาที่ไหนอีก
จากนั้นอีกไม่กี่อาทิตย์ผมก็กลับไปที่มหาลัยก่อนที่จะเปิดเทอม เนื่องจากต้องไปเตรียมงานรับน้อง
และก็พึ่งรู้มาจาก J ว่ามันก็มาอยู่หอเดียวกับผม (เอ้า!) แต่อยู่คนละตึกกัน หลังจากนั้นผมกับ J
ก็คุยกันแทบจะทุกวันเลยครับ เช้าคุยกินข้าวก็คุยเย็นก็คุยก่อนนอนก็คุย บางทีก็เปิดกล้อง
Facetime คุยกันบ้าง บอกให้ส่องสภาพห้องให้ดูหน่อย (นี่ไม่คิดบ้างหรอว่าเป็นมิจฉาชีพหลอก
เปิดกล้องดูของแล้วจะมาปล้นห้องเนี่ย) ตอนนั้นก็แฮปปี้ดีมากครับ
และเพื่อความชัวร์ในเรื่องที่ผม “ได้กลิ่น” ผมเลยแอบไปถามเพื่อนของเพื่อนผมที่อยู่คณะเดียวกับ
J ว่าเป็นยังไงบ้าง ส่วนใหญ่ก็ตอบว่าก็นิสัยดีนะ น่ารักดี แต่ก็มีคำตอบหนึ่งจากเพื่อนตุ๊ดบอกว่า
“คนๆ นี้ ไม่ใช่ผู้ชาย”
โอเค จีบ !!!
ขุ่นแม่มาคอนเฟิร์มถึงที่ก็ไม่น่าจะพลาดแล้วล่ะ !!
แล้วก็มาถึงช่วงก่อนเปิดเทอม
J ได้ย้ายเข้ามาที่หอ ตอนแรกจะไปช่วยอยู่แต่ตื่นไม่ทัน เขาขนของจัดห้องกับเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ทีนี้ในห้องของ J ยังขาดของอีกหลายอย่าง ผมจึงอาสาพา J ขับรถไปซื้อของเข้าห้อง
พอมาถึงที่โฮมโปร คุณเอ๊ยยยย อย่างกับไปซื้อของเข้าเรือนหอ (มโนเบอร์ใหญ่มาก) เอาพัดลมอันไหนดี
ผ้ารองที่นอนอันไหน ผมก็ช่วยเลือก พอกลับมาก็ขี่มอไซค์ของ J ออกไปกินข้าวใกล้ๆ หอ ผมก็ออกเงินให้
ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่า J จะคิดยังไง
แต่ผมก็มีใจให้ J ไปแล้วล่ะครับ
พอตกกลางคืน J ก็ทักไลน์มา
J : แกๆ มานอนเป็นเพื่อนเค้าได้มั้ย เค้ากลัวผีอ่ะ
W : ได้ๆ เดี๋ยวลงไปนะ ลงมาเปิดประตูให้ด้วยนะ
J : เครๆ
พอมาถึงที่ห้องของ J สภาพห้องคือในห้องยังจัดของไม่เรียบร้อยดีนัก รวมไปถึงลังพัดผมที่ซื้อมา
เมื่อตอนบ่ายก็ยังอยู่ในสภาพเดิม พอถามก็ได้ใจความว่าประกอบพัดลมไม่เป็น โถคุณชาย
แล้วก็ไม่บอก ผมก็เลยจัดแจงประกอบพัดลมจนใช้ได้ (แต่สุดท้ายก็เปิดแอร์นอน อ้าว) แม่ของ J
ก็ Facetime มา จากที่หัวเราะกันเมื่อกี้พอคุยกับแม่ก็เบะร้องไห้ยังกะเด็กๆ เลยครับ ผู้ชาย(?)อะไร
น้ำตาแตกโคตรง่ายเลย พอวางสายผมก็ปลอบใจเบาๆ ก่อนจะหลับตานอน
เนื่องจากผมเป็นคนนอนค่อนข้างดิ้น ทำให้ “มือ” ของผมก็ไปแปะกับ “น้อง” ของ J ด้วยสันดานเกย์(ส่วนตัว)
ก็เลยแอบจับๆ ของ J สักพักก็เอามือมาปัด ผมก็เลยนอนต่อโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น
