1. คาร์ก เกเบิล และ จิมมี่ สจ๊วตชวดรางวัลออสการ์
หากพูดถึงภาพยนตร์ระดับตำนานอย่าง Gone with the Wind หลายคนคงอาจคุ้นหูกันดี เพราะในปี 1940 ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ชิงรางวัล Oscar ถึง 14 สาขาด้วยกัน ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมของ คลาร์ก เกเบิล ราชาแห่งฮอลลีวูดจากบท เรทท์ บัตเลอร์ เข้าชิงคู่กับ จิมมี่ สจ๊วต จากเรื่อง Mr. Smith Goes to Washington แต่สุดท้าย 2 ตัวเก็งนี้ก็ต้องชวดรางวัลไปให้กับ โรเบิร์ต โดแนท จากเรื่อง Goodbye, Mr. Chip ที่แสดงได้ครึ่ง ๆ กลาง ๆ
2. Citizen Kane ไม่ได้รางวัล Best Picture
ความพิเศษของภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คือติดอยู่อันดับที่ 1 ของ 100 ภาพยนตร์อเมริกาที่ยอดเยี่ยมที่สุดซึ่งจัดอันดับโดย BBC Culture เมื่อปี 2015 นอกจากนี้ในปี 1941 ที่ Citizen Kane ปล่อยออกมาสู่สายตาประชาชน ยังได้รับการยกย่องจาก The New York Times ว่าเป็น “ภาพยนตร์ที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดในรอบ 25 ปีที่ฮอลลีวูดเคยมีมา”
โดย Citizen Kane จะเล่าเรื่องราวสะเทือนอารมณ์เกี่ยวกับยุครุ่งเรืองและยุคตกต่ำของ วิลเลียม แรนดอฟ เฮิร์ทส์ เจ้าพ่อวงการหนังสือพิมพ์แห่งอเมริกา แต่ถึงแม้ภาพยนตร์เรื่องนี้จะดีสักเพียงใดสุดท้ายในปีนั้นก็ต้องชวด Oscar ให้กับ How Green Was My Valley ของผู้กำกับ จอร์น ฟอร์ด อยู่ดี
3. เกรซ เคลลี ได้รางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม
ถึงแม้ เกรซ เคลลี จะเคยฝากผลงานไว้กับ Rear Window และ High Noon แต่เรื่องที่เธอได้รางวัลนี้กลับเป็น The Country Girl ที่เคลลีรับบทเป็นภรรยาของหนุ่มติดสุรา ซึ่งในปีเดียวกันนั้น จูดี การ์แลนด์ นักแสดงหญิงอีกคนก็ได้ฝากผลงานที่ยอดเยี่ยมไว้กับ A Star is Born ที่เธอทั้งร้องเพลงและสื่ออารมณ์ ทำให้หลายสำนักยกเธอขึ้นเป็นตัวเก็งแม้กระทั่งโปรดิวเซอร์ทีวีเองจนถึงขนาดติดกล้องในห้องโรงพยาบาลที่เธอพักอยู่หลังคลอดลูกชายเพื่อที่จะดูปฏิกริยาตอนประกาศผล แต่สุดท้ายก็อย่างที่ทุกคนรู้กันว่ารางวัลนี้ตกเป็นของ เกรซ เคลลี ในที่สุด ทำให้ เกราโซ มาร์กซ์ นักแสดงชายอีกคนต้องส่งโทรเลขไปปลอบการ์แลนด์ว่า “เป็นการปล้นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่การปล้นตึก Brinks”
4. ฟรานซิส คอปโปลา จาก The Godfather อดได้รางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยม
