...จากที่ผมเห็นมาหลาย ๆ วิธี ก็ดี แต่ไม่ถูกต้อง ไม่ได้ดีที่สุด ผมจึงอยากจะมาแย้งวิธีการต่าง ๆ และเสนอแนะวิธีที่ดีสำหรับทุก ๆ คนที่อยากฝึกภาษาอังกฤษครับ
คือ อย่างนี้นะครับ ส่วนใหญ่คนที่ฝึกภาษา ส่วนมากพื้นฐานอาจจะไม่ค่อยมี หรือพื้นฐานน้อยมาก ผมเห็นบางคนก็แนะนำวิธี การฝึกโดยอ่านหนังสือ เป็นเรื่องราวภาษาอังกฤษ ซึ่งผมขอโต้แย้งตรงนี้ คือ ถ้าคนไม่เข้าใจภาษาอังกฤษเลย อ่านไป ถามว่าได้ไหม ก็ได้ แต่มันไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุด เพราะมันจะไปอย่างช้ามาก มันมีวิธีที่ดีกว่านั้น และลัดไปได้เร็ว เป็นขั้นตอนมากกว่านั้น คือ การศึกษา Grammar (กฎไวยากรณ์และหลักภาษา) วิธีนี้ก็ถือ เป็นการอ่านภาษาอังกฤษ เหมือนกัน แต่ว่า เป็นการอ่าน เป็นขั้นเป็นตอน เป็นหลักการ อ่านจากพื้นฐาน ไปสู่ขั้นกลางและสูงต่อไป ทีนี้ พอเรามาอ่านหนังสือภาษาอังกฤษ ไม่ว่าเรื่องราวต่าง ๆ นิยาย ฯลฯ เราก็จะอ่านรู้เรื่อง เพราะการศึกษา Grammar ถ้าเข้าใจ จะเป็นการตัดขยะในประโยคภาษาอังกฤษไปได้เยอะเลย เพราะ 90% ของประโยคภาษาอังกฤษ นั่นคือ Grammar ล้วน ๆ
....ส่วนที่ผมเห็นคนแนะนำให้ จู่ ๆ มาอ่านหนังสือ โดยยังไม่รู้ Grammar วิธีนี้ใช้ไม่ได้ครับ ใช้ได้สำหรับคนที่รู้ Grammar บ้างแล้ว พอสมควร แล้วมาอ่าน ก็จะเกิดการพัฒนาครับ แต่ก็ใช่ว่า จะหยุดการศึกษา Grammar แค่นั้น ก็ควรศึกษาต่อไปจนจบ
ต่อมา วิธีที่แนะนำการดูหนัง ฟังเพลง ผมเห็นวิธีนี้ ยอดฮิตเสียเหลือเกิน.... ถามว่ามันดีไหม?... ก็ดีนะ แต่ถามว่าดีที่สุดไหม? ขอตอบว่า ไม่เลย.. เพราะวิธีนี้มันฝึกไม่เป็นขั้นเป็นตอนเท่าไหร่ ก็คล้าย ๆ วิธีข้างบน แต่อาจจะดีกว่าหน่อย ตรงที่อาจจะรู้เรื่องบ้าง ถ้าฟังไปนาน ๆ ต่างจากวิธีอ่านหนังสือ โดยไม่รู้อะไรเลย แบบนี้จะไม่รู้เรื่องเลย มันก็ดี แต่ไม่เป็นขั้นเป็นตอนแน่นอน ฝึกไป ก็จะไปได้ แต่ช้า เรื่องการออกเสียงเราก็ต้องออกเสียงตาม แล้วก็ไม่มีใครคอยมาบอกเราด้วย ว่าเราออกเสียงถูกหรือผิด แต่เราก็อาศัยหูเราศึกษาวัดกันไม่ค่อยได้ เพราะหูเราคุ้นเคยกับภาษาแม่ของเรา การฝึกก็ไม่ต้องขั้นเป็นตอนไม่ได้เริ่มจาก 1-100 แต่เป็นการ เดี๋ยว 10 บ้าง 55 บ้าง 100 บ้าง แล้วมา 30 บ้าง มา 15 บ้าง อะไรแบบนี้ ยุ่งเหยิง ไม่ได้เป็นแนวเส้นตรง แต่เป็นเส้นยุ่ง ๆ การฝึกเลยไปได้อย่างช้า ๆ ไม่เป็นขั้นตอน นานกว่าจะได้ แล้วก็ไม่ประสบผลสำเร็จดีที่สุด
