การเดินจงกรมมากๆ หากนั่งจะเข้าสมาธิได้ดี

ถวายชีวิตพรหมจรรย์

จากนั้น สมัยหนึ่ง ขึ้นไปภาวนาที่ถ้ำผาบิ้ง ซึ่งอยู่ในบริเวณวัดถ้ำกลองเพลนั่นแหละ ภาวนาอยู่ ๗ วัน ๗ คืน โดยไม่นอน ข้าวก็ไม่กิน กินแต่น้ำ เดินจงกรมอย่างหนัก อานิสงส์ของการเดินจงกรม มี ๕ อย่างนะ

๑. เดินจงกรม เพื่อปลุกไฟธาตุให้ลุกขึ้นเผาผลาญอาหารให้ย่อยยับ ช่วยให้การย่อยอาหารดีขึ้น

๒. เดินจงกรม เพื่อปลุกไฟธาตุให้ลุกขึ้นเผาเส้นเลือดลมให้เดินสะดวก ทำให้ร่างกายอบอุ่นดี

๓. เดินจงกรมมาก ๆ ทำให้อดทนต่อการเดินทางไกล โดยไม่ปวดแข้งปวดขา

๔. ผู้เดินจงกรมนั้น จิตจะสงบลงสู่สมาธิได้ และสมาธิของบุคคลผู้นั้นจะไม่เสื่อม มีแต่จะเจริญขึ้น

๕. ผู้เดินจงกรม เมื่อจิตสงบแล้ว จะได้เห็นเทพยดาถือธูปเทียนมาบูชา

ในวันนั้น เมื่อเดินจงกรมจนจิตสงบแล้ว...

....นั่นแหละ ปีติเกิดขึ้น ร่าเริงบันเทิงใจดีในวันนั้น เสร็จแล้ว  ๔ - ๕ ทุ่ม ก็เข้าที่ ไหว้พระสวดมนต์อุทิศส่วนบุญ เสร็จแล้วก็เข้าที่ นั่งภาวนา กำหนดจิตวางพุทโธพับ จิตก็รวมพับ ลงสู่ภวังคภพ อุปจาระ อันแน่นแฟ้น นั่นแหละ ในขณะนั้นก็ร่าเริงบันเทิงดี

ทีนี้ก็มาพิจารณาธาตุขันธ์ น้อมลงสู่ไตรลักษณ์ เห็นแจ้งประจักษ์ จนถึงสภาพตาย เปื่อย เน่า สาบสูญไม่มีอะไร ทีนี้ก็กำหนดถามผู้รู้ว่า...

“ธรรมที่ประพฤติมานี้ ได้มาจากอะไรบ้าง ?”

“โอ๋...กิจวัตรทุกประเภท ปัดกวาดเสนาสนะ กุฏิ วิหาร ศาลา เป็นบุญทั้งนั้น เป็นมรรค เป็นเครื่องส่งนะ ปฏิบัติครูบาอาจารย์ให้อยู่เย็นเป็นสุข ก็เป็นมรรคเป็นเครื่องส่งทั้งนั้น อดนอนผ่อนอาหารก็เป็นบุญใหญ่ เดินจงกรม ยืนภาวนา ไหว้พระสวดมนต์ก็เป็นบุญทั้งนั้น นั่นแหละ ทำเอาทุกอย่างให้มันเป็นมรรค เป็นเครื่องส่ง”

แล้วก็กำหนดพิจารณาธาตุขันธ์อีกต่อไป เอามีดปาดเถือเนื้อออกทั้งหมดเป็นชิ้น ๆ เอาไปบูชาแก้ว ๓ ประการ นั่นแหละ จิตรวมใหญ่พึบ ก็เหลือแต่ผู้รู้กับสติเท่านั้น

...เมื่อเห็นผลเกิดขึ้นเป็นเช่นนั้น ก็มั่นใจ จึงได้ถวายชีวิตพรหมจรรย์ ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา...

นี่แหละ ก่อนที่จะถวายชีวิตได้ ก็เพราะได้เห็นของจริงเกิดขึ้น ลึกซึ้งอัศจรรย์ นั่นแหละ ก็เลยถวายชีวิตเพศพรหมจรรย์ตั้งแต่วันนั้น ไม่กลับโลกอีก นี่ข้อสำคัญมั่นหมาย

คืนนั้น นั่งภาวนาคืนยันรุ่ง ตอนเช้ามาทำกิจวัตร หลวงปู่ขาว ท่านถามว่า...

“ทา...พ้นทุกข์หรือยัง ? ผมเข้าใจว่าท่านพ้นทุกข์แล้วนะ เพราะเห็นท่านนั่งภาวนาแล้ว มีรัศมีรุ่งโรจน์คืนยันรุ่งนะท่าน”

“โอ๋...ยังหรอกครับ หลวงปู่ แต่ว่าตั้งแต่ผมบำเพ็ญความเพียรกับหลวงปู่มาหลายปีแล้ว รู้สึกว่า เมื่อคืนนี้จะสำคัญที่สุดกว่าทุกคืนนะ จิตรวมลงเห็นธรรม โอ้...น่าเลื่อมใส แปลกประหลาดใจ จนถวายชีวิตพรหมจรรย์ได้ไม่หวั่นไหวทั้งนั้น ไม่กลับโลกอีกแล้ว”

แต่ก่อน จิตยังไม่สงบ ฝึกยังไม่ทันได้ ก็ไม่เห็น เมื่อจิตฝึกได้สงบลงไป มันก็เห็นเป็นอย่างนั้น เปรต ผี ช้าง เสือ ยักษ์โขโมฬี มีอยู่ ผีกองกอย สะมอยดง ร้องสนั่นหวั่นไหว ค่ำมาแล้วก็ไม่เห็นว่าจะเป็นอะไร จิตสงบลงไปเป็นครั้ง ๆ แหม...ฝูงรุกขเทวดา ภุมเทวดา ปัพตาเทวดา อากาสาเทวดานั้น หญิงชาย จุดธูปเทียนบูชาอยู่เป็นกลุ่ม ๆ สาธุการส่วนบุญ สนั่นหวั่นไหว

ทีนี้ เราฝึกอบรมตนได้แล้ว เปรียบเหมือนดอกไม้มีกลิ่นหอม แมลงภู่ผึ้งมาตอมเอาเกสรไปทำรวงรัง นั่นแหละ ฝูงเทพบุตร เทพยดาทั้งหลายเหล่านั้น เปรียบเหมือนแมลงภู่ผึ้ง มาสาธุการส่วนบุญ จุดธูปเทียนบูชา นี่มันก็เห็นอานิสงส์ที่ประพฤติปฏิบัติมาอย่างนั้น แล้วก็มีกำลังใจ มาตลอดจนถึงทุกวันนี้

..ธรรมพเนจร..
อัตโนประวัติของ “หลวงปู่จันทา ถาวโร”
วัดป่าเขาน้อย ต.วังทรายพูน อ.วังทรายพูน จ.พิจิตร
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่