ตัวคนเดียวแบกเป้ลุยเดี่ยว เนเธอร์แลนด์-สวิส-อิตาลี "อิตาลี วันที่2“ “ฟลอเรนซ์ เมื่อฉันตกหลุมรักอีกครั้ง”

http://ppantip.com/topic/34338921  ตอนที่1 วีซ่าและการเดินทาง
http://ppantip.com/topic/34353426  ตอนที่2 เนเธอร์แลนด์วันที่1
http://ppantip.com/topic/34355076  ตอนที่3 เนเธอร์แลนด์วันที่2
http://ppantip.com/topic/34364373  ตอนที่4 สวิสเซอร์แลนด์ วันที่1 "Geneva"
http://ppantip.com/topic/34385053  ตอนที่5 สวิสเซอร์แลนด์ วันที่1 "Geneva" - 2
http://ppantip.com/topic/34390037  ตอนที่6 สวิสเซอร์แลนด์ วันที่2 "Lausanne - Vevey"
http://ppantip.com/topic/34406378  ตอนที่7 สวิสเซอร์แลนด์ วันที่2 "มาถึงแล้วนะ อินเทอลาเค่น"
http://ppantip.com/topic/34435175  ตอนที่8 สวิสเซอร์แลนด์ วันที่3 "อินเทอลาเค่น สวรรค์บนโลก"
http://ppantip.com/topic/34476354  ตอนที่9 สวิสเซอร์แลนด์ วันที่4 "ท่องสวิสวันสุดท้าย เจอกันอิตาลี"
http://ppantip.com/topic/34601851  ตอนที่10 อิตาลี วันที่1 "เวนิส เมืองโรแมนติกของฉัน"


เพื่อนๆสามารถติดตามทริปต่างๆที่จะเกิดขึ้นของผมแบบ Realtime ได้ที่เฟซเพจได้นะครับ เพราะผมจะมีทริปเล็กๆน้อยๆอยู่เรื่อยๆ
จะได้ติดตามข้อมูลและลุ้นไปด้วยกันที่
http://www.facebook.com/Backpacker.Pu


"ลาก่อนนะเวินิส"



หลังจากตะลอนๆเที่ยวอยู่เวนิสเกือบจะ2วัน ตอนนี้ผมจะต้องไปจากที่นี่แล้วล่ะครับ มีความรู้สึกแบบนี้ทุกครั้งเมื่อการจากลามาถึง   รุ่งเช้าวันนี้หลังจากตื่นนอน เก็บข้าวของลงกระเป๋าเป้ใบใหญ่ใบเก่งของผมเพื่อเตรียมตัวออกเดินทางสู่เมืองฟลอเรนซ์   ที่พักอยู่ทางใต้ของเมืองครับ แต่ผมต้องเดินย้อนกลับขึ้นไปทางเหนือเพื่อไปยังสถานีรถไฟ อย่างที่เคยบอกไปว่าเส้นทางในเวนิสเปรียบได้กับเขาวงกต   ผมเดินจากที่พักถึงสถานีรถไฟใช้เวลาราวๆ 1 ชั่วโมงเลยล่ะครับ ขนาดเปิดแผนที่ในมือถือก็ยังหลงแล้วหลงอีกอยู่ดี   จากเวนิสใช้เวลาเดินทางไม่นาน(หรือผมหลงเสน่ห์การเดินทางก็ไม่รู้) รถไฟก็ค่อยๆวิ่งเข้าสู่สถานีฟลอเรนซ์ หรือ"ฟิเรนเซ่" ในภาษาอิตาลี  