ถึงแม้ภาพยนตร์เรื่องนี้จะออกมาสู่สายตาประชาชนครั้งแรกในปี 1972 แต่เชื่อว่าทุกวันนี้เด็กรุ่นสมัยใหม่ก็ยังคุ้นชื่อ The Godfather กันอยู่ เพราะภาพยนตร์เรื่องนี้มีอิทธิพลกับวงการฮอลลีวูดอย่างมาก แถมยังทำรายได้เป็นกอบเป็นกำในสหรัฐอเมริกาด้วยตัวเลขทะลุ 100 ล้านดอลลาร์ ซึ่ง ฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลา ก็มีชื่อเข้าชิงสาขาผู้กำกับยอดเยี่ยมจากเรื่องนี้ แต่พอ จูลี่ แอนดรูว์ส และ จอร์จ สตีเวนส์ เปิดซองประกาศผล ผู้ชนะกลับเป็นของ บ๊อบ ฟอส จากเรื่อง Cabaret
ต่อมาอีก 2 ปีฟรานซิส คอปโปลาก็สามารถแก้มือคว้ารางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมมาครองได้กับ The Godfather II และเขาก็เอ่ยปากบอกว่า “ผมเกือบจะได้รางวัลนี้แล้วตอน 2 ปีก่อนกับภาคแรกของหนังเรื่องนี้”
5. Chariots of Fire คว้ารางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
ปี 1981 เป็นอีกปีที่มีหนังดี ๆ มาชิงรางวัลกันมากมายอย่าง Raiders of The Lost Ark, Atlantic City โดยเฉพาะภาพยนตร์เรื่อง Reds ของ วอร์เรน เบต์ตี้ ที่อิงเรื่องจริงของ จอร์น รีด นักข่าวและนักเคลื่อนไหวทางสังคมที่เป็นชาวอเมริกา 1 ใน 2 ที่ได้รับเกียรติฝั่งศพไว้ที่กำแพงเครมลิน ประเทศรัฐเซีย ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ได้ถูกยกให้เป็นตัวเต็งในการเข้าชิงรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมเนื่องจากมีโครงเรื่องที่น่าสนใจ การใช้ประโยชน์จากการสัมภาษณ์บุคคลรอบข้างที่รู้จักรีด และ การแสดงที่ทรงพลัง แต่สุดท้ายภาพยนตร์ที่เล่าเรื่องราวของนักกรีฑาอย่าง Chariots of Fire ก็ได้ Oscar สาขานี้ไปแทน
6. มาริซา โทเม ชนะรางวัลนักแสดงสมทบหญิง
“นี้เป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งในประวัติศาสตร์ Academy Awards ที่ 5 นักแสดงหญิงจากต่างชาติมาเข้าขิงในรางวัลเดียวกัน 4 คนจากอังกฤษ และ 1 คนจากบรูคลิน” แจ็ค พาแลนซ์ ปล่อยมุกก่อนประกาศผลผู้ชนะนักแสดงสบทบหญิงในปี 1993 ซึ่งตอนนั้นมี วาเนสซ่า เร็ดเกรฟ แห่ง Howards End และ จูดี้ เดวิส (ที่จริง ๆ แล้วเป็นคนออสเตรเลีย) จากเรื่อง Husbands and Wives ของ วูดดี้ อัลเลน เป็นตัวเต็งรางวัลนี้ แต่สุดท้ายแจ็ค พาแลนซ์ก็ประกาศชื่อชาวบรูคลินอย่าง มาริซา โทเม ให้เป็นผู้ชนะ จนมีข่าวลือว่าได้ประกาศชื่อเพี้ยนจาก “วาเนสซ่า” เป็น “มาริซา” หรือเปล่า จนกองประกวดต้องออกโรงโดดปัดข้อกังหานี้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
7. Braveheart คว้ารางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
หนึ่งในเหตุการณ์ที่พลิกประวัติที่สุดคงไม่พ้นปี 1996 ที่ภาพยนตร์เรื่อง Braveheart สามารถคว้าชัยไปครองเหนือ Apollo 13 จนเว็บไซต์ FiveThirtyEight.com รายงานว่าภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นการคว้าชัยที่พลิกล็อคที่สุดในประวัติศาสตร์ Oscar ตั้งแต่ 20 ปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้ Braveheart ยังได้ทำสถิติถล่มทลายด้วยการเป็นภาพยนตร์ที่สามารถล้มหนังที่ได้รางวัล 3 ประสาน (นักแสดงกลุ่มยอดเยี่ยม จาก SAG, โปรดิวเซอร์ยอดเยี่ยมจาก PGA, ผู้กำกับยอดเยี่ยมจาก DGA) และเป็นภาพยนตร์เพียงเรื่องเดียวตั้งแต่ปี 1996 จนถึงปัจจุบันที่ไม่ได้เข้าชิงรางวัลนักแสดงกลุ่มยอดเยี่ยมจาก SAG แต่สามารถคว้ารางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจาก Oscar ไปครอง