...แล้วถ้ายิ่งเป็นวิธีการฝึก โดยเปิด Sub Thai ด้วยแล้ว แม้จะไปได้ไวกว่า ไม่เปิด Sub อย่างมากก็จริง แต่ทว่า... การเรียนรู้ภาษาจะไม่เป็นธรรมชาติ เวลาคิดเวลาอ่านก็จะเกิดการแปล ทำให้ไม่เข้าใจในภาษาอังกฤษอย่างถ่องแท้ ก็ไม่ได้ประสิทธิผลที่ดีอีกแหละ เอ่อ.. อีกอย่าง แล้วการที่จะดูหนัง ฟังเพลง แล้วเข้าใจเนี่ย โดยที่ไม่ได้เปิด Sub ถ้าคนไม่รู้ไรเลย เกี่ยวกับภาษาอังกฤษ ขอบอกว่า... ใช้เวลานานมาก ๆๆ กว่าจะรู้เรื่อง ยิ่งถ้าเป็นเพลง นี่หมดสิทธิ์เลย เพราะอย่างหนัง ยังมีเนื้อเรื่อง ยังมีการกระทำของตัวละคร เรายังสังเกตเอาได้ แต่เพลงไม่มีไรเลย มีแต่เสียง อย่างมากก็ MV ซึ่งไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเนื้อหาเพลงเลย แม้เปิด Sub จะไปไวกว่า แต่ก็อย่างที่บอก ไม่เป็นธรรมชาติ แล้วก็ไม่ได้เริ่มจาก 1-100 จะไม่ดีเท่ากับวิธีที่ผมจะแนะนำดังต่อไปนี้
ถ้าพูดถึงเรื่องหนังสือ Grammar นั้น บางคนแนะนำเป็นหนังสือ ภาษาอังกฤษ ผมเคยไปเปิด ๆ อ่านแล้ว เขาไม่ได้สอนตั้งแต่พื้นฐานจริง ๆ เหมือนหนังสือพวกนี้ ไว้สำหรับเจ้าของภาษาเรียนมากกว่า แล้วคนที่ไม่รู้ภาษาอังกฤษ มาอ่านไม่รู้เรื่องเลย ขอบอก... เพราะฉะนั้นหนังสือ Grammar ให้ศึกษาจากหนังสือของคนไทย โดยเฉพาะ Advance English Grammar For High Learners อ.สำราญ คำยิ่ง จะดีมาก อ่านด้วยตนเองเข้าใจง่ายที่สุด มีตั้งแต่พื้นฐานไปจนขั้นสูงสุดของ Grammar
เอ่อ มีบางคนบอกอีกว่า ศึกษา Grammar แล้วท่องศัพท์ แล้วก็จะพูดได้ หรือบางคนท่องศัพท์ อย่างเดียวแล้วจะพูดได้ วิธีพวกนี้ไม่ค่อยเห็นมีใครพูดแล้ว ถือว่าล้าหลังมาก ๆ แล้วก็ไม่ได้มีประสิทธิภาพเท่าไหร่เลย โดยเฉพาะ ท่องศัพท์ อย่างเดียว ถ้าศึกษา Grammar ยังทำให้อ่าน เขียนได้ แต่ถ้ามาท่องศัพท์ อย่างเดียวอย่าหวัง แล้วเวลาคิดก็ต้องแปลกลับไปกลับมาเป็นไทยด้วย ทำให้ช้าไม่เป็นธรรมชาติ
อย่างเท่าที่เห็น การฝึกภาษา อย่างที่เห็นเขาทั่ว ๆ ไปแนะนำ ก็มีทั้ง การอ่านหนังสือภาษาอังกฤษ (เป็นเนื้อเรื่อง) การดูหนัง และฟังเพลง ดังที่กล่าวไปข้างต้น ถามว่าดีไหม ดีนะ สำหรับคนที่มีพื้นฐานภาษาอังกฤษอยู่ในขั้นสื่อสารเบื้องต้นได้ (เพราะมันคือการเสริมทักษะ) แต่มันไม่ใช่วิธีการฝึกที่ดีประสิทธิภาพดีมากที่สุด และไปได้ช้ากว่า แล้วมันก็ไม่ดีสำหรับคนที่ไม่รู้อะไรเลยด้วย เพราะฉะนั้น ถ้าคุณแนะนำวิธีนี้ ก็จะไม่ดี และถูกต้องที่สุด
