คราวนี้ "เด็กอ้วน" ขอพามาตะลอน "พระที่นั่งวิมานเมฆ" กันค๊าาาา
ก่อนอื่นขอแนะนำกระทู้รีวิวครั้งก่อน ๆ ดีกว่า อิอิ
สุดยอดที่พักหัวหิน :
http://ppantip.com/topic/34015029
ชิค ๆ กับ "Black Mountain Water Park" :
http://ppantip.com/topic/34040873
รีวิวร้านอาหารสไตล์อังกฤษ "Jones & Mowlem" :
http://ppantip.com/topic/34424356
ติดตามกันได้ที่แฟนเพจ :
https://www.facebook.com/dekaounz
"พระที่นั่งวิมานเมฆ"
“เด็กอ้วน” ขอพาทุกท่าน ไปพบกับความอลังการของพระที่นั่งไม้สักทองที่ใหญ่ที่สุดในโลก นั่นก็คือ “พระที่นั่งวิมานเมฆ” ที่เราชาวไทยต่างรู้จักกันดี ว้าว! อลังการงานสร้าง ทั้งยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของชาวต่างชาติอีกด้วยแหละจ้า แหม่! จะว่าไปก็เป็นชาวต่างชาติที่เจอซะส่วนใหญ่ ทั้งฝรั่ง คนจีน มากันเยอะมากจริง ๆ กว่าจะได้แช๊ะแต่ละภาพต้องรอให้กรุ๊ปต่างชาติเข้าไปข้างในจนหมด ไม่อย่างนั้นคนบังทัศนียภาพหมดเลยขอบอก
เอาล่ะ! ว่าแล้วก็บรรเลงถ่ายภาพกันเลย เชื่อว่าผู้ที่ได้เข้ามาเยี่ยมชมพระที่นั่งแห่งนี้ต้องประทับใจในความงดงามของสถาปัตยกรรมองค์พระที่นั่งอย่างแน่นอน ขนาด “เด็กอ้วน” เพิ่งเคยเข้าไปเยี่ยมชมครั้งแรก ยังต้องร้อง อู้ฮู้! ว้าว! >.<
ไหน ๆ มาถึงที่แล้ว ก็ขอเล่าเป็นประวัติย่อ ๆ สักนิด ให้พอรู้ที่มาที่ไปกันสักหน่อย หากมองด้านสถาปัตยกรรมก็สามารถสังเกตได้เลยว่า พระที่นั่งแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นโดยได้รับอิทธิพลการสร้างแบบวิกตอเรียนผสมกับสถาปัตยกรรมไทยประยุกต์ ไม่ไทยจ๋าหรือยุโรปจ๋าไปซะทีเดียว แต่กลับมีความงามที่ผสมผสานได้อย่างลงตัว ถือเป็นพระที่นั่งถาวรองค์แรกที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเมื่อพุทธศักราช ๒๔๔๓ ในพระราชวังดุสิต โดยมีพระบรมราชโองการให้รื้อย้ายพระที่นั่งมันธาตุรัตนโรจน์ ณ เกาะสีชัง จ.ชลบุรี มาปลูกสร้างขึ้นใหม่ในสวนดุสิต และพระราชทานนามว่า “พระที่นั่งวิมานเมฆ”
เหตุที่ต้องย้ายจากเกาะสีชังเป็นเพราะว่าในช่วง ร.ศ.112 เกิดเหตุการณ์ไทยพิพาทกับฝรั่งเศส และฝรั่งเศสต้องการที่จะยึดครองเกาะสีชัง หากปล่อยไว้เช่นนั้นคงไม่ปลอดภัยอย่างแน่นอน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงให้รื้อไม้มาสร้างภายในพระราชวังสวนดุสิตเพื่อความปลอดภัย พระองค์ท่านจึงได้เสด็จฯ แปรพระราชฐานจากพระบรมมหาราชวังมาประทับเป็นถาวร ณ พระที่นั่งวิมานเมฆเป็นเวลานานถึง ๕ ปี จนกระทั่งพระองค์ท่านเสด็จสวรรคต หลังจากที่ได้มีการซ่อมแซมอยู่บ่อยครั้ง ก็ถูกปิดมานานถึง ๕๐ ปี ซึ่งเป็นเพียงสถานที่เก็บราชพัสดุของสำนักพระราชวังตลอดมา แต่ก็ยังมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลรักษาความเรียบร้อยอยู่ตลอด