8. Saving Private Ryan ชวดรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
ต้องใช้เวลาถึง 2 ทศวรรษกว่า สตีเวน สปีลเบิร์ก จะได้รางวัล Oscar ครั้งแรกในฐานะผู้กำกับและภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากเรื่อง Schindler's List ในปี 1994 ซึ่ง 5 ปีต่อมาเขาก็ได้เข้าชิงอีกครั้งกับภาพยนตร์ดราม่าสงครามโลกกับ Saving Private Ryan และก็เหมือนเช่นเคยที่เขาจะเป็นตัวเก็งในปีนั้น แต่สุดท้ายสปีลเบิร์กก็ทำได้แค่คว้ารางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมมาครองโดยปล่อยให้รางวัลใหญ่สาขาภาพยนตร์เป็นของ Shakespeare in Love ซึ่งหลายคนก็วิเคราะห์สาเหตุที่ Saving Private Ryan ชวดรางวัลนี้เป็นเพราะต้องไปแข่งกับหนังสงครามอีกเรื่องอย่าง The Thin Red Line ทำให้คะแนนโหวตแตกออกเป็น 2 เสียง และผลประโยชน์ก็ตกเป็นของ Shakespeare in Love ของ จอห์น แมดเดน ไปโดยปริยาย
9. เอเดรียน โบรดี้ ได้รางวัลนักแสดงยอดเยี่ยม
ทุกคนล้วนชื่นชมผลงานการแสดงของ เอเดรียน โบรดี้ ในบท วลาดิสวาฟ ชปิลมันน์ จากเรื่อง The Pianist แต่มีน้อยคนที่จะคิดจะไปไกลถึงขั้นคว้าชัยในเวที Oscar เพราะ ในปี 2003 ที่โบรดี้ได้รางวัลนั้นมีแต่ผู้เข้าชิงเก่ง ๆ อย่าง ไมเคิล เคน (The Quiet American), แจ็ก นิโคลสัน (About Schmidt) และ แดเนียล เดย์-ลูวิส จาก Gangs of New York ที่กำกับโดย มาร์ติน สกอร์เซซี ซึ่งถูกยกให้เป็นเต็งหนึ่งขณะนั้น แต่อย่างไรก็ตามพอรางวัลนี้ตกเป็นของ เอเดรียน โบรดี้ ก็ส่งผลให้เขาเป็นผู้ชนะสาขานักแสดงชายยอดเยี่ยมที่อายุน้อยที่สุดด้วยวัย 29 ปี ซึ่งสถิตินี้ยังคงอยู่ถึงปัจจุบัน
10. รางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมตกเป็นของ Crash
Crash เป็นภาพยนตร์อีกเรื่องหนึ่งที่พลิกโผที่สุดในเวที Oscar โดยสามารถล้มภาพยนตร์อย่าง Brokeback Mountain ซึ่งตอนนั้นกระแสของภาพยนตร์หลังร่วมเพศก็มาแรงหลัง จอร์จ ดับเบิลยู บุช เอาชนะเลือกตั้งซ่อมในปี 2004 ด้วยแคมเปญต้านการแต่งงานของเพศเดียวกัน ซึ่งนักวิเคราะห์รางวัล Oscar หลายคนต่างรู้สึกว่าการที่กองรางวัลโหวตให้ Crash มีชัยเหนือ Brokeback Mountain เป็นการบอกนัย ๆ ว่าเวทีจะเริ่มก้าวหน้าขึ้นแล้วนะ แต่จะไม่ให้ล้ำจนเกินไป
10 อันดับเหตุการ์ณพลิกล็อคที่สุดในประวัติศาสตร์ Oscar