...ส่วนวิธีของผม คือ การศึกษาจาก หนังสือ Grammar ฉบับสมบูรณ์ ที่สอนตั้งแต่พื้นฐานไปจนสูงสุด ศึกษาเอง เข้าใจได้อย่างง่าย ๆ ร่วมไปกับการฝึก ฟังและพูด โดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ช่วยสอน คือ โปรแกรม Rosetta Stone นั่นเอง ที่สอนตั้งแต่พื้นฐาน สอนภาษาที่เจ้าของภาษาเขาใจกันจริง ๆ สอนไปตั้งแต่ 1-100 เป็นลำดับขั้นตอน ฝึกฟัง ฝึกพูด การออกเสียงสำเนียง โปรแกรมตรวจสอบ ให้เราพูดให้ถูกถึงจะให้ผ่าน เราจะได้ทักษะ การฟังและการพูด สำเนียง และการเรียนรู้ภาษาแบบวิธีธรรมชาติ เพราะไม่มีการแปล แต่เป็นภาพ ขึ้นมาทำให้เราเข้าใจภาษาได้ดั่งเจ้าของภาษาจริง ๆ
ทั้งการศึกษาจากหนังสือ Grammar ร่วมไปกับการฝึกฟังและพูดจากโปรแกรม Rosetta Stone มันจะเป็นลำดับขั้นตอนจาก 1-100 และเป็นการฝึกที่ดีที่สุดในสมัยนี้แล้ว เหมือนยกเอาประเทศสหรัฐอเมริกา มาอยู่หน้าคอม มาอยู่ที่บ้านเราเลยกระนั้น การฝึกจากโปรแกรม Rosetta Stone ก็คล้าย ๆ กับการ ดูหนัง แต่อันนี้เป็นการดูหนัง แบบตอบโต้ได้ และเริ่มจาก 1-100 จากที่ปกติการดูหนัง อย่างที่บอกไปข้างต้น เดี๋ยว 10 บ้าง แล้วมา 50 บ้าง กลับมา 30 บ้าง ฯลฯ แต่อันนี้จะปูพื้นก่อน แล้วค่อยไปหายากขึ้นทีละนิด ๆ แถมยังสามารถตอบโต้ได้อีก แล้วดีกว่าหนังตรงที่ เราออกเสียง มันตรวจจับได้ด้วย ว่าเราออกถูกหรือผิด ถ้าผิดก็ให้ออกใหม่ เป็นการฝึกให้เราออกเสียงได้อย่างถูกต้อง แล้วก็เป็นภาษาที่เจ้าของภาษาเขาใช้กันจริง ๆ ด้วย
การฝึกภาษาโดยการใช้โปรแกรม Rosetta Stone เป็นการฟังทางการ ฟังและพูด แล้วต้องศึกษา Grammar ในหนังสือ ไปร่วมด้วย เพื่อเสริมกัน ทำให้ไปได้ไวยิ่งขึ้น เพราะเข้าใจหลักภาษา และพูดหรือใช้ภาษาอังกฤษถูกต้องยิ่งขึ้น จะขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปไม่ได้
....เพราะ ต้องศึกษาทั้ง ทฤษฎีภาษา คือ ศึกษา Grammar ก็จะทำให้ได้ทักษะ การอ่าน การเขียน และ ภาคปฏิบัติ ฝึกในโปรแกรม Rosetta Stone ก็จะได้ทักษะ การฟังและพูด ส่วนการศึกษาทฤษฎี Grammar ที่ผ่านมาจะช่วยเสริมในการ ฟังและพูด คือ ภาคปฏิบัตินั่นเอง... และส่วนการ นำไปใช้จริง เช่นการ ดูหนัง ฟังเพลง การอ่าน การแชทคุยกับชาวต่างชาติ นั่นให้เป็น ภาคเสริม... ถ้าเปรียบเทียบกับ ภาคการศึกษา คือ ต้องมีทั้ง ทฤษฎีและปฏิบัติ แล้วก็ต้องมีการฝึกงาน คือ การนำไปใช้จริง นั่นเอง เพื่อให้เก่งยิ่งขึ้นไป จะเกิดความเชี่ยวชาญมากขึ้น แต่ส่วนใหญ่ ที่เห็นแนะนำไป จะข้ามขั้น เหมือนเราจะประดิษฐ์ อะไรขึ้นมาสักอย่าง แต่เราไม่รู้วิธีทำ เพราะไม่ได้ศึกษา เราก็จะนั่งงมอยู่นาน ค้นคว้าเอง ก็ไปได้ช้ามาก ๆ สู้เรามาเรียนรู้ แล้วก็ทำประดิษฐ์จะไปได้ไวกว่า และมีประสิทธิภาพได้ดีกว่า ฉันใด ก็ฉันนั้น... การฝึกภาษาก็เช่นกัน ต้องเป็นไปตามลำดับขั้น ทฤษฎี + ปฏิบัติ ร่วมกัน การใช้งานจริง เป็นส่วนเสริมเพื่อให้เก่ง มีประสบการณ์ เกิดความชำนาญในการใช้ภาษา ที่ได้ศึกษา ทั้งทฤษฎีและปฏิบัติร่วมกันมา