หลังจากเหตุการณ์คืนนั้นผมกับ J ก็คุยกันเหมือนปกติก่อนหน้า แซวกันไปแซวกันมา หลังจากนั้น J ก็เริ่มปรับตัว
และนอนคนเดียวได้ในที่สุด (หรือมันกลัวผมกว่า)
หลังจากนั้นผมก็พยายามชวน J มาช่วยทำงานที่คณะบ้าง แต่ก็บอกว่ากลัวโดนเพื่อนๆ ผมแซว ผมก็ไม่ว่าอะไร
และแล้วก็มาถึงช่วงปลายปีหลังส่งงานชิ้นสุดท้ายให้อาจารย์ J ก็ชวนผมไปนอนที่ห้องอีกครั้ง ด้วยเหตุผลที่ว่า
J : W เมื่อคืนเค้าโดนผีอำว่ะ แกมานอนเป็นเพื่อนเค้าหน่อยได้มั้ย
W : หืมม ได้ๆ ลงมารับด้วยนะ
ขึ้นไปบนห้อง ก็เห็นพัดผมตัวเดิมที่กำลังหมุนอยู่ พร้อมกับเห็นกองหนังสือที่ J กำลังอ่านอยู่เพราะว่าอยู่ช่วงใกล้สอบแล้ว
ผมก็เลยคุยกับ J นิดหน่อยก่อนจะขอหลับก่อนเนื่องจากวันนั้นพึ่งส่งงานเสร็จและนอนน้อย โดยที่ J ยังกำลังเปิดไฟใหญ่อ่านหนังสือ
พอรู้สึกตัวอีกทีเพราะว่า J ขอให้ขยับที่บนเตียงให้ J นอน แล้วก็ปิดไป สันดานเกย์(ส่วนตัว) ก็กลับมาอีกครั้ง
คราวนี้ผมล้วงเข้าไปในกางเกงของ J รอบนี้มันตื่นอยู่ อ้าว ไหนบอกผีอำไง แล้วก็ไม่ขัดขื้นด้วย ผมก็เลยจัดการกับ J จนเสร็จ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้(ทำหมดทุกอย่างครับ เหลือแค่”ยิ้ม”อย่างเดียว เพราะในตอนนั้นไม่รู้ว่า J เป็นแบบไหน)
พอตื่นมาในตอนเช้า เนื่องจากผมมีธุระต้องไปทำ ผมเลยขอ J กลับห้องไปก่อน ก่อนจะออกจากห้อง J
ก็ชวนผมไปดูหนังด้วย ผมก็บอกว่า หาเวลามาแล้วกัน
ตอนนั้นในใจผมคือ เอาวะ หลังจากนี้จะดูแลอย่างดีนะ..
สองสามวันถัดมา ผมก็ไปร้านกาแฟเจ้าประจำที่มีโลโก้เป็นรูปนางเงือก
เนื่องจากเห็นอ่านหนังสือติดต่อกันหลายวันเลยน่าจะเหนื่อย ผมเลยสั่งอเมริกาโน่เย็นของผมแก้วหนึ่ง
และของ J เอาเป็นช๊อคโกแลตร้อน เอานมนอนแฟตเพราะช่วงนั้น J ก็กลัวอ้วนอยู่ แถมครัวซองต์เนยสด
ไปอีกชิ้นหนึ่งเอาไว้กินรองท้อง ผมเดินหิ้วถุงออกมาจากร้านด้วยอารมณ์สดใสแบบที่ไม่เคยเป็น
ผมฝากให้เพื่อนเอาไปหิ้วไว้ที่หน้าห้อง กะเอาไว้เซอร์ไพรซ์
ผ่านไปสองสามชั่วโมง ยังไม่มีข้อความใดๆ จาก J ผมเลยทักไลน์ไปหา
W : คุณ J กลับมาห้องรึยังงงง
J : กลับมาแล้วๆ
W : เออ มีของหิ้วไว้หน้าห้องอ่ะ เค้าซื้อมาให้
J : ขอบใจนะแก แต่คราวหลังไม่ต้องก็ได้ แกเอาไปกินเองเหอะ เกรงใจ
W : เอาน่า เห็นอ่านหนังสือเหนื่อยๆ กินเหอะ นะ
J : แกคิดยังไงกับเค้าอ่ะ
W : …
J : เค้าชอบผู้หญิงนะ (!?)