1. คาร์ก เกเบิล และ จิมมี่ สจ๊วตชวดรางวัลออสการ์
หากพูดถึงภาพยนตร์ระดับตำนานอย่าง Gone with the Wind หลายคนคงอาจคุ้นหูกันดี เพราะในปี 1940 ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ชิงรางวัล Oscar ถึง 14 สาขาด้วยกัน ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมของ คลาร์ก เกเบิล ราชาแห่งฮอลลีวูดจากบท เรทท์ บัตเลอร์ เข้าชิงคู่กับ จิมมี่ สจ๊วต จากเรื่อง Mr. Smith Goes to Washington แต่สุดท้าย 2 ตัวเก็งนี้ก็ต้องชวดรางวัลไปให้กับ โรเบิร์ต โดแนท จากเรื่อง Goodbye, Mr. Chip ที่แสดงได้ครึ่ง ๆ กลาง ๆ
2. Citizen Kane ไม่ได้รางวัล Best Picture
ความพิเศษของภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คือติดอยู่อันดับที่ 1 ของ 100 ภาพยนตร์อเมริกาที่ยอดเยี่ยมที่สุดซึ่งจัดอันดับโดย BBC Culture เมื่อปี 2015 นอกจากนี้ในปี 1941 ที่ Citizen Kane ปล่อยออกมาสู่สายตาประชาชน ยังได้รับการยกย่องจาก The New York Times ว่าเป็น “ภาพยนตร์ที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดในรอบ 25 ปีที่ฮอลลีวูดเคยมีมา”
โดย Citizen Kane จะเล่าเรื่องราวสะเทือนอารมณ์เกี่ยวกับยุครุ่งเรืองและยุคตกต่ำของ วิลเลียม แรนดอฟ เฮิร์ทส์ เจ้าพ่อวงการหนังสือพิมพ์แห่งอเมริกา แต่ถึงแม้ภาพยนตร์เรื่องนี้จะดีสักเพียงใดสุดท้ายในปีนั้นก็ต้องชวด Oscar ให้กับ How Green Was My Valley ของผู้กำกับ จอร์น ฟอร์ด อยู่ดี
3. เกรซ เคลลี ได้รางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม
ถึงแม้ เกรซ เคลลี จะเคยฝากผลงานไว้กับ Rear Window และ High Noon แต่เรื่องที่เธอได้รางวัลนี้กลับเป็น The Country Girl ที่เคลลีรับบทเป็นภรรยาของหนุ่มติดสุรา ซึ่งในปีเดียวกันนั้น จูดี การ์แลนด์ นักแสดงหญิงอีกคนก็ได้ฝากผลงานที่ยอดเยี่ยมไว้กับ A Star is Born ที่เธอทั้งร้องเพลงและสื่ออารมณ์ ทำให้หลายสำนักยกเธอขึ้นเป็นตัวเก็งแม้กระทั่งโปรดิวเซอร์ทีวีเองจนถึงขนาดติดกล้องในห้องโรงพยาบาลที่เธอพักอยู่หลังคลอดลูกชายเพื่อที่จะดูปฏิกริยาตอนประกาศผล แต่สุดท้ายก็อย่างที่ทุกคนรู้กันว่ารางวัลนี้ตกเป็นของ เกรซ เคลลี ในที่สุด ทำให้ เกราโซ มาร์กซ์ นักแสดงชายอีกคนต้องส่งโทรเลขไปปลอบการ์แลนด์ว่า “เป็นการปล้นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่การปล้นตึก Brinks”
4. ฟรานซิส คอปโปลา จาก The Godfather อดได้รางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยม
ถึงแม้ภาพยนตร์เรื่องนี้จะออกมาสู่สายตาประชาชนครั้งแรกในปี 1972 แต่เชื่อว่าทุกวันนี้เด็กรุ่นสมัยใหม่ก็ยังคุ้นชื่อ The Godfather กันอยู่ เพราะภาพยนตร์เรื่องนี้มีอิทธิพลกับวงการฮอลลีวูดอย่างมาก แถมยังทำรายได้เป็นกอบเป็นกำในสหรัฐอเมริกาด้วยตัวเลขทะลุ 100 ล้านดอลลาร์ ซึ่ง ฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลา ก็มีชื่อเข้าชิงสาขาผู้กำกับยอดเยี่ยมจากเรื่องนี้ แต่พอ จูลี่ แอนดรูว์ส และ จอร์จ สตีเวนส์ เปิดซองประกาศผล ผู้ชนะกลับเป็นของ บ๊อบ ฟอส จากเรื่อง Cabaret