และอยากจะบอกว่าปัจจุบัน วิธีการฝึกภาษาอังกฤษที่ดีที่สุดในโลกมีดังนี้
1.ไปเรียน ณ สถานที่จริงของสังคมที่ใช้ภาษานั้นๆ เช่น อเมริกา หรือ
2.จำลองเอาประเทศอเมริกามาไว้ที่บ้าน หรือ การนำเทคโนโลยีมาใช้แทน เช่น การใช้โปรแกรมสอนภาษาที่ ณ ปัจจุบัน จัดว่าเป็นโปรแกรมการเรียนรู้ที่ดีที่สุดในโลกคือ
หลักสูตรของโปรแกรม ROSETTA STONE โดย ใช้การเรียนรู้แบบ DYNAMIC IMMERSION
แต่การที่ไปอยู่ประเทศเจ้าของภาษาจริง ๆ มันก็จะได้ภาษา แต่สำเนียงการออกเสียงจะไม่ได้ หรือได้ก็ได้น้อย ก็เหมือนกับพวก จีนที่มาอยู่ไทย หรือไม่ก็ต่างด้าว พวกนี้มาอยู่ไทยบางทีชั่วชีวิตยังพูดไม่ชัดเลย พูดได้แต่ไม่ชัด เพราะไม่ได้ฝึกการออกเสียงที่ถูกต้อง เพราะมีหลาย ๆ เสียงที่ในภาษานั้น ๆ ไม่มี แต่โปรแกรม Rosetta Stone จะเน้นการออกเสียงให้ถูกต้องดั่งเช่นเจ้าของภาษา เพราะฉะนั้นการไปอยู่ประเทศเจ้าของภาษาจริง ๆ จะให้ได้ดีที่สุด คือ การฝึกในโปรแกรมนี้ร่วมไปด้วย นั่นเอง
มาตรงนี้บางคนอาจจะมีข้อข้องใจหรือ สงสัยว่าทำไมผมพูดแต่โปรแกรม Rosetta Stone โปรแกรมเดียว ไม่พูดถึงโปรแกรมอื่นบ้างเลย ผมขอตอบตรงนี้เลยนะครับ เพราะโปรแกรมนี้ เป็นโปรแกรมเดียวในโลก ที่สอนโดยวิธีนี้ และเปํนวิธีที่ดีที่สุดแล้วครับ
...ในประเทศไทยส่วนมากการเรียนภาษาอังกฤษจะเน้น ด้านทฤษฎีซะมาก คือ การศึกษาแต่ Grammar มันจะทำให้น่าเบื่อและไม่อยากเรียน สรุป ไป ๆ มา ๆ ไม่ได้ไรเลย คนไทยส่วนมากจะเป็นแบบนี้ ถ้าศึกษาทฤษฎีต่อให้ตั้งใจศึกษาจนเก่ง แต่ก็จะพูดไม่ได้ เพราะไม่ได้ฝึกทักษะในด้านการ ปฏิบัติ คือ การพูดและฟัง แล้วส่วนมากเน้นเอามาสอบให้ผ่าน ๆ ด้วยซ้ำ ไม่ได้ใช้งานจริง ๆ ดังจะเห็นได้จาก เดี๋ยวนี้มาสถาบันติวภาษาอังกฤษมากมายเน้นติวให้สอบได้คะแนนดี คือ ส่วนมากสอบได้ แต่พูดไม่ค่อยได้ หลักภาษาก็ไม่ค่อยได้รู้เท่าไหร่ พวกนี้เน้นให้วิธีลัด คนสอบ โทอิคได้คะแนนดีในประเทศไทย ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาเก่งภาษาอังกฤษ แต่เขามีวิธีลัดนั่นเอง สรุปเลย การศึกษาภาษาอังกฤษในประเทศไทยเหมือนไม่ค่อยได้ไรเลย นี่คือ ปัญหาของการเรียนภาษาอังกฤษในประเทศไทย
.......ท้ายสุดมาขอพูดแค่นี้แหละครับ ใครมีความคิดเห็นต่าง มีข้อโต้แย้งตรงไหน แย้งมาได้ครับ ผมพร้อมที่จะตอบ และรับฟังความคิดเห็นต่าง
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คำถาม : วิธีนี้อาจจะไม่ได้ดีกับทุกคนนะ อาจจะไม่เหมาะสมกับหลาย ๆ คนก็ได้ อย่าดูถูกว่าวิธีอื่นไม่ดี?