W : เค้าขอโทษ
J : ถ้าเป็นเรื่องคืนนั้นหรอ เค้าคิดว่ามันไม่มีอะไรเกินเลยก็เลยยอม (!!!)
W : เค้าขอโทษ...
J : เดี๋ยวเอาของไว้ที่รถแกนะ แกเอากลับไปกินเหอะ เกรงใจ
W : แล้ว เราจะคุยกันเหมือนเดิมได้มั้ย
J : ได้ แต่คงไม่เหมือนเดิม ...
สิ้นสุดประโยคนี้ น้ำตานี่มาจากไหนก็ไม่รู้ครับ ร้องไห้จะเป็นจะตาย โทรไปดราม่ากับเพื่อน
ก็โดนเพื่อนว่ากลับมาอีก แต่มันก็ปลอบใจเรานะ
ประวัติแชททุกอย่างในไลน์ ไนเฟซ ผมกดลบทิ้งทั้งหมด
เบอร์โทร ไลน์ ทุกอย่างที่ตั้ง Favorite ไว้ก็เอาออก
เพื่อไม่ให้ในอนาคตมาเผลออ่านแล้วก็อมทุกข์กับเรื่องนี้อีก
หลังจากร้องไห้จนหมดแรง ก็ต้องปาดน้ำตาแล้วสู้ต่อไป
อย่าให้คนๆ เดียวที่เดินเข้ามาแล้วเทเราทิ้งทำชีวิตเราพัง
อย่างน้อยเขาไม่รัก โดนเขาเทมา เราก็ต้องสตรองต่อไป ...
เช้าวันต่อมา แต่งตัวไปเรียนตามปกติ ผมเดินมาที่รถของผมก็เห็นถุงกาแฟนางเงือก
วางไว้ท้ายรถ ผมมองเห็นแต่แกล้งทำเป็นไม่เห็น
กดรีโมท บิดกุญแจสตาร์ท เข้าเกียร์ D เหยียบคันเร่งเต็มแรง
ถุงกาแฟถูกแรงกระชากของตัวรถทำให้ทั้งถุงร่วงลงพื้น
Grande Signature Hot Chocolate with Non Fat Milk
รวมไปถึงครัวซองต์เนยสด ก็หกกระจายเรี่ยราดลงพื้น
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
(อ่านมาถึงตรงนี้อาจจะมีคนบ่นว่าเสียดายของ ทำไมไม่เอาไว้กินเอง
คือตอนนั้นผมคิดแต่ว่า ของให้ไปแล้ว แต่เขาไม่เอา ก็ไม่ควรจะมีใครได้ไป
อันนี้คืออินเนอร์นางเองเลิกกับผัวนี่มาแรงมาก ฟีลแบบเอาแหวนหมั้นเพชร 7 กะรัต
โยนทิ้งถังขยะ เอ่อ แต่ถ้าเป็นผมก็เอาไปขายนะ ไม่ทิ้งถังขยะหรอก แต่นี่รวมๆ กัน
ประมาณ 200 บาท คิดซะว่าเป็นค่าบทเรียนบทนี้แล้วกัน
// เอาเถอะ อย่างน้อยก็ได้ดาวสะสมแต้มมาอีกสองดวง )
จากนั้นผมก็พักใจเรื่องนี้ไปพักใหญ่ ผมก็เอาเรื่องนี้ไปปรึกษาเพื่อนหลายๆ คน บางคนก็บอกว่า
ไม่ใช่ไง
(เมื่อมองในกระจกแล้วก็พยักหน้าตาม) บางคนก็บอกว่า One Night Stand มั้ย บางคนก็บอกว่า
เค้าน่ะแค่ “เลี่ยน” แต่
น่ะรักเค้าไปแล้ว
แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า พอจะพักใจกำลังจะทำใจได้ ทีนี้รูปในเฟซและไอจีพร้อมใจกันเด้งขึ้นมา
อื้อหือ แล้วแถมช่วงนั้นเพลง “ขอ” ของ Lomosonic ก็ลอยเข้าหูมาอีก ร้องสิ ร้องเลย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้เอ้า เพลงมา https://www.youtube.com/watch?v=tUuqWFExZgY
แถมนั่งดูซีรีย์ฮอร์โมนทั้ง 2 ซีซั่น ไม่ว่าจะคู่ นน-ธีร์ และ นน-เต้อ
ก็ทำให้เราได้สติ และมานั่งคิดว่า
บางทีบางคนมันก็อาจจะแค่”เหมือน”
แต่ก็ไม่ใช่อย่างที่เราคิดก็ได้
อย่าไปยัดเยียดให้เขาเลย.