ต่อมาอีก 2 ปีฟรานซิส คอปโปลาก็สามารถแก้มือคว้ารางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมมาครองได้กับ The Godfather II และเขาก็เอ่ยปากบอกว่า “ผมเกือบจะได้รางวัลนี้แล้วตอน 2 ปีก่อนกับภาคแรกของหนังเรื่องนี้”
5. Chariots of Fire คว้ารางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
ปี 1981 เป็นอีกปีที่มีหนังดี ๆ มาชิงรางวัลกันมากมายอย่าง Raiders of The Lost Ark, Atlantic City โดยเฉพาะภาพยนตร์เรื่อง Reds ของ วอร์เรน เบต์ตี้ ที่อิงเรื่องจริงของ จอร์น รีด นักข่าวและนักเคลื่อนไหวทางสังคมที่เป็นชาวอเมริกา 1 ใน 2 ที่ได้รับเกียรติฝั่งศพไว้ที่กำแพงเครมลิน ประเทศรัฐเซีย ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ได้ถูกยกให้เป็นตัวเต็งในการเข้าชิงรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมเนื่องจากมีโครงเรื่องที่น่าสนใจ การใช้ประโยชน์จากการสัมภาษณ์บุคคลรอบข้างที่รู้จักรีด และ การแสดงที่ทรงพลัง แต่สุดท้ายภาพยนตร์ที่เล่าเรื่องราวของนักกรีฑาอย่าง Chariots of Fire ก็ได้ Oscar สาขานี้ไปแทน
6. มาริซา โทเม ชนะรางวัลนักแสดงสมทบหญิง
“นี้เป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งในประวัติศาสตร์ Academy Awards ที่ 5 นักแสดงหญิงจากต่างชาติมาเข้าขิงในรางวัลเดียวกัน 4 คนจากอังกฤษ และ 1 คนจากบรูคลิน” แจ็ค พาแลนซ์ ปล่อยมุกก่อนประกาศผลผู้ชนะนักแสดงสบทบหญิงในปี 1993 ซึ่งตอนนั้นมี วาเนสซ่า เร็ดเกรฟ แห่ง Howards End และ จูดี้ เดวิส (ที่จริง ๆ แล้วเป็นคนออสเตรเลีย) จากเรื่อง Husbands and Wives ของ วูดดี้ อัลเลน เป็นตัวเต็งรางวัลนี้ แต่สุดท้ายแจ็ค พาแลนซ์ก็ประกาศชื่อชาวบรูคลินอย่าง มาริซา โทเม ให้เป็นผู้ชนะ จนมีข่าวลือว่าได้ประกาศชื่อเพี้ยนจาก “วาเนสซ่า” เป็น “มาริซา” หรือเปล่า จนกองประกวดต้องออกโรงโดดปัดข้อกังหานี้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
7. Braveheart คว้ารางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
หนึ่งในเหตุการณ์ที่พลิกประวัติที่สุดคงไม่พ้นปี 1996 ที่ภาพยนตร์เรื่อง Braveheart สามารถคว้าชัยไปครองเหนือ Apollo 13 จนเว็บไซต์ FiveThirtyEight.com รายงานว่าภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นการคว้าชัยที่พลิกล็อคที่สุดในประวัติศาสตร์ Oscar ตั้งแต่ 20 ปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้ Braveheart ยังได้ทำสถิติถล่มทลายด้วยการเป็นภาพยนตร์ที่สามารถล้มหนังที่ได้รางวัล 3 ประสาน (นักแสดงกลุ่มยอดเยี่ยม จาก SAG, โปรดิวเซอร์ยอดเยี่ยมจาก PGA, ผู้กำกับยอดเยี่ยมจาก DGA) และเป็นภาพยนตร์เพียงเรื่องเดียวตั้งแต่ปี 1996 จนถึงปัจจุบันที่ไม่ได้เข้าชิงรางวัลนักแสดงกลุ่มยอดเยี่ยมจาก SAG แต่สามารถคว้ารางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจาก Oscar ไปครอง