คำตอบ :
http://ppantip.com/topic/34781848/comment9-1
คำถาม : ผมก็มีเหตุผลของผมมาแย้งนะ
คำตอบ :
http://ppantip.com/topic/34781848/comment12-3
มีความเห็นว่าการแนะนำวิธีการฝึกภาษาอังกฤษหลาย ๆ วิธีที่เจอไม่ถูกต้องหรือแม้บางอย่างจะใช้ได้แต่ก็ไม่ใช่ดีที่สุด....
คือ อย่างนี้นะครับ ส่วนใหญ่คนที่ฝึกภาษา ส่วนมากพื้นฐานอาจจะไม่ค่อยมี หรือพื้นฐานน้อยมาก ผมเห็นบางคนก็แนะนำวิธี การฝึกโดยอ่านหนังสือ เป็นเรื่องราวภาษาอังกฤษ ซึ่งผมขอโต้แย้งตรงนี้ คือ ถ้าคนไม่เข้าใจภาษาอังกฤษเลย อ่านไป ถามว่าได้ไหม ก็ได้ แต่มันไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุด เพราะมันจะไปอย่างช้ามาก มันมีวิธีที่ดีกว่านั้น และลัดไปได้เร็ว เป็นขั้นตอนมากกว่านั้น คือ การศึกษา Grammar (กฎไวยากรณ์และหลักภาษา) วิธีนี้ก็ถือ เป็นการอ่านภาษาอังกฤษ เหมือนกัน แต่ว่า เป็นการอ่าน เป็นขั้นเป็นตอน เป็นหลักการ อ่านจากพื้นฐาน ไปสู่ขั้นกลางและสูงต่อไป ทีนี้ พอเรามาอ่านหนังสือภาษาอังกฤษ ไม่ว่าเรื่องราวต่าง ๆ นิยาย ฯลฯ เราก็จะอ่านรู้เรื่อง เพราะการศึกษา Grammar ถ้าเข้าใจ จะเป็นการตัดขยะในประโยคภาษาอังกฤษไปได้เยอะเลย เพราะ 90% ของประโยคภาษาอังกฤษ นั่นคือ Grammar ล้วน ๆ
....ส่วนที่ผมเห็นคนแนะนำให้ จู่ ๆ มาอ่านหนังสือ โดยยังไม่รู้ Grammar วิธีนี้ใช้ไม่ได้ครับ ใช้ได้สำหรับคนที่รู้ Grammar บ้างแล้ว พอสมควร แล้วมาอ่าน ก็จะเกิดการพัฒนาครับ แต่ก็ใช่ว่า จะหยุดการศึกษา Grammar แค่นั้น ก็ควรศึกษาต่อไปจนจบ
ต่อมา วิธีที่แนะนำการดูหนัง ฟังเพลง ผมเห็นวิธีนี้ ยอดฮิตเสียเหลือเกิน.... ถามว่ามันดีไหม?... ก็ดีนะ แต่ถามว่าดีที่สุดไหม? ขอตอบว่า ไม่เลย.. เพราะวิธีนี้มันฝึกไม่เป็นขั้นเป็นตอนเท่าไหร่ ก็คล้าย ๆ วิธีข้างบน แต่อาจจะดีกว่าหน่อย ตรงที่อาจจะรู้เรื่องบ้าง ถ้าฟังไปนาน ๆ ต่างจากวิธีอ่านหนังสือ โดยไม่รู้อะไรเลย แบบนี้จะไม่รู้เรื่องเลย มันก็ดี แต่ไม่เป็นขั้นเป็นตอนแน่นอน ฝึกไป ก็จะไปได้ แต่ช้า เรื่องการออกเสียงเราก็ต้องออกเสียงตาม แล้วก็ไม่มีใครคอยมาบอกเราด้วย ว่าเราออกเสียงถูกหรือผิด แต่เราก็อาศัยหูเราศึกษาวัดกันไม่ค่อยได้ เพราะหูเราคุ้นเคยกับภาษาแม่ของเรา การฝึกก็ไม่ต้องขั้นเป็นตอนไม่ได้เริ่มจาก 1-100 แต่เป็นการ เดี๋ยว 10 บ้าง 55 บ้าง 100 บ้าง แล้วมา 30 บ้าง มา 15 บ้าง อะไรแบบนี้ ยุ่งเหยิง ไม่ได้เป็นแนวเส้นตรง แต่เป็นเส้นยุ่ง ๆ การฝึกเลยไปได้อย่างช้า ๆ ไม่เป็นขั้นตอน นานกว่าจะได้ แล้วก็ไม่ประสบผลสำเร็จดีที่สุด
