ปกติไฟเพดานรถยนต์ในปัจจุบันที่เป็นแบบแอลอีดีก็มีขายตามท้องตลาดอยู่หลายเจ้า ซึ่งจะเป็นสินค้าทดแทนก็คือใช้แทนหลอดไฟแบบเก่าที่เป็นแบบใส้ ราคาก็มีตั้งแต่ไม่กี่สิบบาท หลายร้อยบาท จนถึงระดับพันบาทซึ่งก็แปรตามยี่ห้อและคุณภาพของสินค้า
แทบทั้งหมดที่ใช้ก็คือแบบ T10 มีขนาดความยาว 31 มม. จะมีอีกส่วนที่ยาว 36 มม. กับ 41 มม. แต่ไม่ค่อยพบเห็น และมักจะอยู่ในรถนั่งขนาดใหญ่ของยุโรป
ข้อดีของหลอดแอลอีดีคือ ประหยัดพลังงานกว่ามากประมาณ 80 เปอร์เซนต์ขึ้นไป ไม่ร้อน แสงออกมาเป็นสีขาว และปกติจะทนทานกว่าหลอดใส้มาก ผู้ผลิตหลอดมักจะเคลมไว้ที่ 5หมื่นขั่วโมง และบางยี่ห้ออาจไปถึง 1แสนชั่วโมง แต่ปัจจุบันเราพบว่าหลอดที่ราคาถูกจำนวนไม่น้อยก็มีปัญหาเรื่องอายุการใช้งาน ซึ่งเกิดจากคุณภาพตัวสินค้าเองและ การออกแบบที่ไม่เหมาะสม เพราะหลอดแอลอีดีนั้นตอบสนองต่อทางไฟฟ้าและสภาพแวดล้อมไวกว่าหลอดไส้ธรรมดามาก
SnowShine ขนาด 31 มม. อันนี้นอกจากถูกสร้างมาเพื่อทดแทนหลอดไส้แล้ว สิ่งสำคัญคือการใส่อุปกรณ์ควบคุมที่ทำให้มันปิดตัวเองได้ด้วยเวลาที่กำหนดซึ่งถูกตั้งไว้ที่ 75 วินาที (ตอนนี้เลือกค่าได้ถึง 0-600 วินาที แต่ต้องไปบอกเขาในเว็บ) เพื่อแก้ปัญหาการลืมปิดไฟเพดานที้งเอาไว้
ปัญหาลืมปิดไฟเพดานนี้สำคัญนะครับ ถ้าลืมนานๆ ก็บั่นทอนอายุแบตเตอรรี่ แต่ถ้าลืมช่วงสั้นๆ มันก็สร้างโอกาสที่คนร้ายจะเข้ามาประทุษร้ายต่อรถได้เหมือนกัน โดยส่วนตัวผมก็ไม่ใช่คนที่ลืมปิดอะไรง่ายๆ แต่ก็เคยเผลอ และบางคนก็แก้ปัญหาด้วยปรับสวิทช์มาที่ตำแหน่ง DOOR (ที่ปิดไฟเมื่อประตูปิดโดยอาจมีหน่วงเวลามาช่วย เปิดไฟเมื่อประตูเปิด) แต่ถ้าเราอยู่ในบางที่ เช่น เขตปลอดเปลี่ยว ฝุ่น ร้อน พวกนี้ ตำแหน่งนี้ก็ไม่เหมาะที่จะใช้งาน และถ้าลองไปค้นหาคำว่าลืมปิดไฟเพดานดูก็จะยังพบอยู่หลายเคสมาก แสดงว่าตำแหน่ง DOOR เองก็ยังไม่ได้ผลเต็มที่ในการป้องกัน แต่ประเด็นคือ เราไม่มีวันรู้ว่าจะเกิดกับเราตอนไหน ดังนั้นการมีระบบอะไรมาช่วยปิดไฟให้ก็จะช่วยให้เราอุ่นใจมากกว่า
หลอดไฟ SnowShine นี้จะใช้สมองกลหรือไมโครคอนโทรลเลอร์ 8 บิทควบคุม มีสัญญาณนาฬิกาที่ใช้ตั้งเวลาในตัวซึ่งมีความเชื่อถือได้สูง มีลูกเล่นอื่นๆ เช่น ลำดับการติดไฟในแต่ละดวง มีการเฟดอิน-เฟดเอ้าท์ โดยที่เวลาเฟดเปิดจะสว่างเต็มที่เร็วกว่าช่วงเฟดปิด หลอดนี้ยังมีระบบป้องกันตัวเองเช่น ตัวควบคุมแรงดันไฟ ระบบป้องกันกระแสเกินหรือโอเวอร์โหลด