ถึงฟลอเรนซ์แล้วครับ




ขอเดินเอาบรรยากาศเมืองซักครู่นะครับ






บ่ายนี้ที่ฟลอเรนซ์แดดแรงมากเลยทีเดียว เอ้อ!ผมลืมไปเลยว่ายังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เช้า   พอข้ามถนนไปอีกฟากของสถานีผมก็เจอร้านรวงมากมายอยู่ภายในอาคารเป็นแนวยาว   ผมยังคิดไม่ออกว่าจะกินอะไรดี ที่ไหนดี แม้แต่ห้องพักก็ยังไม่ได้จอง  แต่พอเดินเตร่ไปอีกไม่ไกลก็เจอเข้ากับร้านที่คุ้นชื่อ “เบอร์เกอร์คิง” เช้าและบ่าย ผมเลยรวบเป็นมื้อเดียวกันและฝากท้องไว้ที่นี่แหละครับ

ผมใช้ FREE Wi-Fi ของร้านเพื่อเร่งหาห้องพักจากเวปที่ผมใช้เป็นประจำ คือ Agoda และ Booking และทำการจองห้องพักสำหรับคืนนี้ในที่สุด
หลังจากทานข้าวและดื่มกาแฟเรียบร้อยแล้วก็ถึงเวลาแบกเป้ใบใหญ่ขึ้นหลังแล้วออกเดินหาห้องพักแล้วล่ะครับ  ผมเดินออกจากใจกลางเมืองข้ามสะพานตามข้อมูลในแผนที่เพื่อไปยังโรงแรม  



สะพาน  Ponte Vecchio



แต่แล้วก็มีเหตุการณ์เกิดขึ้นกับผมอีกครั้ง “ผมหาที่พักไม่เจอ” เดินวน2-3รอบเห็นจะได้   ถามชาวบ้านที่อาศัยอยู่แถวนั้นก็แล้ว   เดินไล่ดูตามบ้านเลขที่ก็แล้ว ผมก็ยังหาไม่เจอ  
ผมรู้สึกว่าผมเดินหาอย่างเต็มที่แล้วและคิดว่าอาจจะโดนดีเข้าแล้ว   ผมจึงหาร้านกาแฟซักร้านเป็นที่พักเหนื่อยและจองห้องพักแห่งใหม่  



เดินหาแล้วหาอีกก็ไม่เจอ พอถอดใจก็มาเอนหลังพักเหนื่อยก่อนละกัน



จากนั้นจึงเดินหาที่พักใหม่จนเจอ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟ   วันนี้ผมพักห้องรวมครับ(จริงๆตลอดทริปผมก็พักแบบนี้ทุกคืนแหละครับ)  เป็นแบบ3เตียง ซึ่งมีหญิงชาวเอเชียคนนึง และอีกคนน่าจะเป็นชาวสวีเดน แต่ครั้งนี้ผมไม่ได้เข้าร่วมวงสนทนากับพวกเธอหรอกเพราะผมมีเวลาอยู่ที่นี่แค่ 1 วัน 1คืน 


เดินหาโรงแรมแห่งใหม่ครับ



     ผมออกตะลอนฟลอเรนซ์ตั้งแต่พลบค่ำด้วยสองเท้าไปเรื่อยๆด้วยหวังว่าผมจะได้สัมผัสบรรยากาศของเมืองได้เต็มๆอย่างที่เวนิส   ซึ่งก็ไม่ผิดหวังครับ ด้วยลักษณะของตัวเมือง   เมืองเก่า   แสงไฟสีส้มนวลๆ ทำให้ผมหลงรักฟลอเรนซ์ไปโดยปริยาย   แม้จะมาโรแมนติกคนเดียวก็เถอะ
ผมเดินข้ามสะพานไปอีกฟาก  แต่เอ๊ะ!เดี๋ยวนะ   นั่นมันสะพาน Ponte Vecchio ซึ่งเป็นสะพานเก่าแก่ของที่นี่ครับ สร้างขึ้นใน คศ.1345 ซึ่งผมเคยเดินข้ามเมื่อบ่ายๆนั่นเอง