...แล้วถ้ายิ่งเป็นวิธีการฝึก โดยเปิด Sub Thai ด้วยแล้ว แม้จะไปได้ไวกว่า ไม่เปิด Sub อย่างมากก็จริง แต่ทว่า... การเรียนรู้ภาษาจะไม่เป็นธรรมชาติ เวลาคิดเวลาอ่านก็จะเกิดการแปล ทำให้ไม่เข้าใจในภาษาอังกฤษอย่างถ่องแท้ ก็ไม่ได้ประสิทธิผลที่ดีอีกแหละ เอ่อ.. อีกอย่าง แล้วการที่จะดูหนัง ฟังเพลง แล้วเข้าใจเนี่ย โดยที่ไม่ได้เปิด Sub ถ้าคนไม่รู้ไรเลย เกี่ยวกับภาษาอังกฤษ ขอบอกว่า... ใช้เวลานานมาก ๆๆ กว่าจะรู้เรื่อง ยิ่งถ้าเป็นเพลง นี่หมดสิทธิ์เลย เพราะอย่างหนัง ยังมีเนื้อเรื่อง ยังมีการกระทำของตัวละคร เรายังสังเกตเอาได้ แต่เพลงไม่มีไรเลย มีแต่เสียง อย่างมากก็ MV ซึ่งไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเนื้อหาเพลงเลย แม้เปิด Sub จะไปไวกว่า แต่ก็อย่างที่บอก ไม่เป็นธรรมชาติ แล้วก็ไม่ได้เริ่มจาก 1-100 จะไม่ดีเท่ากับวิธีที่ผมจะแนะนำดังต่อไปนี้
ถ้าพูดถึงเรื่องหนังสือ Grammar นั้น บางคนแนะนำเป็นหนังสือ ภาษาอังกฤษ ผมเคยไปเปิด ๆ อ่านแล้ว เขาไม่ได้สอนตั้งแต่พื้นฐานจริง ๆ เหมือนหนังสือพวกนี้ ไว้สำหรับเจ้าของภาษาเรียนมากกว่า แล้วคนที่ไม่รู้ภาษาอังกฤษ มาอ่านไม่รู้เรื่องเลย ขอบอก... เพราะฉะนั้นหนังสือ Grammar ให้ศึกษาจากหนังสือของคนไทย โดยเฉพาะ Advance English Grammar For High Learners อ.สำราญ คำยิ่ง จะดีมาก อ่านด้วยตนเองเข้าใจง่ายที่สุด มีตั้งแต่พื้นฐานไปจนขั้นสูงสุดของ Grammar
เอ่อ มีบางคนบอกอีกว่า ศึกษา Grammar แล้วท่องศัพท์ แล้วก็จะพูดได้ หรือบางคนท่องศัพท์ อย่างเดียวแล้วจะพูดได้ วิธีพวกนี้ไม่ค่อยเห็นมีใครพูดแล้ว ถือว่าล้าหลังมาก ๆ แล้วก็ไม่ได้มีประสิทธิภาพเท่าไหร่เลย โดยเฉพาะ ท่องศัพท์ อย่างเดียว ถ้าศึกษา Grammar ยังทำให้อ่าน เขียนได้ แต่ถ้ามาท่องศัพท์ อย่างเดียวอย่าหวัง แล้วเวลาคิดก็ต้องแปลกลับไปกลับมาเป็นไทยด้วย ทำให้ช้าไม่เป็นธรรมชาติ
อย่างเท่าที่เห็น การฝึกภาษา อย่างที่เห็นเขาทั่ว ๆ ไปแนะนำ ก็มีทั้ง การอ่านหนังสือภาษาอังกฤษ (เป็นเนื้อเรื่อง) การดูหนัง และฟังเพลง ดังที่กล่าวไปข้างต้น ถามว่าดีไหม ดีนะ สำหรับคนที่มีพื้นฐานภาษาอังกฤษอยู่ในขั้นสื่อสารเบื้องต้นได้ (เพราะมันคือการเสริมทักษะ) แต่มันไม่ใช่วิธีการฝึกที่ดีประสิทธิภาพดีมากที่สุด และไปได้ช้ากว่า แล้วมันก็ไม่ดีสำหรับคนที่ไม่รู้อะไรเลยด้วย เพราะฉะนั้น ถ้าคุณแนะนำวิธีนี้ ก็จะไม่ดี และถูกต้องที่สุด
...ส่วนวิธีของผม คือ การศึกษาจาก หนังสือ Grammar ฉบับสมบูรณ์ ที่สอนตั้งแต่พื้นฐานไปจนสูงสุด ศึกษาเอง เข้าใจได้อย่างง่าย ๆ ร่วมไปกับการฝึก ฟังและพูด โดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ช่วยสอน คือ โปรแกรม Rosetta Stone นั่นเอง ที่สอนตั้งแต่พื้นฐาน สอนภาษาที่เจ้าของภาษาเขาใจกันจริง ๆ สอนไปตั้งแต่ 1-100 เป็นลำดับขั้นตอน ฝึกฟัง ฝึกพูด การออกเสียงสำเนียง โปรแกรมตรวจสอบ ให้เราพูดให้ถูกถึงจะให้ผ่าน เราจะได้ทักษะ การฟังและการพูด สำเนียง และการเรียนรู้ภาษาแบบวิธีธรรมชาติ เพราะไม่มีการแปล แต่เป็นภาพ ขึ้นมาทำให้เราเข้าใจภาษาได้ดั่งเจ้าของภาษาจริง ๆ