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
(ตอนนั่นดูนี่น้ำตาเกือบร่วงเหมือนกันครับ มันตรงกับผมยังกับละเมอเขียนเรื่องส่งให้พี่ปิ๊งกับพี่ย้งเอาไปทำซีรีย์กันเลยทีเดียว แต่พอดูหน้าตัวเองแล้วเทียบกับน้องตั้วและนุ้งภีมผมว่าพักก่อนเนอะ)
เอาเป็นว่าผมขอถามคนที่เคยมีเรื่องประมาณนี้ไว้ว่า ชาย”แท้” จริงๆ นี่เค้าจะมีอะไรแบบนี้ได้มั้ยครับ มันไม่เกินเลยใช่ไหม ?
หรือทุกอย่างเราคิดไปเอง หรือว่าเราแค่ไม่ใช่กับเขาเท่านั้นเอง เขาจึงตอบปฏิเสธเรามาแบบนี้ ?
ที่ผมตัดสินใจมาตั้งกระทู้นี้หลังจากชั่งใจมานาน
เพราะว่าเมื่อวานนนี้เราก็ได้เจอกับ J อีกครั้งแบบไม่ตั้งใจ
ก่อนหน้านี้เราก็แอบกลัวๆ ใจสั่นไปหมด
แต่ตอนนี้ผมไม่รู้สึกอะไรแล้วครับ
“ผมว่าบางทีโลกก็ส่งคนบางคนเหวี่ยงมาหาเรา
แล้วก็เหวี่ยงออกไป เพื่อเจอคนใหม่ที่มีกว่า”
เช่นตอนนี้ครับ
ขอบคุณที่อ่านจนจบนะครับ
(18+) จะเป็นไปได้หรอ ที่จะบอกว่าไม่เกินเลย ? (ช-ช)
ผมขอแทนตัวเองว่า W นะครับ
วันนี้ผมจะมาเล่าเรื่องของผมให้ฟัง
นี่เป็นกระทู้แรก ภาษาอาจจะอ่านไม่รู้เรื่องบ้างหรือมีภาษาวิบัติบ้างก็ขอโทษนะครับ -/\-
อาจจะมีบางอย่างผิดพลาดบ้าง เพราะผมเขียนมาจาก“ความทรงจำ”ล้วนๆ ครับ
เรื่องทั้งหมดต้องย้อนไปตอนใกล้จะจบ ม.6 ตอนไปเข้าค่าบ รด. ครับ
เนื่องจากจังหวัดผมมีศูนย์ฝึกอยู่ในจังหวัดแล้วจึงไม่ต้องไปเข้าที่เขาชนไก่
ผมเจอกับ J ครั้งแรกที่นี่ครับ J เป็นเพื่อนของเพื่อนอีกทีหนึ่ง แต่อยู่คนละโรงเรียนกัน
ตอนแรกยังไม่คิดอะไรและยังไม่สนใจครับ เพราะว่ายังมีเรื่องพัวพันกับคนเก่าอยู่ แต่เห็นว่าน่ารักดี
หลังจากจบค่ายและจบ ม.6 กันไป ผมก็มาเจอกับ J อีกทีหนึ่งที่งานประจำปีของจังหวัดงานหนึ่ง
ผมเจอกับเพื่อนของผมและ J ผมก็เลยทักทายกันเป็นเรื่องปกติ หลังจากนั้นกลับบ้านไปเปิดเฟซบุ๊ค
ชื่อของ J ก็เด้งมาให้ผมแอด ผมก็เลยกด Add Friend ตั้งแต่ตอนนั้นครับ
ทำให้รู้ว่าผมกับ J ก็ได้มาเรียนที่มหาลัยเดียวกันอีก ก็เลยคุยกันมาเรื่อยๆ และนานๆ ครั้ง
เวลาผ่านช่วงเทอมแรกของปี 1 ไป ผมพึ่งเห็นว่า J สมัครเฟซใหม่ ผมเลยแอดไป เนื่องจาก J อัพรูปค่อนข้างบ่อย