การเดินทางกำลังเริ่มขึ้นครับ




สะพาน Ponte Vecchio



ผมเดินไปเรื่อยๆโดยมีเป้าหมายคืออาคารสูงที่เห็นไกลๆอยู่เบื้องหน้า   ระหว่างทางผมพบเจอนักท่องเที่ยวมากมาย   ส่วนใหญ่เดินทางมาเป็นกลุ่มครับ   แน่นอนล่ะคราวนี้"ผมรู้สึกบางอย่าง”   ความเหงาคืบคลานเข้ามาเล็กน้อยแต่ก็แพ้สิ่งที่ตาผมได้เห็นกับบรรยากาศรอบข้างในตอนนี้   ผมเดินซึมซับบรรยากาศของเมืองไปเรื่อยๆ สถานที่แรกที่ผมแวะก็คือ Piazza della Signoria ซึ่งเป็นลานหน้าวังเวคคิโอ ในส่วนนี้จะมีรูปปั้นอยู่ค่อนข้างมากซึ่งผู้คนก็มากเช่นกัน ผมจึงเลี่ยงที่จะไม่เข้าไปเสพความสวยงามเหล้านั้น


มุ่งหน้าต่อไปครับ




ความเหงาอยู่ในระดับเกินอธิบายครับ




รอบข้างเริ่มอบอวลด้วยบรรยากาศแล้วล่ะครับ



เดินตรงไปอีกนิดก็จะพบกับความอลังการของสิ่งปลูกสร้างเหล่านี้ Doumo, หอระฆังCampenile di giotto ,โบสถ์Santa Maria del Fiore  เป็นสิ่งปลูกสร้างที่ใหญ่โต สวยงาม และอลังการมากทีเดียว ซึ่งดึงดูดให้ผมเดินเข้าหาโดยไม่รู้ตัวอีกครั้ง  มารู้ตัวอีกทีผมก็เข้าไปใกล้อาคารเต็มที่จนไม่สามารถถ่ายภาพอาคารนี้ได้   จุดนี้เป็นจุดที่ผมประทับใจมากเพราะผมรู้สึกว่าอาคารเก่า  โบสถ์เก่าเหล่านี้ยิ่งใหญ่และอลังการมากจริงๆ   เดินวนไปเรื่อยๆก็พบเจออาคารเหล่านี้ที่ให้ความรู้สึกเก่าๆอบอวลอยู่รอบๆ  


Doom




หอระฆังCampenile di giotto




โบสถ์Santa Maria del Fiore


ในย่านนี้ก็จะมีแหล่งช๊อปปิ้ง คือ Piazza Della Repubblica ซึ่งเดินๆไปก็จะเจอเจ้าม้าหมุนตัวนี้   ผมว่ามันคงเป็นสัญลักษณ์ของที่นี้ไปแล้ว
วันนี้ผมเดินค่อนข้างจะเยอะ อีกทั้งเป็นวันที่เท่าไหร่ของทริปแล้วก็ไม่ได้นับ ร่างกายผมเริ่มล้าขึ้นเรื่อยๆ คืนนี้ผมต้องขอตัวเดินเสพบรรยากาศเมืองและผู้คนไปยังที่พักแล้วล่ะครับ



Piazza Della Repubblica


รุ่งเช้าก่อนที่ผมจะออกเดินทางต่อนั้น ผมได้เดินกลับไปในที่ต่างๆที่ผมไปเมื่อคืน เพียงเพราะอยากเห็นสิ่งเหล่านั้นในตอนกลางวัน
ผมมีเหตุผลเท่านั้นจริงๆ เพราะเมื่อวานช่วงกลางวันเกิดผิดแผนเพราะเรื่องที่พักของผมนั่นเอง


Piazza della Signoria




Piazza della Signoria



ผมว่าผมมีความสุขมากๆบนความเหน็ดเหนื่อยของวันนี้ แต่ผมก็ยังยินดีที่จะให้เป็นแบบนั้น  ผมได้เรียนรู้ชีวิตมากขึ้นจากอุปสรรคที่ผมเจอในแต่ละวัน มันทำให้ผมได้อยู่กับตัวเองและแก้ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นด้วยตัวของผมเอง นี่แหละครับอีกหนึ่งเสน่ห์ที่ผมหลงรักการเดินทาง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่