ทั้งการศึกษาจากหนังสือ Grammar ร่วมไปกับการฝึกฟังและพูดจากโปรแกรม Rosetta Stone มันจะเป็นลำดับขั้นตอนจาก 1-100 และเป็นการฝึกที่ดีที่สุดในสมัยนี้แล้ว เหมือนยกเอาประเทศสหรัฐอเมริกา มาอยู่หน้าคอม มาอยู่ที่บ้านเราเลยกระนั้น การฝึกจากโปรแกรม Rosetta Stone ก็คล้าย ๆ กับการ ดูหนัง แต่อันนี้เป็นการดูหนัง แบบตอบโต้ได้ และเริ่มจาก 1-100 จากที่ปกติการดูหนัง อย่างที่บอกไปข้างต้น เดี๋ยว 10 บ้าง แล้วมา 50 บ้าง กลับมา 30 บ้าง ฯลฯ แต่อันนี้จะปูพื้นก่อน แล้วค่อยไปหายากขึ้นทีละนิด ๆ แถมยังสามารถตอบโต้ได้อีก แล้วดีกว่าหนังตรงที่ เราออกเสียง มันตรวจจับได้ด้วย ว่าเราออกถูกหรือผิด ถ้าผิดก็ให้ออกใหม่ เป็นการฝึกให้เราออกเสียงได้อย่างถูกต้อง แล้วก็เป็นภาษาที่เจ้าของภาษาเขาใช้กันจริง ๆ ด้วย
การฝึกภาษาโดยการใช้โปรแกรม Rosetta Stone เป็นการฟังทางการ ฟังและพูด แล้วต้องศึกษา Grammar ในหนังสือ ไปร่วมด้วย เพื่อเสริมกัน ทำให้ไปได้ไวยิ่งขึ้น เพราะเข้าใจหลักภาษา และพูดหรือใช้ภาษาอังกฤษถูกต้องยิ่งขึ้น จะขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปไม่ได้
....เพราะ ต้องศึกษาทั้ง ทฤษฎีภาษา คือ ศึกษา Grammar ก็จะทำให้ได้ทักษะ การอ่าน การเขียน และ ภาคปฏิบัติ ฝึกในโปรแกรม Rosetta Stone ก็จะได้ทักษะ การฟังและพูด ส่วนการศึกษาทฤษฎี Grammar ที่ผ่านมาจะช่วยเสริมในการ ฟังและพูด คือ ภาคปฏิบัตินั่นเอง... และส่วนการ นำไปใช้จริง เช่นการ ดูหนัง ฟังเพลง การอ่าน การแชทคุยกับชาวต่างชาติ นั่นให้เป็น ภาคเสริม... ถ้าเปรียบเทียบกับ ภาคการศึกษา คือ ต้องมีทั้ง ทฤษฎีและปฏิบัติ แล้วก็ต้องมีการฝึกงาน คือ การนำไปใช้จริง นั่นเอง เพื่อให้เก่งยิ่งขึ้นไป จะเกิดความเชี่ยวชาญมากขึ้น แต่ส่วนใหญ่ ที่เห็นแนะนำไป จะข้ามขั้น เหมือนเราจะประดิษฐ์ อะไรขึ้นมาสักอย่าง แต่เราไม่รู้วิธีทำ เพราะไม่ได้ศึกษา เราก็จะนั่งงมอยู่นาน ค้นคว้าเอง ก็ไปได้ช้ามาก ๆ สู้เรามาเรียนรู้ แล้วก็ทำประดิษฐ์จะไปได้ไวกว่า และมีประสิทธิภาพได้ดีกว่า ฉันใด ก็ฉันนั้น... การฝึกภาษาก็เช่นกัน ต้องเป็นไปตามลำดับขั้น ทฤษฎี + ปฏิบัติ ร่วมกัน การใช้งานจริง เป็นส่วนเสริมเพื่อให้เก่ง มีประสบการณ์ เกิดความชำนาญในการใช้ภาษา ที่ได้ศึกษา ทั้งทฤษฎีและปฏิบัติร่วมกันมา