ในปี พ.ศ. ๒๕๒๕ มหามงคลสมัยสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ ๒๐๐ ปี สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ จึงทรงขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว บูรณะซ่อมแซมเพื่อจัดเป็นพิพิธภัณฑ์เฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องจากทรงเห็นว่าพระที่นั่งวิมานเมฆยังคงอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ ซึ่งมีลักษณะของสถาปัตยกรรมที่ประณีตงดงาม ทั้งยังมีภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ รวมถึงศิลปวัตถุส่วนพระองค์เป็นจำนวนมาก
น่าเสียดายที่บางส่วนไม่สามารถนำภาพมาเผยแพร่ได้ >.< เนื่องจากทางพิพิธภัณฑ์มีกฎข้อห้ามคือห้ามถ่ายภาพและบันทึกวีดีโอภายในพระที่นั่ง พอได้เข้ามาดูในพระที่นั่งด้วยตาตัวเองจึงได้เข้าใจว่า อื้อหืม! ของแต่ละชิ้นมีคุณค่าแก่การหวงแหนจริง ๆ ภาพภายในพระที่นั่งที่ได้นำมาเผยแพร่ในครั้งนี้ “เด็กอ้วน” ได้ทำหนังสือติดต่อเข้าไป จึงได้รับความกรุณาจากทางพิพิธภัณฑ์ให้ภาพบางส่วนนำมาเผยแพร่ เยี่ยมไปเลย ^o^ ถ้าอยากดูแบบเต็ม ๆ ต้องมาให้ถึงที่กันเลยนะ เพราะไม่ใช่แค่ความงดงามที่เห็นด้วยตา แต่ยังมีเรื่องราวต่าง ๆ ที่เป็นร่องรอยทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจให้ได้ศึกษา หากจะเล่าให้ถึงอรรถรสอย่างไรก็คงไม่ลึกซึ้งเท่าการได้มาสัมผัสด้วยตัวเอง หลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญยังหลงเหลือให้ชนรุ่นหลังได้เรียนรู้อยู่ เนื่องจากพระที่นั่งวิมานเมฆแห่งนี้เคยถูกสะเก็ดระเบิดซึ่งเป็นผลกระทบจากเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ ๒ นับเป็นเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันและน่าอัศจรรย์อย่างมาก เนื่องจากสะเก็ดระเบิดมีขนาดใหญ่ซึ่งสามารถทำให้ไฟลุกไหม้ได้ทั้งหลัง แต่ไฟกลับมอดดับไปเองในที่สุด ทำให้เกิดความเสียหายเพียงเล็กน้อยเท่านั้น น่าทึ่งมาก ๆ เลยละค่ะ
ขอตัดภาพมาที่ลักษณะขององค์พระที่นั่งกันบ้าง ซึ่งจะเป็นลักษณะรูปอักษร ตัวแอล (L) ในภาษาอังกฤษ เป็นอาคาร 3 ชั้น เฉพาะส่วนที่ประทับเรียกว่า “แปดเหลี่ยม” มี ๔ ชั้น โดยชั้นล่างสุดก่ออิฐถือปูน ชั้นถัดขึ้นไปสร้างด้วยไม้สักทองทั้งหมด บางห้องก็ยังเป็นลักษณะของบรรยากาศที่คงความเป็นอดีตไว้ ทำให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสถึงกลิ่นไอของยุคสมัยนั้นได้มากทีเดียว
เมื่อเดินเข้ามาด้านใน เหนือบันไดใหญ่ก็จะพบกับกระจกบานใหญ่ร้อยกว่าปี ซึ่งขนส่งจากประเทศเบลเยี่ยม กระจกบานนี้ใช้เพื่อให้เหล่าเสนาบดีสำรวจเครื่องแต่งกาย ก่อนที่จะเข้าเฝ้าพระองค์ท่าน นอกจากจะเพื่อสำรวจเครื่องแต่งกายแล้ว ยังมีไว้เพื่อเป็นกระจกส่องดูศัตรูที่ลักลอบเข้ามาอีกด้วย