ผมเลยชอบไปเมนต์แซว J ทั้งใน FB และ IG จากนั้นก็ยังคุยกันมาเรื่อยๆ จนมาถึงช่วงปิดเทอมปี 1 ขึ้นปี 2
ช่วงนั้นเป็นการปิดเทอมเพื่อต้อนรับอาเซียน เลยปิดปาไป 6 เดือนเต็ม เนื่องจากก่อนหน้าตอนปิดเทอม
ผมได้หาหอนอกไว้อยู่ เนื่องจากหอในต้องเตรียมพื้นที่สำหรับรับน้องปี 1 ในปีถัดไป โดยจะอยู่คนเดียว
เนื่องจากต้องการความเป็นส่วนตัวสูงมากๆ (ถึงแม้ตัวจริงจะร่าเริง เข้ากับคนอื่นได้ง่าย ไม่ชอบอยู่คนเดียวก็ตาม
แต่เมื่อปิดประตูห้องคือทุกคนห้ามรบกวนผมเด็ดขาด)
J จึงมาปรึกษาผมเรื่องหาหอใหม่ แล้วอยู่ดีๆ J ก็ถามผมในไลน์ว่า
J : เออ W เค้าไปอยู่กะแกได้มั้ยอ่ะ
W: หืม หมายถึงแชร์ห้องอยู่น่ะหรอ
J : ใช่ๆ เค้าไม่กล้าอยู่คนเดียวอ่ะ กลัวผี
W : อ่าาาา ถามพ่อแม่แปปนะ
ตอนแรกผมก็ไม่ยอมอ่ะครับ แต่เห็นหน้า J บวกกับสำเนียงการพูดต่างๆ
ก็เริ่มทำให้ผม “ได้กลิ่น” อะไรบางอย่างจาก J
เมื่อเอาเรื่องนี้ไปปปรึกษากับกระทรวงการคลังที่บ้าน ใช้เหตุผลว่าจะได้ประหยัดค่าใช้จ่าย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
รัฐมนตรี (หม่อมแม่) และรองรัฐมนตรี (ท่านพ่อ) ก็ได้คำตอบกลับมาว่าไม่ต้องหรอก
เอาไว้พ่อแม่ไปหาจะได้ไม่ต้องเสียค่าโรงแรม
เอาค่าโรงแรมไปลงกับร้านเสื้อผ้าสีแดงสัญชาติญี่ปุ่นดีกว่า
ผมก็เอาเหตุผลข้างต้นไปบอกกับ J ว่าแชร์ห้องไม่ได้แล้วนะ ขอโทษที หลังจากนั้น J
ก็เริ่มเอารูปหอต่างๆ มาให้ผมดู ผมก็บอกว่า โถ๊ะ ก็จองหอไปแล้วจะให้ไปหาที่ไหนอีก
จากนั้นอีกไม่กี่อาทิตย์ผมก็กลับไปที่มหาลัยก่อนที่จะเปิดเทอม เนื่องจากต้องไปเตรียมงานรับน้อง
และก็พึ่งรู้มาจาก J ว่ามันก็มาอยู่หอเดียวกับผม (เอ้า!) แต่อยู่คนละตึกกัน หลังจากนั้นผมกับ J
ก็คุยกันแทบจะทุกวันเลยครับ เช้าคุยกินข้าวก็คุยเย็นก็คุยก่อนนอนก็คุย บางทีก็เปิดกล้อง
Facetime คุยกันบ้าง บอกให้ส่องสภาพห้องให้ดูหน่อย (นี่ไม่คิดบ้างหรอว่าเป็นมิจฉาชีพหลอก
เปิดกล้องดูของแล้วจะมาปล้นห้องเนี่ย) ตอนนั้นก็แฮปปี้ดีมากครับ
และเพื่อความชัวร์ในเรื่องที่ผม “ได้กลิ่น” ผมเลยแอบไปถามเพื่อนของเพื่อนผมที่อยู่คณะเดียวกับ
J ว่าเป็นยังไงบ้าง ส่วนใหญ่ก็ตอบว่าก็นิสัยดีนะ น่ารักดี แต่ก็มีคำตอบหนึ่งจากเพื่อนตุ๊ดบอกว่า
“คนๆ นี้ ไม่ใช่ผู้ชาย”
โอเค จีบ !!!