8. Saving Private Ryan ชวดรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
ต้องใช้เวลาถึง 2 ทศวรรษกว่า สตีเวน สปีลเบิร์ก จะได้รางวัล Oscar ครั้งแรกในฐานะผู้กำกับและภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากเรื่อง Schindler's List ในปี 1994 ซึ่ง 5 ปีต่อมาเขาก็ได้เข้าชิงอีกครั้งกับภาพยนตร์ดราม่าสงครามโลกกับ Saving Private Ryan และก็เหมือนเช่นเคยที่เขาจะเป็นตัวเก็งในปีนั้น แต่สุดท้ายสปีลเบิร์กก็ทำได้แค่คว้ารางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมมาครองโดยปล่อยให้รางวัลใหญ่สาขาภาพยนตร์เป็นของ Shakespeare in Love ซึ่งหลายคนก็วิเคราะห์สาเหตุที่ Saving Private Ryan ชวดรางวัลนี้เป็นเพราะต้องไปแข่งกับหนังสงครามอีกเรื่องอย่าง The Thin Red Line ทำให้คะแนนโหวตแตกออกเป็น 2 เสียง และผลประโยชน์ก็ตกเป็นของ Shakespeare in Love ของ จอห์น แมดเดน ไปโดยปริยาย
9. เอเดรียน โบรดี้ ได้รางวัลนักแสดงยอดเยี่ยม
ทุกคนล้วนชื่นชมผลงานการแสดงของ เอเดรียน โบรดี้ ในบท วลาดิสวาฟ ชปิลมันน์ จากเรื่อง The Pianist แต่มีน้อยคนที่จะคิดจะไปไกลถึงขั้นคว้าชัยในเวที Oscar เพราะ ในปี 2003 ที่โบรดี้ได้รางวัลนั้นมีแต่ผู้เข้าชิงเก่ง ๆ อย่าง ไมเคิล เคน (The Quiet American), แจ็ก นิโคลสัน (About Schmidt) และ แดเนียล เดย์-ลูวิส จาก Gangs of New York ที่กำกับโดย มาร์ติน สกอร์เซซี ซึ่งถูกยกให้เป็นเต็งหนึ่งขณะนั้น แต่อย่างไรก็ตามพอรางวัลนี้ตกเป็นของ เอเดรียน โบรดี้ ก็ส่งผลให้เขาเป็นผู้ชนะสาขานักแสดงชายยอดเยี่ยมที่อายุน้อยที่สุดด้วยวัย 29 ปี ซึ่งสถิตินี้ยังคงอยู่ถึงปัจจุบัน
10. รางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมตกเป็นของ Crash
Crash เป็นภาพยนตร์อีกเรื่องหนึ่งที่พลิกโผที่สุดในเวที Oscar โดยสามารถล้มภาพยนตร์อย่าง Brokeback Mountain ซึ่งตอนนั้นกระแสของภาพยนตร์หลังร่วมเพศก็มาแรงหลัง จอร์จ ดับเบิลยู บุช เอาชนะเลือกตั้งซ่อมในปี 2004 ด้วยแคมเปญต้านการแต่งงานของเพศเดียวกัน ซึ่งนักวิเคราะห์รางวัล Oscar หลายคนต่างรู้สึกว่าการที่กองรางวัลโหวตให้ Crash มีชัยเหนือ Brokeback Mountain เป็นการบอกนัย ๆ ว่าเวทีจะเริ่มก้าวหน้าขึ้นแล้วนะ แต่จะไม่ให้ล้ำจนเกินไป
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
https://twitter.com/_BlackOffice