ภายในพระที่นั่งถูกแบ่งเป็นห้องชุดต่างๆ ๕ หมู่สีด้วยกัน คือสีฟ้า เขียว ชมพู งาช้าง และสีลูกพีช แต่ละห้องจะจัดแสดงข้าวของเครื่องใช้ส่วนพระองค์ของรัชกาลที่ ๕ รวมถึงเจ้านายชั้นสูง ความขลังของที่นี่ก็มีอยู่ไม่น้อย แค่เดินชมแต่ละห้องยังรู้สึกขนลุกเลยค่ะ ไม่ใช่เพราะน่ากลัวหรืออะไร แต่ขนลุกเพราะเห็นวัตถุโบราณต่าง ๆ แล้วรู้สึกภูมิใจที่มีโอกาสได้เข้ามาเห็นของล้ำค่าด้วยตาของตัวเอง ซึ่งวัตถุแต่ละชิ้นประเมินค่าไม่ได้จริง ๆ
หากได้เข้ามาเห็นด้วยตา เราจะสังเกตได้ว่าพระที่นั่งวิมานเมฆได้แบ่งเป็นสัดส่วนชัดเจน เริ่มจากการใช้บันไดเพื่อไปถวายงานด้านบน ซึ่งเหล่าเสนาบดีจะใช้เป็นบันไดใหญ่ แต่เหล่ามหาดเล็กจะใช้เป็นบันไดวนเดินขึ้นไปเพื่อถวายงาน
ปัจจุบันนี้ห้องท้องพระโรงและห้องพระบรรทมไม่ได้เปิดให้เข้าชม เนื่องจากยังมีการใช้งานอยู่ ซึ่งทั้งสองห้องนี้ถือเป็นไฮไลท์ของที่นี่เลยก็ว่าได้ หากมีโอกาสได้เข้าไปเห็นสักครั้งคงดีสินะ >.<
มาถึง “พระตำหนักเรือนต้น” พระองค์ท่านใช้เพื่อให้เพื่อนต้นประทับเวลามาเยือน เรือนต้นนี้เป็นเสมือนสถานที่ผ่อนคลายพระอิริยาบถของพระองค์ท่าน เนื่องจากพระองค์ท่านจะให้ความเป็นกันเองกับเพื่อนต้นอย่างมาก พระบรมฉายาลักษณ์ที่พระองค์ท่านได้ทรงทอดปลาทูในกระทะที่คนไทยคุ้นเคยกันดี ก็ได้ถูกถ่ายขึ้น ณ เรือนต้นนี้เช่นกัน
บริเวณรอบเรือนต้นจะเป็นน้ำคลองอยู่โดยรอบ โดยเพื่อนต้นจะสัญจรทางเรือเมื่อมาเยือน ซึ่งสมัยก่อนก็ใช้น้ำคลองนี้เพื่ออาบด้วย
พระที่นั่งไม้สักทองนอกจากจะมีความงดงามด้านสถาปัตยกรรมอันประณีตแล้ว ยังเป็นมรดกของชาติที่เราชาวไทยควรให้ความสำคัญและช่วยกันทำนุบำรุงรักษา การเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์เฉลิมพระเกียรตินั้นถือเป็นการอนุรักษ์และเผยแพร่วัฒนธรรมของไทยอีกทางหนึ่งให้ชาวต่างชาติได้รู้จัก ซึ่งหากเรารู้จักและเห็นเพียงภายนอกพระที่นั่ง อาจจะเห็นเพียงความงามด้านเดียว แต่หากได้ลองเข้าไปชมความงามด้านใน เราจะรู้ว่าคุ้มค่าจริง ๆ กับการสละเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงเพื่อเข้ามาเห็นความอลังการภายในพิพิธภัณฑ์ อย่างไรก็ตาม หากจะให้ต่างชาติรู้จักและชื่นชมในความเป็นไทยมากสักเท่าไร ก็คงไม่สู้เราซึ่งเป็นคนไทยนั้นจะหวงแหนและเห็นคุณค่าในความเป็นไทยของเราเอง
ไกด์บรรยายที่นี่ให้ความรู้เชิงประวัติศาสตร์ดีมาก ๆ ค่ะ ในการเข้าชมแต่ละวันนั้นจะมีการบรรยายทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษเป็นรอบ ๆ โดยภาษาไทยมีรอบบรรยายเวลา 10.00 น. และเวลา 13.00 น. ส่วนภาษาอังกฤษมีรอบบรรยายเวลา 11.00 น. และเวลา 14.00 น.