ขุ่นแม่มาคอนเฟิร์มถึงที่ก็ไม่น่าจะพลาดแล้วล่ะ !!
แล้วก็มาถึงช่วงก่อนเปิดเทอม
J ได้ย้ายเข้ามาที่หอ ตอนแรกจะไปช่วยอยู่แต่ตื่นไม่ทัน เขาขนของจัดห้องกับเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ทีนี้ในห้องของ J ยังขาดของอีกหลายอย่าง ผมจึงอาสาพา J ขับรถไปซื้อของเข้าห้อง
พอมาถึงที่โฮมโปร คุณเอ๊ยยยย อย่างกับไปซื้อของเข้าเรือนหอ (มโนเบอร์ใหญ่มาก) เอาพัดลมอันไหนดี
ผ้ารองที่นอนอันไหน ผมก็ช่วยเลือก พอกลับมาก็ขี่มอไซค์ของ J ออกไปกินข้าวใกล้ๆ หอ ผมก็ออกเงินให้
ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่า J จะคิดยังไง
แต่ผมก็มีใจให้ J ไปแล้วล่ะครับ
พอตกกลางคืน J ก็ทักไลน์มา
J : แกๆ มานอนเป็นเพื่อนเค้าได้มั้ย เค้ากลัวผีอ่ะ
W : ได้ๆ เดี๋ยวลงไปนะ ลงมาเปิดประตูให้ด้วยนะ
J : เครๆ
พอมาถึงที่ห้องของ J สภาพห้องคือในห้องยังจัดของไม่เรียบร้อยดีนัก รวมไปถึงลังพัดผมที่ซื้อมา
เมื่อตอนบ่ายก็ยังอยู่ในสภาพเดิม พอถามก็ได้ใจความว่าประกอบพัดลมไม่เป็น โถคุณชาย
แล้วก็ไม่บอก ผมก็เลยจัดแจงประกอบพัดลมจนใช้ได้ (แต่สุดท้ายก็เปิดแอร์นอน อ้าว) แม่ของ J
ก็ Facetime มา จากที่หัวเราะกันเมื่อกี้พอคุยกับแม่ก็เบะร้องไห้ยังกะเด็กๆ เลยครับ ผู้ชาย(?)อะไร
น้ำตาแตกโคตรง่ายเลย พอวางสายผมก็ปลอบใจเบาๆ ก่อนจะหลับตานอน
เนื่องจากผมเป็นคนนอนค่อนข้างดิ้น ทำให้ “มือ” ของผมก็ไปแปะกับ “น้อง” ของ J ด้วยสันดานเกย์(ส่วนตัว)
ก็เลยแอบจับๆ ของ J สักพักก็เอามือมาปัด ผมก็เลยนอนต่อโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น
หลังจากเหตุการณ์คืนนั้นผมกับ J ก็คุยกันเหมือนปกติก่อนหน้า แซวกันไปแซวกันมา หลังจากนั้น J ก็เริ่มปรับตัว
และนอนคนเดียวได้ในที่สุด (หรือมันกลัวผมกว่า)
หลังจากนั้นผมก็พยายามชวน J มาช่วยทำงานที่คณะบ้าง แต่ก็บอกว่ากลัวโดนเพื่อนๆ ผมแซว ผมก็ไม่ว่าอะไร
และแล้วก็มาถึงช่วงปลายปีหลังส่งงานชิ้นสุดท้ายให้อาจารย์ J ก็ชวนผมไปนอนที่ห้องอีกครั้ง ด้วยเหตุผลที่ว่า
J : W เมื่อคืนเค้าโดนผีอำว่ะ แกมานอนเป็นเพื่อนเค้าหน่อยได้มั้ย