และอยากจะบอกว่าปัจจุบัน วิธีการฝึกภาษาอังกฤษที่ดีที่สุดในโลกมีดังนี้
1.ไปเรียน ณ สถานที่จริงของสังคมที่ใช้ภาษานั้นๆ เช่น อเมริกา หรือ
2.จำลองเอาประเทศอเมริกามาไว้ที่บ้าน หรือ การนำเทคโนโลยีมาใช้แทน เช่น การใช้โปรแกรมสอนภาษาที่ ณ ปัจจุบัน จัดว่าเป็นโปรแกรมการเรียนรู้ที่ดีที่สุดในโลกคือ
หลักสูตรของโปรแกรม ROSETTA STONE โดย ใช้การเรียนรู้แบบ DYNAMIC IMMERSION
แต่การที่ไปอยู่ประเทศเจ้าของภาษาจริง ๆ มันก็จะได้ภาษา แต่สำเนียงการออกเสียงจะไม่ได้ หรือได้ก็ได้น้อย ก็เหมือนกับพวก จีนที่มาอยู่ไทย หรือไม่ก็ต่างด้าว พวกนี้มาอยู่ไทยบางทีชั่วชีวิตยังพูดไม่ชัดเลย พูดได้แต่ไม่ชัด เพราะไม่ได้ฝึกการออกเสียงที่ถูกต้อง เพราะมีหลาย ๆ เสียงที่ในภาษานั้น ๆ ไม่มี แต่โปรแกรม Rosetta Stone จะเน้นการออกเสียงให้ถูกต้องดั่งเช่นเจ้าของภาษา เพราะฉะนั้นการไปอยู่ประเทศเจ้าของภาษาจริง ๆ จะให้ได้ดีที่สุด คือ การฝึกในโปรแกรมนี้ร่วมไปด้วย นั่นเอง
มาตรงนี้บางคนอาจจะมีข้อข้องใจหรือ สงสัยว่าทำไมผมพูดแต่โปรแกรม Rosetta Stone โปรแกรมเดียว ไม่พูดถึงโปรแกรมอื่นบ้างเลย ผมขอตอบตรงนี้เลยนะครับ เพราะโปรแกรมนี้ เป็นโปรแกรมเดียวในโลก ที่สอนโดยวิธีนี้ และเปํนวิธีที่ดีที่สุดแล้วครับ
...ในประเทศไทยส่วนมากการเรียนภาษาอังกฤษจะเน้น ด้านทฤษฎีซะมาก คือ การศึกษาแต่ Grammar มันจะทำให้น่าเบื่อและไม่อยากเรียน สรุป ไป ๆ มา ๆ ไม่ได้ไรเลย คนไทยส่วนมากจะเป็นแบบนี้ ถ้าศึกษาทฤษฎีต่อให้ตั้งใจศึกษาจนเก่ง แต่ก็จะพูดไม่ได้ เพราะไม่ได้ฝึกทักษะในด้านการ ปฏิบัติ คือ การพูดและฟัง แล้วส่วนมากเน้นเอามาสอบให้ผ่าน ๆ ด้วยซ้ำ ไม่ได้ใช้งานจริง ๆ ดังจะเห็นได้จาก เดี๋ยวนี้มาสถาบันติวภาษาอังกฤษมากมายเน้นติวให้สอบได้คะแนนดี คือ ส่วนมากสอบได้ แต่พูดไม่ค่อยได้ หลักภาษาก็ไม่ค่อยได้รู้เท่าไหร่ พวกนี้เน้นให้วิธีลัด คนสอบ โทอิคได้คะแนนดีในประเทศไทย ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาเก่งภาษาอังกฤษ แต่เขามีวิธีลัดนั่นเอง สรุปเลย การศึกษาภาษาอังกฤษในประเทศไทยเหมือนไม่ค่อยได้ไรเลย นี่คือ ปัญหาของการเรียนภาษาอังกฤษในประเทศไทย
.......ท้ายสุดมาขอพูดแค่นี้แหละครับ ใครมีความคิดเห็นต่าง มีข้อโต้แย้งตรงไหน แย้งมาได้ครับ ผมพร้อมที่จะตอบ และรับฟังความคิดเห็นต่าง
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คำถาม : วิธีนี้อาจจะไม่ได้ดีกับทุกคนนะ อาจจะไม่เหมาะสมกับหลาย ๆ คนก็ได้ อย่าดูถูกว่าวิธีอื่นไม่ดี?
คำตอบ : http://ppantip.com/topic/34781848/comment9-1
คำถาม : ผมก็มีเหตุผลของผมมาแย้งนะ
คำตอบ : http://ppantip.com/topic/34781848/comment12-3