เมื่อเดินชมความงามของสถาปัตยกรรมภายในพระที่นั่งเรียบร้อยแล้ว ยังสามารถเก็บหางบัตรเข้าชมตำหนักต่าง ๆ ได้อีกด้วย เลิศเลอจ้า ตามมาดูกันเลย!
มาที่ตำหนักแรกคือ ตำหนักพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพวงสร้อยสอางค์ ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของพระที่นั่ง ปัจจุบันตำหนักหลังนี้จัดแสดงนาฬิกาโบราณในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งถือว่าเป็นยุคทองของนาฬิกา
ตำหนักพระเจ้าบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้าอรุณวดี ให้สร้างพระราชทานพระขนิษฐา ปัจจุบันเป็นตำหนักหนึ่งที่จัดแสดงภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ตำหนักพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบุษบันบัวผัน ปัจจุบันจัดแสดงภาพถ่ายฝีพระหัตถ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน
ตำหนักพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงวรเสรฐสุดา สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานศิลปวัตถุสมัยก่อนประวัติศาสตร์วัฒนธรรมบ้านเชียงมาเพื่อจัดแสดงถาวร
ตำหนักพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองศ์เจ้าอรไทยเทพกัญญา ปัจจุบันแสดงพระภูษาโบราณ และผ้าไหมจากมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ
ตำหนักหอ ปัจจุบันใช้เป็นอาคารจัดแสดงของใช้ส่วนพระองค์สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗
ตำหนักสวนฝรั่งกังไส ปัจจุบันเปิดเป็นอาคารจัดแสดงศิลปวัตถุสำคัญ แบ่งเป็น ๓ ประเภท คือ
1.เครื่องใช้ในพระราชพิธี และเครื่องประกอบพระอิสริยยศ
2.ภาพเขียนสีน้ำมัน
3.เครื่องกระเบื้อง
ต้องขออภัยจริง ๆ จ้าที่ “เด็กอ้วน” ไม่สามารถเก็บภาพภายในแต่ละพระตำหนักมาให้
ชมได้ อย่างที่รู้ ๆ กันว่าของแต่ละชิ้นนับค่าไม่ได้จริง ๆ >.< เราปล่อยให้ของที่มีค่าอยู่ในที่ที่ควรอยู่จะดีกว่าเนอะ ^o^
[CR] "เด็กอ้วน" ตะลอน "พระที่นั่งวิมานเมฆ"
ก่อนอื่นขอแนะนำกระทู้รีวิวครั้งก่อน ๆ ดีกว่า อิอิ
สุดยอดที่พักหัวหิน : http://ppantip.com/topic/34015029
ชิค ๆ กับ "Black Mountain Water Park" : http://ppantip.com/topic/34040873
รีวิวร้านอาหารสไตล์อังกฤษ "Jones & Mowlem" : http://ppantip.com/topic/34424356
ติดตามกันได้ที่แฟนเพจ : https://www.facebook.com/dekaounz
"พระที่นั่งวิมานเมฆ"
“เด็กอ้วน” ขอพาทุกท่าน ไปพบกับความอลังการของพระที่นั่งไม้สักทองที่ใหญ่ที่สุดในโลก นั่นก็คือ “พระที่นั่งวิมานเมฆ” ที่เราชาวไทยต่างรู้จักกันดี ว้าว! อลังการงานสร้าง ทั้งยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของชาวต่างชาติอีกด้วยแหละจ้า แหม่! จะว่าไปก็เป็นชาวต่างชาติที่เจอซะส่วนใหญ่ ทั้งฝรั่ง คนจีน มากันเยอะมากจริง ๆ กว่าจะได้แช๊ะแต่ละภาพต้องรอให้กรุ๊ปต่างชาติเข้าไปข้างในจนหมด ไม่อย่างนั้นคนบังทัศนียภาพหมดเลยขอบอก