W : หืมม ได้ๆ ลงมารับด้วยนะ
ขึ้นไปบนห้อง ก็เห็นพัดผมตัวเดิมที่กำลังหมุนอยู่ พร้อมกับเห็นกองหนังสือที่ J กำลังอ่านอยู่เพราะว่าอยู่ช่วงใกล้สอบแล้ว
ผมก็เลยคุยกับ J นิดหน่อยก่อนจะขอหลับก่อนเนื่องจากวันนั้นพึ่งส่งงานเสร็จและนอนน้อย โดยที่ J ยังกำลังเปิดไฟใหญ่อ่านหนังสือ
พอรู้สึกตัวอีกทีเพราะว่า J ขอให้ขยับที่บนเตียงให้ J นอน แล้วก็ปิดไป สันดานเกย์(ส่วนตัว) ก็กลับมาอีกครั้ง
คราวนี้ผมล้วงเข้าไปในกางเกงของ J รอบนี้มันตื่นอยู่ อ้าว ไหนบอกผีอำไง แล้วก็ไม่ขัดขื้นด้วย ผมก็เลยจัดการกับ J จนเสร็จ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
พอตื่นมาในตอนเช้า เนื่องจากผมมีธุระต้องไปทำ ผมเลยขอ J กลับห้องไปก่อน ก่อนจะออกจากห้อง J
ก็ชวนผมไปดูหนังด้วย ผมก็บอกว่า หาเวลามาแล้วกัน
ตอนนั้นในใจผมคือ เอาวะ หลังจากนี้จะดูแลอย่างดีนะ..
สองสามวันถัดมา ผมก็ไปร้านกาแฟเจ้าประจำที่มีโลโก้เป็นรูปนางเงือก
เนื่องจากเห็นอ่านหนังสือติดต่อกันหลายวันเลยน่าจะเหนื่อย ผมเลยสั่งอเมริกาโน่เย็นของผมแก้วหนึ่ง
และของ J เอาเป็นช๊อคโกแลตร้อน เอานมนอนแฟตเพราะช่วงนั้น J ก็กลัวอ้วนอยู่ แถมครัวซองต์เนยสด
ไปอีกชิ้นหนึ่งเอาไว้กินรองท้อง ผมเดินหิ้วถุงออกมาจากร้านด้วยอารมณ์สดใสแบบที่ไม่เคยเป็น
ผมฝากให้เพื่อนเอาไปหิ้วไว้ที่หน้าห้อง กะเอาไว้เซอร์ไพรซ์
ผ่านไปสองสามชั่วโมง ยังไม่มีข้อความใดๆ จาก J ผมเลยทักไลน์ไปหา
W : คุณ J กลับมาห้องรึยังงงง
J : กลับมาแล้วๆ
W : เออ มีของหิ้วไว้หน้าห้องอ่ะ เค้าซื้อมาให้
J : ขอบใจนะแก แต่คราวหลังไม่ต้องก็ได้ แกเอาไปกินเองเหอะ เกรงใจ
W : เอาน่า เห็นอ่านหนังสือเหนื่อยๆ กินเหอะ นะ
J : แกคิดยังไงกับเค้าอ่ะ
W : …
J : เค้าชอบผู้หญิงนะ (!?)
W : เค้าขอโทษ
J : ถ้าเป็นเรื่องคืนนั้นหรอ เค้าคิดว่ามันไม่มีอะไรเกินเลยก็เลยยอม (!!!)
W : เค้าขอโทษ...
J : เดี๋ยวเอาของไว้ที่รถแกนะ แกเอากลับไปกินเหอะ เกรงใจ
W : แล้ว เราจะคุยกันเหมือนเดิมได้มั้ย
J : ได้ แต่คงไม่เหมือนเดิม ...