หลอด SnowShine จะมีไฟสีฟ้าดวงเล็กคอยบอกสถานะว่ามีการเปิดสวิทช์ทิ้งไว้หรือเปล่า มันจะติดตลอดเวลาที่เปิดสวิทช์ไฟเพดาน ไฟดวงนี้เปิดทิ้งไว้ทั้งเดือนเลยก็ได้เพราะกินกระแสน้อยมากประมาณ 10 มิลลิแอมป์ (แต่ 1 อาทิตย์ควรชาจน์ไฟกลับบ้างเพราะมีส่วนอื่น เช่นสมองกล กันขโมย นาฬิกามันกินไฟตลอดเวลาและเยอะกว่าหลอดไฟดวงฟ้ามาก)
แต่จุดที่น่าหงุดหงิดอย่างนึงคือเวลาเราตั้งตำแหน่ง DOOR ใช้งาน ปกติช่วงที่ปิดประตูและไฟหลอดไส้หรี่ปิด แต่ SnowShine จะเกิดอาการหรี่แบบกระพริบๆ จนดับ เนื่องจากแรงดันขั้วหลอดมันค่อยๆ ลด ทำให้สมองกลมันกระตุ้นรีเซ็ตตัวเองไปเรื่อยๆ แต่ก็ไม่มีความเสียหายอันใดนอกจากรำคาญสายตา ซึ่งขอแนะนำว่าถ้าใช้หลอดนี้แล้วก็ลืมการใช้งานตำแหน่ง DOOR ไปเลยจะสะดวกกว่า
ถ้าเทียบความสว่างเอาเป็นสเปคละกัน หลอดไส้สว่าง 100 ลูเมนส์ที่ 8 วัตต์ หลอด SnowShine สว่าง 48 ลูเมนส์ที่ 1 วัตต์ แต่ 48 ลูเมนส์นี่ไม่ได้แปลว่าเราเห็นความสว่างน้อยกว่านะ เนื่องจากหลอดไส้มันสว่างรอบตัว ดังนั้นส่วนที่ขึ้นเพดานไปมันก็เสียเปล่า ขณะที่แอลอีดีมันกระจายแสงที่ 120 องศาซึ่งเป็นมุมที่สาดไปทั่วห้องโดยสารพอดี ดังนั้นแสงของหลอดแบบนี้ก็มักจะใช้ได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย หรือ ถ้าเทียบอีกอย่างว่า หลอดแอลอีดีใช้แสงในรถได้ 100 เปอร์เซนต์ หลอดไส้จะใช้ได้แค่ 25 เปอร์เซนต์หรือใช้ประโยชน์จริงได้ 25 ลูเมนส์เท่านั้น นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมแอลดีถึงดูสว่างกว่าทั้งที่ลูเมนส์น้อยกว่า
ลองเทียบว่าSnowShine สว่างแค่ไหนในระดับหลอดแอลอีดี อย่างหลอดฟิลิปส์หลอดละพันบาทก็มีความสว่าง 40 ลูเมนส์ หรือ ออสแรม เฟสตูนหลอดละ 350 บาทก็สว่าง 30 ลูเมนส์ ข้อดีของยี่ห้อฟิลิปส์นี้ใช้กระแสน้อยกว่า SnowShine ถึง 60 เปอร์เซนต์ หรือ ประมาณ 0.4 วัตต์ เพราะไม่มีวงจรอิเล็กทรอนิส์อื่นควบคุมมากนั่นเอง ของออสแรมยังไม่มีข้อมูลมาก แต่ SnowShine ถูกออกแบบมาให้เน้นในเรื่องการป้องกันเป็นหลัก ดังนั้นคอนเซปต์ของสินค้าจะต่างกันอยู่แล้ว
ตอนนี้ SnowShine จะถูกขายในเว็บออนไลน์ที่เดียวเท่านั้น เพื่อหนีต้นทุนการจัดจำหน่าย เนื่องจากต้นทุนการพัฒนาและการผลิตสูงมาก อุปกรณ์ที่ใช้มีมาตรฐานทุกชิ้น ขนาดแผ่นวงจรพิมพ์ยังทำแบบ RoHS Compliant กระทบสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด
อันนี้เอาคลิปการทำงานสั้นๆ มาให้ดูนะครับ
[SR] รีวิวไฟเพดานรถยนต์ปิดตัวเองอัตโนมัติ SnowShine
แทบทั้งหมดที่ใช้ก็คือแบบ T10 มีขนาดความยาว 31 มม. จะมีอีกส่วนที่ยาว 36 มม. กับ 41 มม. แต่ไม่ค่อยพบเห็น และมักจะอยู่ในรถนั่งขนาดใหญ่ของยุโรป
ข้อดีของหลอดแอลอีดีคือ ประหยัดพลังงานกว่ามากประมาณ 80 เปอร์เซนต์ขึ้นไป ไม่ร้อน แสงออกมาเป็นสีขาว และปกติจะทนทานกว่าหลอดใส้มาก ผู้ผลิตหลอดมักจะเคลมไว้ที่ 5หมื่นขั่วโมง และบางยี่ห้ออาจไปถึง 1แสนชั่วโมง แต่ปัจจุบันเราพบว่าหลอดที่ราคาถูกจำนวนไม่น้อยก็มีปัญหาเรื่องอายุการใช้งาน ซึ่งเกิดจากคุณภาพตัวสินค้าเองและ การออกแบบที่ไม่เหมาะสม เพราะหลอดแอลอีดีนั้นตอบสนองต่อทางไฟฟ้าและสภาพแวดล้อมไวกว่าหลอดไส้ธรรมดามาก
SnowShine ขนาด 31 มม. อันนี้นอกจากถูกสร้างมาเพื่อทดแทนหลอดไส้แล้ว สิ่งสำคัญคือการใส่อุปกรณ์ควบคุมที่ทำให้มันปิดตัวเองได้ด้วยเวลาที่กำหนดซึ่งถูกตั้งไว้ที่ 75 วินาที (ตอนนี้เลือกค่าได้ถึง 0-600 วินาที แต่ต้องไปบอกเขาในเว็บ) เพื่อแก้ปัญหาการลืมปิดไฟเพดานที้งเอาไว้
ปัญหาลืมปิดไฟเพดานนี้สำคัญนะครับ ถ้าลืมนานๆ ก็บั่นทอนอายุแบตเตอรรี่ แต่ถ้าลืมช่วงสั้นๆ มันก็สร้างโอกาสที่คนร้ายจะเข้ามาประทุษร้ายต่อรถได้เหมือนกัน โดยส่วนตัวผมก็ไม่ใช่คนที่ลืมปิดอะไรง่ายๆ แต่ก็เคยเผลอ และบางคนก็แก้ปัญหาด้วยปรับสวิทช์มาที่ตำแหน่ง DOOR (ที่ปิดไฟเมื่อประตูปิดโดยอาจมีหน่วงเวลามาช่วย เปิดไฟเมื่อประตูเปิด) แต่ถ้าเราอยู่ในบางที่ เช่น เขตปลอดเปลี่ยว ฝุ่น ร้อน พวกนี้ ตำแหน่งนี้ก็ไม่เหมาะที่จะใช้งาน และถ้าลองไปค้นหาคำว่าลืมปิดไฟเพดานดูก็จะยังพบอยู่หลายเคสมาก แสดงว่าตำแหน่ง DOOR เองก็ยังไม่ได้ผลเต็มที่ในการป้องกัน แต่ประเด็นคือ เราไม่มีวันรู้ว่าจะเกิดกับเราตอนไหน ดังนั้นการมีระบบอะไรมาช่วยปิดไฟให้ก็จะช่วยให้เราอุ่นใจมากกว่า
หลอดไฟ SnowShine นี้จะใช้สมองกลหรือไมโครคอนโทรลเลอร์ 8 บิทควบคุม มีสัญญาณนาฬิกาที่ใช้ตั้งเวลาในตัวซึ่งมีความเชื่อถือได้สูง มีลูกเล่นอื่นๆ เช่น ลำดับการติดไฟในแต่ละดวง มีการเฟดอิน-เฟดเอ้าท์ โดยที่เวลาเฟดเปิดจะสว่างเต็มที่เร็วกว่าช่วงเฟดปิด หลอดนี้ยังมีระบบป้องกันตัวเองเช่น ตัวควบคุมแรงดันไฟ ระบบป้องกันกระแสเกินหรือโอเวอร์โหลด