เอาล่ะ! ว่าแล้วก็บรรเลงถ่ายภาพกันเลย เชื่อว่าผู้ที่ได้เข้ามาเยี่ยมชมพระที่นั่งแห่งนี้ต้องประทับใจในความงดงามของสถาปัตยกรรมองค์พระที่นั่งอย่างแน่นอน ขนาด “เด็กอ้วน” เพิ่งเคยเข้าไปเยี่ยมชมครั้งแรก ยังต้องร้อง อู้ฮู้! ว้าว! >.<
ไหน ๆ มาถึงที่แล้ว ก็ขอเล่าเป็นประวัติย่อ ๆ สักนิด ให้พอรู้ที่มาที่ไปกันสักหน่อย หากมองด้านสถาปัตยกรรมก็สามารถสังเกตได้เลยว่า พระที่นั่งแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นโดยได้รับอิทธิพลการสร้างแบบวิกตอเรียนผสมกับสถาปัตยกรรมไทยประยุกต์ ไม่ไทยจ๋าหรือยุโรปจ๋าไปซะทีเดียว แต่กลับมีความงามที่ผสมผสานได้อย่างลงตัว ถือเป็นพระที่นั่งถาวรองค์แรกที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเมื่อพุทธศักราช ๒๔๔๓ ในพระราชวังดุสิต โดยมีพระบรมราชโองการให้รื้อย้ายพระที่นั่งมันธาตุรัตนโรจน์ ณ เกาะสีชัง จ.ชลบุรี มาปลูกสร้างขึ้นใหม่ในสวนดุสิต และพระราชทานนามว่า “พระที่นั่งวิมานเมฆ”
เหตุที่ต้องย้ายจากเกาะสีชังเป็นเพราะว่าในช่วง ร.ศ.112 เกิดเหตุการณ์ไทยพิพาทกับฝรั่งเศส และฝรั่งเศสต้องการที่จะยึดครองเกาะสีชัง หากปล่อยไว้เช่นนั้นคงไม่ปลอดภัยอย่างแน่นอน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงให้รื้อไม้มาสร้างภายในพระราชวังสวนดุสิตเพื่อความปลอดภัย พระองค์ท่านจึงได้เสด็จฯ แปรพระราชฐานจากพระบรมมหาราชวังมาประทับเป็นถาวร ณ พระที่นั่งวิมานเมฆเป็นเวลานานถึง ๕ ปี จนกระทั่งพระองค์ท่านเสด็จสวรรคต หลังจากที่ได้มีการซ่อมแซมอยู่บ่อยครั้ง ก็ถูกปิดมานานถึง ๕๐ ปี ซึ่งเป็นเพียงสถานที่เก็บราชพัสดุของสำนักพระราชวังตลอดมา แต่ก็ยังมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลรักษาความเรียบร้อยอยู่ตลอด
ในปี พ.ศ. ๒๕๒๕ มหามงคลสมัยสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ ๒๐๐ ปี สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ จึงทรงขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว บูรณะซ่อมแซมเพื่อจัดเป็นพิพิธภัณฑ์เฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องจากทรงเห็นว่าพระที่นั่งวิมานเมฆยังคงอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ ซึ่งมีลักษณะของสถาปัตยกรรมที่ประณีตงดงาม ทั้งยังมีภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ รวมถึงศิลปวัตถุส่วนพระองค์เป็นจำนวนมาก
น่าเสียดายที่บางส่วนไม่สามารถนำภาพมาเผยแพร่ได้ >.< เนื่องจากทางพิพิธภัณฑ์มีกฎข้อห้ามคือห้ามถ่ายภาพและบันทึกวีดีโอภายในพระที่นั่ง พอได้เข้ามาดูในพระที่นั่งด้วยตาตัวเองจึงได้เข้าใจว่า อื้อหืม! ของแต่ละชิ้นมีคุณค่าแก่การหวงแหนจริง ๆ ภาพภายในพระที่นั่งที่ได้นำมาเผยแพร่ในครั้งนี้ “เด็กอ้วน” ได้ทำหนังสือติดต่อเข้าไป จึงได้รับความกรุณาจากทางพิพิธภัณฑ์ให้ภาพบางส่วนนำมาเผยแพร่ เยี่ยมไปเลย ^o^ ถ้าอยากดูแบบเต็ม ๆ ต้องมาให้ถึงที่กันเลยนะ เพราะไม่ใช่แค่ความงดงามที่เห็นด้วยตา แต่ยังมีเรื่องราวต่าง ๆ ที่เป็นร่องรอยทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจให้ได้ศึกษา