สิ้นสุดประโยคนี้ น้ำตานี่มาจากไหนก็ไม่รู้ครับ ร้องไห้จะเป็นจะตาย โทรไปดราม่ากับเพื่อน
ก็โดนเพื่อนว่ากลับมาอีก แต่มันก็ปลอบใจเรานะ
ประวัติแชททุกอย่างในไลน์ ไนเฟซ ผมกดลบทิ้งทั้งหมด
เบอร์โทร ไลน์ ทุกอย่างที่ตั้ง Favorite ไว้ก็เอาออก
เพื่อไม่ให้ในอนาคตมาเผลออ่านแล้วก็อมทุกข์กับเรื่องนี้อีก
หลังจากร้องไห้จนหมดแรง ก็ต้องปาดน้ำตาแล้วสู้ต่อไป
อย่าให้คนๆ เดียวที่เดินเข้ามาแล้วเทเราทิ้งทำชีวิตเราพัง
อย่างน้อยเขาไม่รัก โดนเขาเทมา เราก็ต้องสตรองต่อไป ...
เช้าวันต่อมา แต่งตัวไปเรียนตามปกติ ผมเดินมาที่รถของผมก็เห็นถุงกาแฟนางเงือก
วางไว้ท้ายรถ ผมมองเห็นแต่แกล้งทำเป็นไม่เห็น
กดรีโมท บิดกุญแจสตาร์ท เข้าเกียร์ D เหยียบคันเร่งเต็มแรง
ถุงกาแฟถูกแรงกระชากของตัวรถทำให้ทั้งถุงร่วงลงพื้น
Grande Signature Hot Chocolate with Non Fat Milk
รวมไปถึงครัวซองต์เนยสด ก็หกกระจายเรี่ยราดลงพื้น
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
จากนั้นผมก็พักใจเรื่องนี้ไปพักใหญ่ ผมก็เอาเรื่องนี้ไปปรึกษาเพื่อนหลายๆ คน บางคนก็บอกว่าไม่ใช่ไง
(เมื่อมองในกระจกแล้วก็พยักหน้าตาม) บางคนก็บอกว่า One Night Stand มั้ย บางคนก็บอกว่า
เค้าน่ะแค่ “เลี่ยน” แต่น่ะรักเค้าไปแล้ว
แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า พอจะพักใจกำลังจะทำใจได้ ทีนี้รูปในเฟซและไอจีพร้อมใจกันเด้งขึ้นมา
อื้อหือ แล้วแถมช่วงนั้นเพลง “ขอ” ของ Lomosonic ก็ลอยเข้าหูมาอีก ร้องสิ ร้องเลย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แถมนั่งดูซีรีย์ฮอร์โมนทั้ง 2 ซีซั่น ไม่ว่าจะคู่ นน-ธีร์ และ นน-เต้อ
ก็ทำให้เราได้สติ และมานั่งคิดว่า
บางทีบางคนมันก็อาจจะแค่”เหมือน”
แต่ก็ไม่ใช่อย่างที่เราคิดก็ได้
อย่าไปยัดเยียดให้เขาเลย.
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เอาเป็นว่าผมขอถามคนที่เคยมีเรื่องประมาณนี้ไว้ว่า ชาย”แท้” จริงๆ นี่เค้าจะมีอะไรแบบนี้ได้มั้ยครับ มันไม่เกินเลยใช่ไหม ?
หรือทุกอย่างเราคิดไปเอง หรือว่าเราแค่ไม่ใช่กับเขาเท่านั้นเอง เขาจึงตอบปฏิเสธเรามาแบบนี้ ?
ที่ผมตัดสินใจมาตั้งกระทู้นี้หลังจากชั่งใจมานาน
เพราะว่าเมื่อวานนนี้เราก็ได้เจอกับ J อีกครั้งแบบไม่ตั้งใจ
ก่อนหน้านี้เราก็แอบกลัวๆ ใจสั่นไปหมด
แต่ตอนนี้ผมไม่รู้สึกอะไรแล้วครับ
“ผมว่าบางทีโลกก็ส่งคนบางคนเหวี่ยงมาหาเรา
แล้วก็เหวี่ยงออกไป เพื่อเจอคนใหม่ที่มีกว่า”
เช่นตอนนี้ครับ
ขอบคุณที่อ่านจนจบนะครับ