หลอด SnowShine จะมีไฟสีฟ้าดวงเล็กคอยบอกสถานะว่ามีการเปิดสวิทช์ทิ้งไว้หรือเปล่า มันจะติดตลอดเวลาที่เปิดสวิทช์ไฟเพดาน ไฟดวงนี้เปิดทิ้งไว้ทั้งเดือนเลยก็ได้เพราะกินกระแสน้อยมากประมาณ 10 มิลลิแอมป์ (แต่ 1 อาทิตย์ควรชาจน์ไฟกลับบ้างเพราะมีส่วนอื่น เช่นสมองกล กันขโมย นาฬิกามันกินไฟตลอดเวลาและเยอะกว่าหลอดไฟดวงฟ้ามาก)
แต่จุดที่น่าหงุดหงิดอย่างนึงคือเวลาเราตั้งตำแหน่ง DOOR ใช้งาน ปกติช่วงที่ปิดประตูและไฟหลอดไส้หรี่ปิด แต่ SnowShine จะเกิดอาการหรี่แบบกระพริบๆ จนดับ เนื่องจากแรงดันขั้วหลอดมันค่อยๆ ลด ทำให้สมองกลมันกระตุ้นรีเซ็ตตัวเองไปเรื่อยๆ แต่ก็ไม่มีความเสียหายอันใดนอกจากรำคาญสายตา ซึ่งขอแนะนำว่าถ้าใช้หลอดนี้แล้วก็ลืมการใช้งานตำแหน่ง DOOR ไปเลยจะสะดวกกว่า
ถ้าเทียบความสว่างเอาเป็นสเปคละกัน หลอดไส้สว่าง 100 ลูเมนส์ที่ 8 วัตต์ หลอด SnowShine สว่าง 48 ลูเมนส์ที่ 1 วัตต์ แต่ 48 ลูเมนส์นี่ไม่ได้แปลว่าเราเห็นความสว่างน้อยกว่านะ เนื่องจากหลอดไส้มันสว่างรอบตัว ดังนั้นส่วนที่ขึ้นเพดานไปมันก็เสียเปล่า ขณะที่แอลอีดีมันกระจายแสงที่ 120 องศาซึ่งเป็นมุมที่สาดไปทั่วห้องโดยสารพอดี ดังนั้นแสงของหลอดแบบนี้ก็มักจะใช้ได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย หรือ ถ้าเทียบอีกอย่างว่า หลอดแอลอีดีใช้แสงในรถได้ 100 เปอร์เซนต์ หลอดไส้จะใช้ได้แค่ 25 เปอร์เซนต์หรือใช้ประโยชน์จริงได้ 25 ลูเมนส์เท่านั้น นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมแอลดีถึงดูสว่างกว่าทั้งที่ลูเมนส์น้อยกว่า
ลองเทียบว่าSnowShine สว่างแค่ไหนในระดับหลอดแอลอีดี อย่างหลอดฟิลิปส์หลอดละพันบาทก็มีความสว่าง 40 ลูเมนส์ หรือ ออสแรม เฟสตูนหลอดละ 350 บาทก็สว่าง 30 ลูเมนส์ ข้อดีของยี่ห้อฟิลิปส์นี้ใช้กระแสน้อยกว่า SnowShine ถึง 60 เปอร์เซนต์ หรือ ประมาณ 0.4 วัตต์ เพราะไม่มีวงจรอิเล็กทรอนิส์อื่นควบคุมมากนั่นเอง ของออสแรมยังไม่มีข้อมูลมาก แต่ SnowShine ถูกออกแบบมาให้เน้นในเรื่องการป้องกันเป็นหลัก ดังนั้นคอนเซปต์ของสินค้าจะต่างกันอยู่แล้ว
ตอนนี้ SnowShine จะถูกขายในเว็บออนไลน์ที่เดียวเท่านั้น เพื่อหนีต้นทุนการจัดจำหน่าย เนื่องจากต้นทุนการพัฒนาและการผลิตสูงมาก อุปกรณ์ที่ใช้มีมาตรฐานทุกชิ้น ขนาดแผ่นวงจรพิมพ์ยังทำแบบ RoHS Compliant กระทบสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด
อันนี้เอาคลิปการทำงานสั้นๆ มาให้ดูนะครับ