หากจะเล่าให้ถึงอรรถรสอย่างไรก็คงไม่ลึกซึ้งเท่าการได้มาสัมผัสด้วยตัวเอง หลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญยังหลงเหลือให้ชนรุ่นหลังได้เรียนรู้อยู่ เนื่องจากพระที่นั่งวิมานเมฆแห่งนี้เคยถูกสะเก็ดระเบิดซึ่งเป็นผลกระทบจากเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ ๒ นับเป็นเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันและน่าอัศจรรย์อย่างมาก เนื่องจากสะเก็ดระเบิดมีขนาดใหญ่ซึ่งสามารถทำให้ไฟลุกไหม้ได้ทั้งหลัง แต่ไฟกลับมอดดับไปเองในที่สุด ทำให้เกิดความเสียหายเพียงเล็กน้อยเท่านั้น น่าทึ่งมาก ๆ เลยละค่ะ
ขอตัดภาพมาที่ลักษณะขององค์พระที่นั่งกันบ้าง ซึ่งจะเป็นลักษณะรูปอักษร ตัวแอล (L) ในภาษาอังกฤษ เป็นอาคาร 3 ชั้น เฉพาะส่วนที่ประทับเรียกว่า “แปดเหลี่ยม” มี ๔ ชั้น โดยชั้นล่างสุดก่ออิฐถือปูน ชั้นถัดขึ้นไปสร้างด้วยไม้สักทองทั้งหมด บางห้องก็ยังเป็นลักษณะของบรรยากาศที่คงความเป็นอดีตไว้ ทำให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสถึงกลิ่นไอของยุคสมัยนั้นได้มากทีเดียว
เมื่อเดินเข้ามาด้านใน เหนือบันไดใหญ่ก็จะพบกับกระจกบานใหญ่ร้อยกว่าปี ซึ่งขนส่งจากประเทศเบลเยี่ยม กระจกบานนี้ใช้เพื่อให้เหล่าเสนาบดีสำรวจเครื่องแต่งกาย ก่อนที่จะเข้าเฝ้าพระองค์ท่าน นอกจากจะเพื่อสำรวจเครื่องแต่งกายแล้ว ยังมีไว้เพื่อเป็นกระจกส่องดูศัตรูที่ลักลอบเข้ามาอีกด้วย
ภายในพระที่นั่งถูกแบ่งเป็นห้องชุดต่างๆ ๕ หมู่สีด้วยกัน คือสีฟ้า เขียว ชมพู งาช้าง และสีลูกพีช แต่ละห้องจะจัดแสดงข้าวของเครื่องใช้ส่วนพระองค์ของรัชกาลที่ ๕ รวมถึงเจ้านายชั้นสูง ความขลังของที่นี่ก็มีอยู่ไม่น้อย แค่เดินชมแต่ละห้องยังรู้สึกขนลุกเลยค่ะ ไม่ใช่เพราะน่ากลัวหรืออะไร แต่ขนลุกเพราะเห็นวัตถุโบราณต่าง ๆ แล้วรู้สึกภูมิใจที่มีโอกาสได้เข้ามาเห็นของล้ำค่าด้วยตาของตัวเอง ซึ่งวัตถุแต่ละชิ้นประเมินค่าไม่ได้จริง ๆ
หากได้เข้ามาเห็นด้วยตา เราจะสังเกตได้ว่าพระที่นั่งวิมานเมฆได้แบ่งเป็นสัดส่วนชัดเจน เริ่มจากการใช้บันไดเพื่อไปถวายงานด้านบน ซึ่งเหล่าเสนาบดีจะใช้เป็นบันไดใหญ่ แต่เหล่ามหาดเล็กจะใช้เป็นบันไดวนเดินขึ้นไปเพื่อถวายงาน
ปัจจุบันนี้ห้องท้องพระโรงและห้องพระบรรทมไม่ได้เปิดให้เข้าชม เนื่องจากยังมีการใช้งานอยู่ ซึ่งทั้งสองห้องนี้ถือเป็นไฮไลท์ของที่นี่เลยก็ว่าได้ หากมีโอกาสได้เข้าไปเห็นสักครั้งคงดีสินะ >.<
มาถึง “พระตำหนักเรือนต้น” พระองค์ท่านใช้เพื่อให้เพื่อนต้นประทับเวลามาเยือน เรือนต้นนี้เป็นเสมือนสถานที่ผ่อนคลายพระอิริยาบถของพระองค์ท่าน เนื่องจากพระองค์ท่านจะให้ความเป็นกันเองกับเพื่อนต้นอย่างมาก พระบรมฉายาลักษณ์ที่พระองค์ท่านได้ทรงทอดปลาทูในกระทะที่คนไทยคุ้นเคยกันดี ก็ได้ถูกถ่ายขึ้น ณ เรือนต้นนี้เช่นกัน
บริเวณรอบเรือนต้นจะเป็นน้ำคลองอยู่โดยรอบ โดยเพื่อนต้นจะสัญจรทางเรือเมื่อมาเยือน ซึ่งสมัยก่อนก็ใช้น้ำคลองนี้เพื่ออาบด้วย
พระที่นั่งไม้สักทองนอกจากจะมีความงดงามด้านสถาปัตยกรรมอันประณีตแล้ว ยังเป็นมรดกของชาติที่เราชาวไทยควรให้ความสำคัญและช่วยกันทำนุบำรุงรักษา การเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์เฉลิมพระเกียรตินั้นถือเป็นการอนุรักษ์และเผยแพร่วัฒนธรรมของไทยอีกทางหนึ่งให้ชาวต่างชาติได้รู้จัก ซึ่งหากเรารู้จักและเห็นเพียงภายนอกพระที่นั่ง อาจจะเห็นเพียงความงามด้านเดียว แต่หากได้ลองเข้าไปชมความงามด้านใน เราจะรู้ว่าคุ้มค่าจริง ๆ กับการสละเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงเพื่อเข้ามาเห็นความอลังการภายในพิพิธภัณฑ์ อย่างไรก็ตาม หากจะให้ต่างชาติรู้จักและชื่นชมในความเป็นไทยมากสักเท่าไร ก็คงไม่สู้เราซึ่งเป็นคนไทยนั้นจะหวงแหนและเห็นคุณค่าในความเป็นไทยของเราเอง
ไกด์บรรยายที่นี่ให้ความรู้เชิงประวัติศาสตร์ดีมาก ๆ ค่ะ ในการเข้าชมแต่ละวันนั้นจะมีการบรรยายทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษเป็นรอบ ๆ โดยภาษาไทยมีรอบบรรยายเวลา 10.00 น. และเวลา 13.00 น. ส่วนภาษาอังกฤษมีรอบบรรยายเวลา 11.00 น. และเวลา 14.00 น.
เมื่อเดินชมความงามของสถาปัตยกรรมภายในพระที่นั่งเรียบร้อยแล้ว ยังสามารถเก็บหางบัตรเข้าชมตำหนักต่าง ๆ ได้อีกด้วย เลิศเลอจ้า ตามมาดูกันเลย!
มาที่ตำหนักแรกคือ ตำหนักพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพวงสร้อยสอางค์ ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของพระที่นั่ง ปัจจุบันตำหนักหลังนี้จัดแสดงนาฬิกาโบราณในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งถือว่าเป็นยุคทองของนาฬิกา
ตำหนักพระเจ้าบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้าอรุณวดี ให้สร้างพระราชทานพระขนิษฐา ปัจจุบันเป็นตำหนักหนึ่งที่จัดแสดงภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ตำหนักพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบุษบันบัวผัน ปัจจุบันจัดแสดงภาพถ่ายฝีพระหัตถ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน
ตำหนักพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงวรเสรฐสุดา สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานศิลปวัตถุสมัยก่อนประวัติศาสตร์วัฒนธรรมบ้านเชียงมาเพื่อจัดแสดงถาวร
ตำหนักพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองศ์เจ้าอรไทยเทพกัญญา ปัจจุบันแสดงพระภูษาโบราณ และผ้าไหมจากมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ
ตำหนักหอ ปัจจุบันใช้เป็นอาคารจัดแสดงของใช้ส่วนพระองค์สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗
ตำหนักสวนฝรั่งกังไส ปัจจุบันเปิดเป็นอาคารจัดแสดงศิลปวัตถุสำคัญ แบ่งเป็น ๓ ประเภท คือ
1.เครื่องใช้ในพระราชพิธี และเครื่องประกอบพระอิสริยยศ
2.ภาพเขียนสีน้ำมัน
3.เครื่องกระเบื้อง
ต้องขออภัยจริง ๆ จ้าที่ “เด็กอ้วน” ไม่สามารถเก็บภาพภายในแต่ละพระตำหนักมาให้
ชมได้ อย่างที่รู้ ๆ กันว่าของแต่ละชิ้นนับค่าไม่ได้จริง ๆ >.< เราปล่อยให้ของที่มีค่าอยู่ในที่ที่ควรอยู่จะดีกว่าเนอะ ^o^